ย้อนเวลากลับมาเป็นเทพยุทธ์ 200
ชายหนุ่มผู้ใช้หอกไม้ส่งสายตากับชายหนุ่มผมยาวผู้ใช้ดาบไม้ ทั้งสองตัดสินใจจู่โจมพร้อมกันทั้งสองด้าน ชายหนุ่มแทงหอกไม้อย่างรุนแรง ตรงเข้ากลางลำตัวของหญิงสาว ในเวลาเดียวกันชายหนุ่มผมยาวด้านหลังพุ่งเข้ามาฟันดาบไม้ ใส่กลางหลังของหญิงสาว
แววตาใต้แว่นนิ่งสงบไม่ลนลานตกใจ หญิงสาวใช้ท่าร่างหมุนตัวหลบการโจมตีทั้งสองอย่างรวดเร็ว เหมือนกำลังร่ายรำพร้อมกับฟันกระบี่ไม้ออกไปสองครั้ง คมกระบี่ฟันเข้าใส่ท้องของชายหนุ่มทั้งสองอย่างแม่นยำ พลังชีวิตของทั้งสองลดไป 30 ทันที
หญิงสาวพุ่งตัวตามร่างของชายถือหอก กระบี่ไม้แทงตรงเข้ากลางหลัง
“แย่แล้ว!”ชายถือหอกกำหอกแน่น ควงหอกหมุนตัวกับมารับเอาไว้ แต่ในชั่วพริบตา กระบี่ไม้ถูกดึงกลับและฟันเข้าที่มือที่จับหอกขึ้นมาป้องกัน
ปึก! พลังชีวิตของชายถือหอกลดลงไป 10
หญิงสาวยกกระบี่จะฟันอีกครั้ง
ในชั่วเวลาที่ชายถือหอกกำลังตกอยู่ในอันตราย ชายผมยาวพุ่งเข้ามาช่วยได้ทัน ทำให้หญิงสาวต้องหันกับมาต่อสู้กับชายผมยาว
ชายถือหอกหน้าซีด ก่อนจะกลายเป็นแดงก่ำด้วยความอับอาย เขารู้ได้ทันทีว่า การต่อสู้เมื่อครู่ต้องถูกถ่ายไปที่ สนามประลองอย่างแน่นอน
พวกเขาชายหนุ่มสามคนรุมหญิงสาวเพียงคนเดียว พวกเขายังแพ้ ออกจากการต่อสู้ไป 1 คน และเขายังเสียพลังชีวิตไปเกือบครึ่งอีก
ชายถือหอกไม้กัดฟันแน่น พุ่งเข้าไปช่วยเพื่อนของเขา
จิวโมไป๋ที่หลบอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย เขามองกระบวนท่ากระบี่ของหญิงสาวแล้วพยักหน้าเบาๆ
การฝึกฝนเคล็ดวิชา มันต้องใช้พรสวรรค์ในความเข้าใจกระบวนท่า และความพยายามมหาศาล ที่ต้องฝึกฝนใช้วิชาซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนร่างกายจดจำกระบวนท่าเหล่านั้น การก้าวหน้าเคล็ดวิชาแต่ละขั้น ยิ่งฝึกฝนยิ่งยากลำบาก เหมือนจะต้องทำลายกำแพงที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น เพื่อก้าวผ่านไปเรื่อยๆ
การฝึกฝนเคล็ดวิชาให้ก้าวหน้า ไม่เพียงต้องเข้าใจในเคล็ดวิชาเท่านั้น ร่างกายจะต้องสร้างความคุ้นเคยเพื่อติดตามระดับความเข้าใจ มีความเข้าใจแต่ร