ยามดอกวสันต์ผลิบาน 280 เริ่มต้น

Now you are reading ยามดอกวสันต์ผลิบาน Chapter 280 เริ่มต้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉิงเวิ่นดึงตัวเฉิงฉืออย่างร้อนรน หมายจะออกไปสนทนาข้างนอก

มีบ่าวเด็กวิ่งเข้ามา รายงานเสียงดังว่า “ท่านผู้นำตระกูลมาแล้วขอรับ!”

เสียงทุกเสียงภายในห้องพลันหยุดชะงักลงทันใด ทุกคนลุกพรึ่บขึ้นมา

เฉิงซวี่ห้อมล้อมไปด้วยบ่าวชายหลายคน ดวงหน้าประดับรอยยิ้มเบิกบาน เดินเข้ามาด้วยสีหน้าสดใส

“ท่านผู้นำตระกูล!” ไม่รู้ว่าเกิงเกอเอ๋อร์ดิ้นหลุดจากมือของเฉิงฉือไปได้อย่างไร เรียวขาเล็กวิ่งจ้ำอ้าว ไปหาเฉิงซวี่ดังตึงๆ ๆ

เสียงอันกังวานใสของเขาก้องสะท้อนอยู่ภายในศาลาทิงอวี่อันเงียบงัน

เฉิงซวี่ไม่ได้คิดว่าเขาเสียกิริยาแต่อย่างใด อุ้มเกิงเกอเอ๋อร์ขึ้นมาอย่างเริงร่า พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “บทเรียนที่เทียดมอบหมายให้เกิงเกอเอ๋อร์เมื่อวาน เกิงเกอเอ๋อร์ทำเสร็จแล้วหรือยังเอ่ย”

เกิงเกอเอ๋อร์พยักหน้าหงึกๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วว่า “‘จงเลือกส่วนที่ดีของผู้อื่นมาเป็นแบบอย่าง ส่วนที่ไม่ดีจงนำมาแก้ไขปรับปรุงตนเอง’ กล่าวคือ ‘ผู้ที่รักครอบครัว มิกล้าชิงชังผู้อื่น ผู้ที่เคารพครอบครัว มิกล้าละเลยผู้อื่น รักและเคารพครอบครัวด้วยสุดใจ สั่งสอนศีลธรรมแก่ปุถุชน ยึดถือปฏิบัติทั้งแผ่นดิน แม้แต่โอรสสวรรค์ก็ต้องกตัญญู’ ใน ‘บัญญัติการลงทัณฑ์ของฝู่’ กล่าวว่า ‘คนหนึ่งเฉลิมฉลอง คนทั้งปวงร่วมเฉลิมฉลอง’ หมายความว่าผู้ที่รักใคร่บิดามารดาของตน จะไม่รังเกียจชิงชังบิดามารดาของผู้อื่น ผู้ที่เคารพเทิดทูนบิดามารดาของตน จะไม่ปล่อยปละละเลยบิดามารดาของผู้อื่น ปรนนิบัติบิดามารดาด้วยความรักและความเคารพสุดกำลังความสามารถ สั่งสอนศีลธรรมจริยธรรมให้แก่ประชาชน ทำให้ปวงชนทั้งแผ่นดินยึดถือเป็นแบบอย่าง นี่คือหลักความกตัญญูกตเวทิตาของโอรสสวรรค์! ใน ‘บัญญัติการลงทัณฑ์ของฝู่’ กล่าวไว้ว่า ‘โอรสสวรรค์ทรงเปี่ยมด้วยคุณธรรม ปวงประชาล้วนยึดถือปฏิบัติตามเขา’“

เขาพูดจบ ก็เบิกดวงตากลมโตถามเฉิงซวี่ว่า “ท่านผู้นำตระกูล ข้าท่องได้ถูกต้องหรือไม่ขอรับ”

นี่คือส่วนหนึ่งใน ‘คัมภีร์กตัญญู’

เฉิงฉือได้ยินแล้วนัยน์ตามีความไม่เห็นด้วยสายหนึ่งวาบผ่าน

ทุกครั้งล้วนย้ำเตือนเขาว่าต้องกตัญญูต่อบิดามารดาอย่างอ้อมค้อมเช่นนี้อยู่ร่ำไป ไม่รู้ว่าเฉิงซวี่จะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยบ้างหรือไม่

เฉิงหลูจมเข้าสู่ห้วงความคิด

แม้ว่าเขาไม่ได้ดูแลกิจการของตระกูล แต่หลายปีมานี้การที่จวนรองหวาดเกรงจวนหลักยิ่งขึ้นเขาก็สัมผัสได้เหมือนกัน

ท่านผู้นำตระกูลให้เกิงเกอเอ๋อร์ท่องจำ ‘คัมภีร์กตัญญู’ ส่วนนี้ ทำไปโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจกันแน่

เขาชำเลืองมองเฉิงฉือทีหนึ่ง

เฉิงฉือยืนอยู่ด้านข้างอย่างสบายๆ ราวกับว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลยอย่างไรอย่างนั้น

เฉิงหลูลอบผ่อนลมหายใจอยู่ในใจ

โชคดีที่เฉิงจื่อชวนเป็นผู้มีความอดทนอดกลั้นยิ่ง ถ้าหากเปลี่ยนเป็นเขาล่ะก็ คงจะกระโดดออกไปโต้กลับเฉิงซวี่นานแล้ว! ทั้งมิได้ขาดยศตำแหน่ง หรือไร้ความสามารถในการหาเงินทอง เหตุใดถึงยอมรับถ้อยคำเหน็บแนมของเฉิงซวี่เล่า ทุกครั้งที่พบหน้ากันล้วนพูดจาอย่างคลุมเครือให้คนฟังแล้วรู้สึกลำบากใจ

จื่อชวนช่างใจเย็นจริงๆ!

ทว่าดวงหน้าของเฉิงซวี่กลับยิ้มแฉ่งดั่งดอกไม้แย้มบาน

“ถูกต้องๆๆ” เขาเอ่ยชมรัวๆ “เกิงเกอเอ๋อร์ของพวกเราฉลาดหลักแหลมจริงๆ”

เกิงเกอเอ๋อร์เงยใบหน้าเล็กขึ้นมาฉีกยิ้มให้เฉิงสือบิดาของตนอย่างภาคภูมิใจ

นัยน์ตาของเฉิงสือเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดี แต่กลับทำหน้านิ่งพลางกล่าวว่า “อย่าเพิ่งกระดิกหางอย่างลำพองใจไปเลย ท่านผู้นำตระกูลเห็นว่าเจ้าอายุยังน้อย ดังนั้นจึงเอ่ยชมเจ้าเป็นพิเศษ ภายในห้องนี้มีคนมากมายที่เรียนหนังสือเก่งกว่าเจ้านัก! ยังไม่รีบขอบคุณท่านผู้นำตระกูลอีก”

เกิงเกอเอ๋อร์จึงกล่าวขอบคุณเฉิงซวี่

เฉิงซวี่พยักหน้าเล็กน้อยแล้วส่งเกิงเกอเอ๋อร์ให้เฉิงสือ

เฉิงเวิ่นเห็นว่าบรรยากาศดียิ่ง อารมณ์ของเฉิงซวี่ก็ดีมากเช่นกัน ก้าวออกมาลูบศีรษะของเกิงเกอเอ๋อร์อย่างรักใคร่เอ็นดู พลางกล่าวยิ้มๆ อย่างประจบว่า “มิน่าผู้คนถึงได้กล่าวว่า ‘ฮ่องเต้ทรงรักโอรสองค์โต แต่ปวงประชารักบุตรชายคนเล็ก’ ท่านผู้นำตระกูลโปรดปรานเจ้าจริงๆ! ยังสอนเจ้าอ่าน ‘คัมภีร์กตัญญู’ ด้วยตนเอง ความกตัญญูเป็นคุณธรรมแรกของคุณธรรมอันดีทั้งปวง! ต่อไปเจ้าจักต้องแสดงความกตัญญูต่อท่านผู้นำตระกูลให้ดีถึงจะถูก!”

เฉิงสือได้ยินแล้วประหนึ่งถูกตบเข้าบ้องหูฉาดหนึ่ง อยากจะก้าวไปปิดปากเฉิงเวิ่นเสียเหลือเกิน

หากพูดไม่เป็นก็อย่าได้เอ่ยปากพูดเลยจะดีกว่า

อยากจะชมเชยเกิงเกอเอ๋อร์ แต่ไม่รู้จะพูดอะไร เลยนำเอาสำนวน ‘ฮ่องเต้ทรงรักโอรสองค์โต แต่ปวงประชารักบุตรชายคนเล็ก’ มาเปรียบเปรย เฉิงเวิ่นเขาเป็นยายเฒ่าบ้านนอกที่ไม่รู้หนังสือหรืออย่างไร

ยังบอกให้เกิงเกอเอ๋อร์อ่าน ‘คัมภีร์กตัญญู’ แล้วต้องแสดงความกตัญญูต่อท่านผู้นำตระกูลให้ดีอีก

หากไม่ใช่เพราะรู้ว่าเฉิงเวิ่นเป็นผู้ที่พูดจาโผงผางและด้อยความรู้คนหนึ่ง เขาคงจะคิดว่าเฉิงเวิ่นกำลังจะบอกเป็นนัยว่าเกิงเกอเอ๋อร์ไม่กตัญญูต่อท่านผู้นำตระกูลเสียแล้ว ดังนั้นท่านผู้นำตระกูลจึงต้องสอนเขาอ่าน ‘คัมภีร์กตัญญู’ ด้วยตนเอง…หากชื่อเสียงนี้แพร่ออกไปล่ะก็ ต่อไปเกิงเกอเอ๋อร์ยังจะมีที่ยืนในหมู่บัณฑิตได้อยู่หรือ ไม่สิ ยังจะมีที่ยืนในสังคมได้อยู่หรือ

ช่างเป็นคนที่มือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำผู้หนึ่งเสียจริงๆ!

ไม่แปลกเลยที่ไม่ว่าเฉิงเวิ่นจะเสนอหน้าต่อหน้าท่านผู้นำตระกูลอย่างไร ท่านผู้นำตระกูลก็ล้วนไม่สนใจไยดีเขา

เฉิงซวี่แสร้งทำราวกับไม่ได้ยิน กล่าวกับหลานชายและเหลนทั้งหลายด้วยสีหน้าอบอุ่นว่า “ทุกคนนั่งลงคุยกันเถอะ!”

ทุกคนต่างขานรับอย่างนอบน้อม พากันนั่งลงไปตามๆ กัน

สีหน้าของเฉิงเวิ่นประเดี๋ยวแดงก่ำประเดี๋ยวขาวซีด รู้สึกลำบากใจเหลือเกิน

เขาทำอะไรผิดอีกแล้วหรือ

หรือว่าเพียงเอ่ยชมเกิงเกอเอ๋อร์ก็ผิดแล้วอย่างนั้นหรือ

เขาก็เพียงเลี้ยงดูอนุอยู่ข้างนอกคนหนึ่ง แล้วก็จัดการเก็บกวาดคนที่บ้านไปครั้งหนึ่งเท่านั้นมิใช่หรือ ท่านผู้นำตระกูลไม่ถึงกับต้องชักสีหน้าใส่เขาอยู่ตลอดก็ได้กระมัง

จิตใจออกจะคับแคบเกินไปแล้ว!

เฉิงเวิ่นอดรู้สึกอับอายไม่ได้ พึมพำเอ่ยคำว่า “ท่านผู้นำตระกูล” ไปเสียงหนึ่ง น้ำเสียงนั้นประหนึ่งสตรีในห้องหอที่คร่ำครวญอย่างเสียใจก็ไม่ปาน

ภายในห้องมีคนหัวเราะ “หึ” ขึ้นมาเสียงหนึ่ง

ทุกคนต่างหันหน้าไปตามเสียงโดยมิได้นัดหมาย ก็เห็นมุมปากของเฉิงฉือที่ยังไม่ทันได้เก็บซ่อนรอยยิ้มกลับไป

เฉิงซวี่อดย่นหัวคิ้วไม่ได้

ตอนที่เฉิงฉือเพิ่งเข้ามารับช่วงดูแลกิจการของตระกูลนั้นเขายังยึดมั่นในความคิดเห็นของตนเองยามอยู่กับตนอยู่ แต่นานวันเข้า ยามอยู่ต่อหน้าเขาเฉิงฉือก็เสมือนกับสวมหน้ากากอันหนึ่งเอาไว้ก็ไม่ปาน ที่มักจะยิ้มน้อยๆ พร้อมกับขานรับว่า “ขอรับ” อยู่เสมอ หากความคิดเห็นของทั้งสองคนเห็นพ้องต้องกันก็ดีไป แต่ถ้าหากความคิดเห็นของทั้งสองคนไม่ลงรอยกัน เฉิงฉือก็มักจะแสร้งทำหูทวนลมกับถ้อยคำของเขา ทั้งที่เพิ่งจะขานรับยิ้มๆ ว่า “ขอรับ” แต่พอหมุนกายจากไป กลับกลายเป็นอยากจะทำอะไรก็ทำไปเสียอย่างนั้น…

สำหรับเรื่องนี้ เขาได้ตักเตือนเฉิงฉือทั้งทางตรงและทางอ้อมไปแล้วหลายครั้ง

แต่เฉิงฉือกลับค่อยๆ ปีกกล้าขาแข็งขึ้น โดยเฉพาะเฉิงจิง เขาคิดไม่ถึงว่าแม้หยวนเหวยชางไม่ได้สนับสนุนเฉิงจิง แต่เฉิงจิงก็หาทางเข้าสู่ราชสำนักได้ ทุกวันนี้เขาล้วนไม่เหลือช่องทางอำนาจมาควบคุมจวนหลักกับเฉิงฉือได้อีกแล้ว ถ้อยคำโอ้อวดพูดข่ม สุดท้ายหาได้เป็นแผนการระยะยาวไม่ แต่เฉิงฉือก็ไม่เคยท้าทายอำนาจของตนเฉกเช่นวันนี้ ไม่คาดคิดว่าจะหัวเราะเยาะเขาต่อหน้าคนทั้งตระกูล

บรรยากาศเช่นนี้ไม่อาจให้คงอยู่นานได้

หาไม่แล้วซอยจิ่วหรูยังจะเหลือผู้ใดที่เห็นเขาอยู่ในสายตา หรือเห็นจวนรองอยู่ในสายตาอีกเล่า!

“จื่อชวน” เฉิงซวี่จ้องมองเฉิงฉือ พลางกล่าว “เจ้าคิดว่าพี่ชายเวิ่นของเจ้าน่าขบขันยิ่งนักหรือ”

ถ้อยคำที่เอ่ยออกมากลับดึงเฉิงเวิ่นเข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ด้วยเสียแล้ว

เฉิงเวิ่นตระหนกตกใจจนตัวสั่นเทิ้ม กำลังคิดจะกล่าวว่า “ไม่เป็นไรขอรับ” เฉิงฉือก็ยิ้มพลางกล่าวออกมาก่อนว่า “ท่านผู้นำตระกูลกล่าวเป็นจริงเป็นจังเกินไปแล้ว! ข้าเห็นท่าทีของท่านผู้นำตระกูลกับพี่ชายเวิ่นแล้ว จู่ๆ ก็นึกถึงท่านพ่อที่เสียชีวิตไปแล้วขึ้นมา” ขณะที่เขากล่าว ก็พรูลมหายใจยาวเหยียด สีหน้าเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อยเล็กน้อย “จะว่าไปแล้วท่านพ่อของข้าจากไปยี่สิบปีแล้ว หากตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ ก็คงถึงวัยได้ ‘ทำตามดังที่ใจปรารถนาโดยไม่ละเมิดกฎเกณฑ์’ บ้างแล้ว…”

ภายในห้องพลันเงียบงันไปชั่วขณะ

เฉิงซวินดำรงตำแหน่งหนึ่งในเสนาบดีทั้งเก้าตอนที่สิ้นชีพ

หากเฉิงซวินยังมีชีวิตอยู่ ต้องได้รับแต่งตั้งเข้าสู่ราชสำนักเป็นแน่

เช่นนั้นจวนหลักก็จะมีขุนนางใหญ่ในราชสำนักถึงสองคน

ซอยจิ่วหรูไหนเลยจะมีพื้นที่ให้เฉิงซวี่บงการได้เล่า

เฉิงซวี่รู้ดีว่าเวลานี้ตนควรจะเก็บอารมณ์ให้มากกว่ายามปกติ แต่ถ้อยคำของเฉิงฉือนี้ราวกับทิ่มแทงหัวใจของเขาก็ไม่ปาน ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่

บรรยากาศภายในห้องพลันหยุดชะงักลง

เฉิงอี๋กลัวว่าเฉิงฉือกับเฉิงซวี่จะมีปากเสียงกัน

ถึงเวลานั้นก็อาจกลายเป็นเทพเซียนสู้รบกัน แต่ภูติผีต้องรับเคราะห์เสียแล้ว

เขารีบกล่าวขึ้นว่า “หากน้องชายฉือไม่พูดขึ้นมา ข้าก็ลืมไปแล้วว่าท่านลุงซวินจากไปกว่ายี่สิบปีแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงกลางเดือนเจ็ด ข้าว่าไม่สู้ทำพิธีให้ท่านลุงซวินดีๆ สักครั้งจะดีกว่า”

“ข้าก็คิดเช่นนี้” เฉิงฉือกล่าว “ตอนที่ไปเยี่ยมหลุมฝังศพของท่านพ่อช่วงเทศกาลเช็งเม้งท่านแม่ยังกล่าวเรื่องนี้กับข้า แต่ข้าคิดว่าภายในตระกูลยังมีผู้อาวุโสอยู่ ในใจจึงเกิดความลังเลอยู่บ้าง เมื่อครู่พอได้ยินเกิงเกอเอ๋อร์ท่อง ‘คัมภีร์กตัญญู’ และเอ่ยถึงบัญญัติการลงทัณฑ์ของฝู่แล้ว ก็คิดว่าข้าได้ละเลยบิดาเช่นกัน กำลังคิดอยู่ว่าวันไหนที่มีเวลาว่างจะหารือเรื่องนี้กับท่านผู้นำตระกูล ปรากฏว่าพี่ชายเวิ่นก่อเรื่องวุ่นวายขึ้น จึงทำให้ลืมเรื่องนี้ไปเสีย” เขากล่าวถึงประโยคสุดท้าย ก็ยกยิ้มขึ้นมา

ทว่าเฉิงอี๋และคนอื่นๆ กลับยิ้มไม่ออก

พวกเขาล้วนเป็นผู้คงแก่เรียน

ล้วนหยิบยกถ้อยคำจากหนังสือตำรามาอ้างอิงได้อย่างคล่องแคล่ว

บัญญัติการลงทัณฑ์ของฝู่ เป็นประกาศในรัชสมัยจักรพรรดิโจวมู่ว่าด้วยบทลงโทษ ออกประกาศใช้โดยหลี่ว์โหว ต่อมาคนรุ่นหลังของหลี่ว์โหวเปลี่ยนแซ่ตนเป็นฝู่โหว จึงเป็นที่มาของชื่อบัญญัติการลงทัณฑ์ของฝู่ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกเหตุเพราะมีคนที่พ่อแม่ถูกหมิ่นเกียรติแล้วบันดาลโทสะจนเข่นฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นการละเมิดบัญญัติการลงทัณฑ์ของฝู่ เรื่องนี้อุทธรณ์ไปถึงองค์ฮ่องเต้ ทว่าองค์ฮ่องเต้กลับอภัยโทษคนผู้นั้นด้วยเหตุผลว่า ‘ความกตัญญูเป็นคุณธรรมแรกของคุณธรรมอันดีทั้งปวง’ ซึ่งบัญญัติข้อนี้ยังคงใช้กันอยู่จนถึงทุกวันนี้

ทว่าเฉิงฉือไม่ใช่เฉิงเวิ่น

เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเอ่ยถึงบัญญัติการลงทัณฑ์ของฝู่โดยไร้มูลเหตุเป็นแน่ ซ้ำยังกล่าวว่าตนเองละเลยบิดา

เฉิงซวี่อดหรี่ตาลงไม่ได้ แสงเยียบเย็นพุ่งออกไปดั่งกระบี่แหลมคม

เฉิงฉือหมายความว่าอะไร

คิดว่าการตายของเฉิงซวินเกี่ยวข้องกับตนหรือ หมายจะล้างแค้นให้บิดาอย่างนั้นหรือ

หรือคิดว่ายามนี้จวนหลักเรืองอำนาจ จึงบอกเป็นนัยแก่ทุกคนว่าเขาเป็นตาแก่หงำเหงือก ไม่จำเป็นต้องเก็บตนอยู่ในสายตา อยากจะฉวยโอกาสนี้แข็งข้อกับตนอย่างนั้นหรือ

เฉิงซวี่ลอบยิ้มเย็นอยู่ในใจ ทว่าดวงหน้ากลับสงบนิ่ง กล่าวเสียงเบาว่า “แม้จะกล่าวว่าเป็นงานเลี้ยงต้อนรับโหย่วอี้กับเจียซ่าน แต่ก็ตั้งใจเชิญทุกคนมาพบปะสังสรรค์พูดคุยกันด้วยเช่นกัน จื่อชวนเสนอความคิดนี้ขึ้นมาก็ดี สุสานบรรพชนของตระกูลเฉิงไม่ได้ซ่อมแซมมาหลายปีแล้ว ดังที่หลานอี๋กล่าวมา อีกไม่นานก็ใกล้จะกลางเดือนเจ็ดแล้ว ถึงเวลานั้นพวกเราต่างต้องไปกราบไหว้บรรพบุรุษ ไม่สู้ถือโอกาสที่หลายวันนี้ไม่ติดธุระอะไร จื่อชวน เจ้าจัดเตรียมคนไปซ่อมแซมสุสานบรรพชนดีๆ สักครั้ง ก็นับว่าพวกเราได้แสดงความกตัญญูต่อบรรพชนแล้ว”

อยากจะซ่อมแซมสุสานแห่งหนึ่ง เช่นนั้นก็ต้องซ่อมแซมสุสานบรรพชนในรัชสมัยก่อนๆ ของตระกูลเฉิงทั้งหมดด้วย คิดจะซ่อมแซมหลุมฝังศพของเฉิงซวินเพียงหลุมเดียว เป็นไปไม่ได้หรอก

ทรวงอกของเฉิงซวี่ราวกับถูกศิลาก้อนใหญ่กดทับไว้ก็ไม่ปาน

เฉิงฉือยกยิ้ม ไม่ได้แสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด

เฉิงซวี่ใจเต้นตึกตักระรัว

เฉิงอี๋เห็นสถานการณ์ไม่ดี ยิ้มพลางก้าวออกมา ยืนอยู่ระหว่างเฉิงซวี่กับเฉิงฉือ กล่าวว่า “วันนี้เป็นงานเลี้ยงต้อนรับโหย่วอี้กับเจียซ่าน โดยเฉพาะเจียซ่าน เดือนแปดก็ต้องเข้าร่วมการสอบระดับมณฑลแล้ว พวกเราทุกคนยังคาดหวังให้เขาสอบได้ตำแหน่งเจี้ยหยวน[1]! เจียซ่านเป็นอั้นโส่ว[2] คนแรกของตระกูลเฉิงของพวกเรา! ดังนั้นข้าคิดว่าเรื่องการซ่อมแซมสุสานบรรพชนยังไม่ต้องเร่งรีบถึงเพียงนั้น ตอนนี้สนใจการสอบระดับมณฑลของเจียซ่านก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่ รอให้เจียซ่านสอบผ่านได้จารึกชื่อบนกระดานไม้กุ้ยฮวา[3] แล้วค่อยซ่อมแซมสุสานบรรพชนและกราบไว้บรรพบุรุษก็ได้ เช่นนั้นจึงจะเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีอย่างแท้จริง! น้องชายเหมี่ยน เจ้าว่าจริงหรือไม่”

เฉิงเหมี่ยนหลบหลีกอย่างไรก็หลบไม่พ้นจริงๆ ได้แต่กล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่ชายอี๋ก็รู้จักข้าดี แต่ไรมาข้าก็ไม่เคยออกความคิดเห็นอะไร พี่น้องทั้งหลายว่าอย่างไร ข้าก็ทำอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นการออกเงินหรือลงแรง ข้าพร้อมทำเสมอ”

เฉิงอี๋หัวเราะฮ่าๆ แล้วเชิญทุกคนให้นั่งลง “ทุกคนต่างมากันครบแล้ว หากมีเรื่องอะไรกินข้าวเสร็จแล้วค่อยหารือกันเถอะ”

เฉิงเวิ่นนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ก็ตื่นตระหนกจนเหงื่อเย็นชุ่มไปทั้งตัว พอได้ยินก็รีบกล่าวขึ้นว่า “ใช่แล้วๆ! พวกเรากินข้าวกันก่อนแล้วค่อยหารือเถอะ ท้องฟ้าและแผ่นดินล้วนยิ่งใหญ่ แต่เรื่องกินยิ่งใหญ่ที่สุด”

เฉิงเหมี่ยนคลี่ยิ้มพลางกล่าว “ยังเป็นน้องชายเวิ่นที่ไร้ความทุกข์ร้อนใดๆ!”

“ด้วยเหตุนี้ร่างกายข้าจึงอวบอ้วนที่สุดอย่างไรเล่า!” เฉิงเวิ่นหัวเราะหยันตนเอง ทักทายเฉิงสือกับเด็กหนุ่มรุ่นลูกคนอื่นๆ สองสามคนแล้วนั่งลงไป

เฉิงเก้าลอบกำหมัดอย่างเงียบๆ

ท่านอาสี่ฉือกับท่านผู้นำตระกูลทะเลาะกัน เกี่ยวอะไรกับจวนสี่ของพวกเขาด้วยเล่า ทว่าเฉิงอี๋กลับลากบิดาลงน้ำตามไปด้วย กล่าวไปกล่าวมา ก็คงเพราะเห็นว่าจวนสี่ไม่มีผู้ใดกระมัง!”

เขาจักต้องสอบเป็นจิ้นซื่อให้ได้ จักต้องดำรงตำแหน่งหนึ่งในเสนาบดีทั้งเก้าให้ได้ ทำให้ผู้คนในซอยจิ่วหรูเห็นว่า จวนสี่ของพวกเขาไม่ได้เป็นที่รังแกได้ง่ายๆ ขนาดนั้น

………………………………………………………………….

[1] ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งในการสอบระดับมณฑล จะได้รับยศเจี้ยหยวน (解元)

[2] ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งในการสอบระดับท้องถิ่น จะได้รับยศอั้นโส่ว (案首)

[3] ในการสอบขุนนางแต่ละระดับ ชื่อของผู้ที่สอบผ่านจะจารึกบนกระดานต่างๆ ดังนี้ ผู้ที่สอบผ่านการสอบระดับมณฑล จะได้รับยศจวี่เหรินและจารึกชื่อบนกระดานไม้กุ้ยฮวา เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ดอกกุ้ยฮวาผลิบาน ซึ่งก็คือฤดูใบไม้ร่วง ผู้ที่สอบผ่านการสอบระดับประเทศ จะได้รับยศก้งซื่อและจารึกชื่อบนกระดานไม้ต้นท้อ เนื่องจากเป็นฤดูที่ดอกท้อผลิบาน ส่วนผู้ที่สอบผ่านการสอบหน้าพระที่นั่ง จะได้รับยศจิ้นซื่อ และได้จารึกชื่อบนกระดานทองคำ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ยามดอกวสันต์ผลิบาน 280 เริ่มต้น

Now you are reading ยามดอกวสันต์ผลิบาน Chapter 280 เริ่มต้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เฉิงเวิ่นดึงตัวเฉิงฉืออย่างร้อนรน หมายจะออกไปสนทนาข้างนอก

มีบ่าวเด็กวิ่งเข้ามา รายงานเสียงดังว่า “ท่านผู้นำตระกูลมาแล้วขอรับ!”

เสียงทุกเสียงภายในห้องพลันหยุดชะงักลงทันใด ทุกคนลุกพรึ่บขึ้นมา

เฉิงซวี่ห้อมล้อมไปด้วยบ่าวชายหลายคน ดวงหน้าประดับรอยยิ้มเบิกบาน เดินเข้ามาด้วยสีหน้าสดใส

“ท่านผู้นำตระกูล!” ไม่รู้ว่าเกิงเกอเอ๋อร์ดิ้นหลุดจากมือของเฉิงฉือไปได้อย่างไร เรียวขาเล็กวิ่งจ้ำอ้าว ไปหาเฉิงซวี่ดังตึงๆ ๆ

เสียงอันกังวานใสของเขาก้องสะท้อนอยู่ภายในศาลาทิงอวี่อันเงียบงัน

เฉิงซวี่ไม่ได้คิดว่าเขาเสียกิริยาแต่อย่างใด อุ้มเกิงเกอเอ๋อร์ขึ้นมาอย่างเริงร่า พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “บทเรียนที่เทียดมอบหมายให้เกิงเกอเอ๋อร์เมื่อวาน เกิงเกอเอ๋อร์ทำเสร็จแล้วหรือยังเอ่ย”

เกิงเกอเอ๋อร์พยักหน้าหงึกๆ เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วว่า “‘จงเลือกส่วนที่ดีของผู้อื่นมาเป็นแบบอย่าง ส่วนที่ไม่ดีจงนำมาแก้ไขปรับปรุงตนเอง’ กล่าวคือ ‘ผู้ที่รักครอบครัว มิกล้าชิงชังผู้อื่น ผู้ที่เคารพครอบครัว มิกล้าละเลยผู้อื่น รักและเคารพครอบครัวด้วยสุดใจ สั่งสอนศีลธรรมแก่ปุถุชน ยึดถือปฏิบัติทั้งแผ่นดิน แม้แต่โอรสสวรรค์ก็ต้องกตัญญู’ ใน ‘บัญญัติการลงทัณฑ์ของฝู่’ กล่าวว่า ‘คนหนึ่งเฉลิมฉลอง คนทั้งปวงร่วมเฉลิมฉลอง’ หมายความว่าผู้ที่รักใคร่บิดามารดาของตน จะไม่รังเกียจชิงชังบิดามารดาของผู้อื่น ผู้ที่เคารพเทิดทูนบิดามารดาของตน จะไม่ปล่อยปละละเลยบิดามารดาของผู้อื่น ปรนนิบัติบิดามารดาด้วยความรักและความเคารพสุดกำลังความสามารถ สั่งสอนศีลธรรมจริยธรรมให้แก่ประชาชน ทำให้ปวงชนทั้งแผ่นดินยึดถือเป็นแบบอย่าง นี่คือหลักความกตัญญูกตเวทิตาของโอรสสวรรค์! ใน ‘บัญญัติการลงทัณฑ์ของฝู่’ กล่าวไว้ว่า ‘โอรสสวรรค์ทรงเปี่ยมด้วยคุณธรรม ปวงประชาล้วนยึดถือปฏิบัติตามเขา’“

เขาพูดจบ ก็เบิกดวงตากลมโตถามเฉิงซวี่ว่า “ท่านผู้นำตระกูล ข้าท่องได้ถูกต้องหรือไม่ขอรับ”

นี่คือส่วนหนึ่งใน ‘คัมภีร์กตัญญู’

เฉิงฉือได้ยินแล้วนัยน์ตามีความไม่เห็นด้วยสายหนึ่งวาบผ่าน

ทุกครั้งล้วนย้ำเตือนเขาว่าต้องกตัญญูต่อบิดามารดาอย่างอ้อมค้อมเช่นนี้อยู่ร่ำไป ไม่รู้ว่าเฉิงซวี่จะรู้สึกเหน็ดเหนื่อยบ้างหรือไม่

เฉิงหลูจมเข้าสู่ห้วงความคิด

แม้ว่าเขาไม่ได้ดูแลกิจการของตระกูล แต่หลายปีมานี้การที่จวนรองหวาดเกรงจวนหลักยิ่งขึ้นเขาก็สัมผัสได้เหมือนกัน

ท่านผู้นำตระกูลให้เกิงเกอเอ๋อร์ท่องจำ ‘คัมภีร์กตัญญู’ ส่วนนี้ ทำไปโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจกันแน่

เขาชำเลืองมองเฉิงฉือทีหนึ่ง

เฉิงฉือยืนอยู่ด้านข้างอย่างสบายๆ ราวกับว่าเรื่องราวทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขาเลยอย่างไรอย่างนั้น

เฉิงหลูลอบผ่อนลมหายใจอยู่ในใจ

โชคดีที่เฉิงจื่อชวนเป็นผู้มีความอดทนอดกลั้นยิ่ง ถ้าหากเปลี่ยนเป็นเขาล่ะก็ คงจะกระโดดออกไปโต้กลับเฉิงซวี่นานแล้ว! ทั้งมิได้ขาดยศตำแหน่ง หรือไร้ความสามารถในการหาเงินทอง เหตุใดถึงยอมรับถ้อยคำเหน็บแนมของเฉิงซวี่เล่า ทุกครั้งที่พบหน้ากันล้วนพูดจาอย่างคลุมเครือให้คนฟังแล้วรู้สึกลำบากใจ

จื่อชวนช่างใจเย็นจริงๆ!

ทว่าดวงหน้าของเฉิงซวี่กลับยิ้มแฉ่งดั่งดอกไม้แย้มบาน

“ถูกต้องๆๆ” เขาเอ่ยชมรัวๆ “เกิงเกอเอ๋อร์ของพวกเราฉลาดหลักแหลมจริงๆ”

เกิงเกอเอ๋อร์เงยใบหน้าเล็กขึ้นมาฉีกยิ้มให้เฉิงสือบิดาของตนอย่างภาคภูมิใจ

นัยน์ตาของเฉิงสือเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดี แต่กลับทำหน้านิ่งพลางกล่าวว่า “อย่าเพิ่งกระดิกหางอย่างลำพองใจไปเลย ท่านผู้นำตระกูลเห็นว่าเจ้าอายุยังน้อย ดังนั้นจึงเอ่ยชมเจ้าเป็นพิเศษ ภายในห้องนี้มีคนมากมายที่เรียนหนังสือเก่งกว่าเจ้านัก! ยังไม่รีบขอบคุณท่านผู้นำตระกูลอีก”

เกิงเกอเอ๋อร์จึงกล่าวขอบคุณเฉิงซวี่

เฉิงซวี่พยักหน้าเล็กน้อยแล้วส่งเกิงเกอเอ๋อร์ให้เฉิงสือ

เฉิงเวิ่นเห็นว่าบรรยากาศดียิ่ง อารมณ์ของเฉิงซวี่ก็ดีมากเช่นกัน ก้าวออกมาลูบศีรษะของเกิงเกอเอ๋อร์อย่างรักใคร่เอ็นดู พลางกล่าวยิ้มๆ อย่างประจบว่า “มิน่าผู้คนถึงได้กล่าวว่า ‘ฮ่องเต้ทรงรักโอรสองค์โต แต่ปวงประชารักบุตรชายคนเล็ก’ ท่านผู้นำตระกูลโปรดปรานเจ้าจริงๆ! ยังสอนเจ้าอ่าน ‘คัมภีร์กตัญญู’ ด้วยตนเอง ความกตัญญูเป็นคุณธรรมแรกของคุณธรรมอันดีทั้งปวง! ต่อไปเจ้าจักต้องแสดงความกตัญญูต่อท่านผู้นำตระกูลให้ดีถึงจะถูก!”

เฉิงสือได้ยินแล้วประหนึ่งถูกตบเข้าบ้องหูฉาดหนึ่ง อยากจะก้าวไปปิดปากเฉิงเวิ่นเสียเหลือเกิน

หากพูดไม่เป็นก็อย่าได้เอ่ยปากพูดเลยจะดีกว่า

อยากจะชมเชยเกิงเกอเอ๋อร์ แต่ไม่รู้จะพูดอะไร เลยนำเอาสำนวน ‘ฮ่องเต้ทรงรักโอรสองค์โต แต่ปวงประชารักบุตรชายคนเล็ก’ มาเปรียบเปรย เฉิงเวิ่นเขาเป็นยายเฒ่าบ้านนอกที่ไม่รู้หนังสือหรืออย่างไร

ยังบอกให้เกิงเกอเอ๋อร์อ่าน ‘คัมภีร์กตัญญู’ แล้วต้องแสดงความกตัญญูต่อท่านผู้นำตระกูลให้ดีอีก

หากไม่ใช่เพราะรู้ว่าเฉิงเวิ่นเป็นผู้ที่พูดจาโผงผางและด้อยความรู้คนหนึ่ง เขาคงจะคิดว่าเฉิงเวิ่นกำลังจะบอกเป็นนัยว่าเกิงเกอเอ๋อร์ไม่กตัญญูต่อท่านผู้นำตระกูลเสียแล้ว ดังนั้นท่านผู้นำตระกูลจึงต้องสอนเขาอ่าน ‘คัมภีร์กตัญญู’ ด้วยตนเอง…หากชื่อเสียงนี้แพร่ออกไปล่ะก็ ต่อไปเกิงเกอเอ๋อร์ยังจะมีที่ยืนในหมู่บัณฑิตได้อยู่หรือ ไม่สิ ยังจะมีที่ยืนในสังคมได้อยู่หรือ

ช่างเป็นคนที่มือไม่พายแต่เอาเท้าราน้ำผู้หนึ่งเสียจริงๆ!

ไม่แปลกเลยที่ไม่ว่าเฉิงเวิ่นจะเสนอหน้าต่อหน้าท่านผู้นำตระกูลอย่างไร ท่านผู้นำตระกูลก็ล้วนไม่สนใจไยดีเขา

เฉิงซวี่แสร้งทำราวกับไม่ได้ยิน กล่าวกับหลานชายและเหลนทั้งหลายด้วยสีหน้าอบอุ่นว่า “ทุกคนนั่งลงคุยกันเถอะ!”

ทุกคนต่างขานรับอย่างนอบน้อม พากันนั่งลงไปตามๆ กัน

สีหน้าของเฉิงเวิ่นประเดี๋ยวแดงก่ำประเดี๋ยวขาวซีด รู้สึกลำบากใจเหลือเกิน

เขาทำอะไรผิดอีกแล้วหรือ

หรือว่าเพียงเอ่ยชมเกิงเกอเอ๋อร์ก็ผิดแล้วอย่างนั้นหรือ

เขาก็เพียงเลี้ยงดูอนุอยู่ข้างนอกคนหนึ่ง แล้วก็จัดการเก็บกวาดคนที่บ้านไปครั้งหนึ่งเท่านั้นมิใช่หรือ ท่านผู้นำตระกูลไม่ถึงกับต้องชักสีหน้าใส่เขาอยู่ตลอดก็ได้กระมัง

จิตใจออกจะคับแคบเกินไปแล้ว!

เฉิงเวิ่นอดรู้สึกอับอายไม่ได้ พึมพำเอ่ยคำว่า “ท่านผู้นำตระกูล” ไปเสียงหนึ่ง น้ำเสียงนั้นประหนึ่งสตรีในห้องหอที่คร่ำครวญอย่างเสียใจก็ไม่ปาน

ภายในห้องมีคนหัวเราะ “หึ” ขึ้นมาเสียงหนึ่ง

ทุกคนต่างหันหน้าไปตามเสียงโดยมิได้นัดหมาย ก็เห็นมุมปากของเฉิงฉือที่ยังไม่ทันได้เก็บซ่อนรอยยิ้มกลับไป

เฉิงซวี่อดย่นหัวคิ้วไม่ได้

ตอนที่เฉิงฉือเพิ่งเข้ามารับช่วงดูแลกิจการของตระกูลนั้นเขายังยึดมั่นในความคิดเห็นของตนเองยามอยู่กับตนอยู่ แต่นานวันเข้า ยามอยู่ต่อหน้าเขาเฉิงฉือก็เสมือนกับสวมหน้ากากอันหนึ่งเอาไว้ก็ไม่ปาน ที่มักจะยิ้มน้อยๆ พร้อมกับขานรับว่า “ขอรับ” อยู่เสมอ หากความคิดเห็นของทั้งสองคนเห็นพ้องต้องกันก็ดีไป แต่ถ้าหากความคิดเห็นของทั้งสองคนไม่ลงรอยกัน เฉิงฉือก็มักจะแสร้งทำหูทวนลมกับถ้อยคำของเขา ทั้งที่เพิ่งจะขานรับยิ้มๆ ว่า “ขอรับ” แต่พอหมุนกายจากไป กลับกลายเป็นอยากจะทำอะไรก็ทำไปเสียอย่างนั้น…

สำหรับเรื่องนี้ เขาได้ตักเตือนเฉิงฉือทั้งทางตรงและทางอ้อมไปแล้วหลายครั้ง

แต่เฉิงฉือกลับค่อยๆ ปีกกล้าขาแข็งขึ้น โดยเฉพาะเฉิงจิง เขาคิดไม่ถึงว่าแม้หยวนเหวยชางไม่ได้สนับสนุนเฉิงจิง แต่เฉิงจิงก็หาทางเข้าสู่ราชสำนักได้ ทุกวันนี้เขาล้วนไม่เหลือช่องทางอำนาจมาควบคุมจวนหลักกับเฉิงฉือได้อีกแล้ว ถ้อยคำโอ้อวดพูดข่ม สุดท้ายหาได้เป็นแผนการระยะยาวไม่ แต่เฉิงฉือก็ไม่เคยท้าทายอำนาจของตนเฉกเช่นวันนี้ ไม่คาดคิดว่าจะหัวเราะเยาะเขาต่อหน้าคนทั้งตระกูล

บรรยากาศเช่นนี้ไม่อาจให้คงอยู่นานได้

หาไม่แล้วซอยจิ่วหรูยังจะเหลือผู้ใดที่เห็นเขาอยู่ในสายตา หรือเห็นจวนรองอยู่ในสายตาอีกเล่า!

“จื่อชวน” เฉิงซวี่จ้องมองเฉิงฉือ พลางกล่าว “เจ้าคิดว่าพี่ชายเวิ่นของเจ้าน่าขบขันยิ่งนักหรือ”

ถ้อยคำที่เอ่ยออกมากลับดึงเฉิงเวิ่นเข้าไปเกี่ยวพันกับเรื่องนี้ด้วยเสียแล้ว

เฉิงเวิ่นตระหนกตกใจจนตัวสั่นเทิ้ม กำลังคิดจะกล่าวว่า “ไม่เป็นไรขอรับ” เฉิงฉือก็ยิ้มพลางกล่าวออกมาก่อนว่า “ท่านผู้นำตระกูลกล่าวเป็นจริงเป็นจังเกินไปแล้ว! ข้าเห็นท่าทีของท่านผู้นำตระกูลกับพี่ชายเวิ่นแล้ว จู่ๆ ก็นึกถึงท่านพ่อที่เสียชีวิตไปแล้วขึ้นมา” ขณะที่เขากล่าว ก็พรูลมหายใจยาวเหยียด สีหน้าเปลี่ยนเป็นเศร้าสร้อยเล็กน้อย “จะว่าไปแล้วท่านพ่อของข้าจากไปยี่สิบปีแล้ว หากตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่ ก็คงถึงวัยได้ ‘ทำตามดังที่ใจปรารถนาโดยไม่ละเมิดกฎเกณฑ์’ บ้างแล้ว…”

ภายในห้องพลันเงียบงันไปชั่วขณะ

เฉิงซวินดำรงตำแหน่งหนึ่งในเสนาบดีทั้งเก้าตอนที่สิ้นชีพ

หากเฉิงซวินยังมีชีวิตอยู่ ต้องได้รับแต่งตั้งเข้าสู่ราชสำนักเป็นแน่

เช่นนั้นจวนหลักก็จะมีขุนนางใหญ่ในราชสำนักถึงสองคน

ซอยจิ่วหรูไหนเลยจะมีพื้นที่ให้เฉิงซวี่บงการได้เล่า

เฉิงซวี่รู้ดีว่าเวลานี้ตนควรจะเก็บอารมณ์ให้มากกว่ายามปกติ แต่ถ้อยคำของเฉิงฉือนี้ราวกับทิ่มแทงหัวใจของเขาก็ไม่ปาน ทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่

บรรยากาศภายในห้องพลันหยุดชะงักลง

เฉิงอี๋กลัวว่าเฉิงฉือกับเฉิงซวี่จะมีปากเสียงกัน

ถึงเวลานั้นก็อาจกลายเป็นเทพเซียนสู้รบกัน แต่ภูติผีต้องรับเคราะห์เสียแล้ว

เขารีบกล่าวขึ้นว่า “หากน้องชายฉือไม่พูดขึ้นมา ข้าก็ลืมไปแล้วว่าท่านลุงซวินจากไปกว่ายี่สิบปีแล้ว อีกไม่นานก็จะถึงกลางเดือนเจ็ด ข้าว่าไม่สู้ทำพิธีให้ท่านลุงซวินดีๆ สักครั้งจะดีกว่า”

“ข้าก็คิดเช่นนี้” เฉิงฉือกล่าว “ตอนที่ไปเยี่ยมหลุมฝังศพของท่านพ่อช่วงเทศกาลเช็งเม้งท่านแม่ยังกล่าวเรื่องนี้กับข้า แต่ข้าคิดว่าภายในตระกูลยังมีผู้อาวุโสอยู่ ในใจจึงเกิดความลังเลอยู่บ้าง เมื่อครู่พอได้ยินเกิงเกอเอ๋อร์ท่อง ‘คัมภีร์กตัญญู’ และเอ่ยถึงบัญญัติการลงทัณฑ์ของฝู่แล้ว ก็คิดว่าข้าได้ละเลยบิดาเช่นกัน กำลังคิดอยู่ว่าวันไหนที่มีเวลาว่างจะหารือเรื่องนี้กับท่านผู้นำตระกูล ปรากฏว่าพี่ชายเวิ่นก่อเรื่องวุ่นวายขึ้น จึงทำให้ลืมเรื่องนี้ไปเสีย” เขากล่าวถึงประโยคสุดท้าย ก็ยกยิ้มขึ้นมา

ทว่าเฉิงอี๋และคนอื่นๆ กลับยิ้มไม่ออก

พวกเขาล้วนเป็นผู้คงแก่เรียน

ล้วนหยิบยกถ้อยคำจากหนังสือตำรามาอ้างอิงได้อย่างคล่องแคล่ว

บัญญัติการลงทัณฑ์ของฝู่ เป็นประกาศในรัชสมัยจักรพรรดิโจวมู่ว่าด้วยบทลงโทษ ออกประกาศใช้โดยหลี่ว์โหว ต่อมาคนรุ่นหลังของหลี่ว์โหวเปลี่ยนแซ่ตนเป็นฝู่โหว จึงเป็นที่มาของชื่อบัญญัติการลงทัณฑ์ของฝู่ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นตะวันออกเหตุเพราะมีคนที่พ่อแม่ถูกหมิ่นเกียรติแล้วบันดาลโทสะจนเข่นฆ่าผู้อื่นซึ่งเป็นการละเมิดบัญญัติการลงทัณฑ์ของฝู่ เรื่องนี้อุทธรณ์ไปถึงองค์ฮ่องเต้ ทว่าองค์ฮ่องเต้กลับอภัยโทษคนผู้นั้นด้วยเหตุผลว่า ‘ความกตัญญูเป็นคุณธรรมแรกของคุณธรรมอันดีทั้งปวง’ ซึ่งบัญญัติข้อนี้ยังคงใช้กันอยู่จนถึงทุกวันนี้

ทว่าเฉิงฉือไม่ใช่เฉิงเวิ่น

เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเอ่ยถึงบัญญัติการลงทัณฑ์ของฝู่โดยไร้มูลเหตุเป็นแน่ ซ้ำยังกล่าวว่าตนเองละเลยบิดา

เฉิงซวี่อดหรี่ตาลงไม่ได้ แสงเยียบเย็นพุ่งออกไปดั่งกระบี่แหลมคม

เฉิงฉือหมายความว่าอะไร

คิดว่าการตายของเฉิงซวินเกี่ยวข้องกับตนหรือ หมายจะล้างแค้นให้บิดาอย่างนั้นหรือ

หรือคิดว่ายามนี้จวนหลักเรืองอำนาจ จึงบอกเป็นนัยแก่ทุกคนว่าเขาเป็นตาแก่หงำเหงือก ไม่จำเป็นต้องเก็บตนอยู่ในสายตา อยากจะฉวยโอกาสนี้แข็งข้อกับตนอย่างนั้นหรือ

เฉิงซวี่ลอบยิ้มเย็นอยู่ในใจ ทว่าดวงหน้ากลับสงบนิ่ง กล่าวเสียงเบาว่า “แม้จะกล่าวว่าเป็นงานเลี้ยงต้อนรับโหย่วอี้กับเจียซ่าน แต่ก็ตั้งใจเชิญทุกคนมาพบปะสังสรรค์พูดคุยกันด้วยเช่นกัน จื่อชวนเสนอความคิดนี้ขึ้นมาก็ดี สุสานบรรพชนของตระกูลเฉิงไม่ได้ซ่อมแซมมาหลายปีแล้ว ดังที่หลานอี๋กล่าวมา อีกไม่นานก็ใกล้จะกลางเดือนเจ็ดแล้ว ถึงเวลานั้นพวกเราต่างต้องไปกราบไหว้บรรพบุรุษ ไม่สู้ถือโอกาสที่หลายวันนี้ไม่ติดธุระอะไร จื่อชวน เจ้าจัดเตรียมคนไปซ่อมแซมสุสานบรรพชนดีๆ สักครั้ง ก็นับว่าพวกเราได้แสดงความกตัญญูต่อบรรพชนแล้ว”

อยากจะซ่อมแซมสุสานแห่งหนึ่ง เช่นนั้นก็ต้องซ่อมแซมสุสานบรรพชนในรัชสมัยก่อนๆ ของตระกูลเฉิงทั้งหมดด้วย คิดจะซ่อมแซมหลุมฝังศพของเฉิงซวินเพียงหลุมเดียว เป็นไปไม่ได้หรอก

ทรวงอกของเฉิงซวี่ราวกับถูกศิลาก้อนใหญ่กดทับไว้ก็ไม่ปาน

เฉิงฉือยกยิ้ม ไม่ได้แสดงความคิดเห็นแต่อย่างใด

เฉิงซวี่ใจเต้นตึกตักระรัว

เฉิงอี๋เห็นสถานการณ์ไม่ดี ยิ้มพลางก้าวออกมา ยืนอยู่ระหว่างเฉิงซวี่กับเฉิงฉือ กล่าวว่า “วันนี้เป็นงานเลี้ยงต้อนรับโหย่วอี้กับเจียซ่าน โดยเฉพาะเจียซ่าน เดือนแปดก็ต้องเข้าร่วมการสอบระดับมณฑลแล้ว พวกเราทุกคนยังคาดหวังให้เขาสอบได้ตำแหน่งเจี้ยหยวน[1]! เจียซ่านเป็นอั้นโส่ว[2] คนแรกของตระกูลเฉิงของพวกเรา! ดังนั้นข้าคิดว่าเรื่องการซ่อมแซมสุสานบรรพชนยังไม่ต้องเร่งรีบถึงเพียงนั้น ตอนนี้สนใจการสอบระดับมณฑลของเจียซ่านก่อนแล้วค่อยว่ากันใหม่ รอให้เจียซ่านสอบผ่านได้จารึกชื่อบนกระดานไม้กุ้ยฮวา[3] แล้วค่อยซ่อมแซมสุสานบรรพชนและกราบไว้บรรพบุรุษก็ได้ เช่นนั้นจึงจะเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทีอย่างแท้จริง! น้องชายเหมี่ยน เจ้าว่าจริงหรือไม่”

เฉิงเหมี่ยนหลบหลีกอย่างไรก็หลบไม่พ้นจริงๆ ได้แต่กล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่ชายอี๋ก็รู้จักข้าดี แต่ไรมาข้าก็ไม่เคยออกความคิดเห็นอะไร พี่น้องทั้งหลายว่าอย่างไร ข้าก็ทำอย่างนั้น ไม่ว่าจะเป็นการออกเงินหรือลงแรง ข้าพร้อมทำเสมอ”

เฉิงอี๋หัวเราะฮ่าๆ แล้วเชิญทุกคนให้นั่งลง “ทุกคนต่างมากันครบแล้ว หากมีเรื่องอะไรกินข้าวเสร็จแล้วค่อยหารือกันเถอะ”

เฉิงเวิ่นนึกถึงเหตุการณ์เมื่อครู่ก็ตื่นตระหนกจนเหงื่อเย็นชุ่มไปทั้งตัว พอได้ยินก็รีบกล่าวขึ้นว่า “ใช่แล้วๆ! พวกเรากินข้าวกันก่อนแล้วค่อยหารือเถอะ ท้องฟ้าและแผ่นดินล้วนยิ่งใหญ่ แต่เรื่องกินยิ่งใหญ่ที่สุด”

เฉิงเหมี่ยนคลี่ยิ้มพลางกล่าว “ยังเป็นน้องชายเวิ่นที่ไร้ความทุกข์ร้อนใดๆ!”

“ด้วยเหตุนี้ร่างกายข้าจึงอวบอ้วนที่สุดอย่างไรเล่า!” เฉิงเวิ่นหัวเราะหยันตนเอง ทักทายเฉิงสือกับเด็กหนุ่มรุ่นลูกคนอื่นๆ สองสามคนแล้วนั่งลงไป

เฉิงเก้าลอบกำหมัดอย่างเงียบๆ

ท่านอาสี่ฉือกับท่านผู้นำตระกูลทะเลาะกัน เกี่ยวอะไรกับจวนสี่ของพวกเขาด้วยเล่า ทว่าเฉิงอี๋กลับลากบิดาลงน้ำตามไปด้วย กล่าวไปกล่าวมา ก็คงเพราะเห็นว่าจวนสี่ไม่มีผู้ใดกระมัง!”

เขาจักต้องสอบเป็นจิ้นซื่อให้ได้ จักต้องดำรงตำแหน่งหนึ่งในเสนาบดีทั้งเก้าให้ได้ ทำให้ผู้คนในซอยจิ่วหรูเห็นว่า จวนสี่ของพวกเขาไม่ได้เป็นที่รังแกได้ง่ายๆ ขนาดนั้น

………………………………………………………………….

[1] ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งในการสอบระดับมณฑล จะได้รับยศเจี้ยหยวน (解元)

[2] ผู้ที่สอบได้อันดับหนึ่งในการสอบระดับท้องถิ่น จะได้รับยศอั้นโส่ว (案首)

[3] ในการสอบขุนนางแต่ละระดับ ชื่อของผู้ที่สอบผ่านจะจารึกบนกระดานต่างๆ ดังนี้ ผู้ที่สอบผ่านการสอบระดับมณฑล จะได้รับยศจวี่เหรินและจารึกชื่อบนกระดานไม้กุ้ยฮวา เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ดอกกุ้ยฮวาผลิบาน ซึ่งก็คือฤดูใบไม้ร่วง ผู้ที่สอบผ่านการสอบระดับประเทศ จะได้รับยศก้งซื่อและจารึกชื่อบนกระดานไม้ต้นท้อ เนื่องจากเป็นฤดูที่ดอกท้อผลิบาน ส่วนผู้ที่สอบผ่านการสอบหน้าพระที่นั่ง จะได้รับยศจิ้นซื่อ และได้จารึกชื่อบนกระดานทองคำ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+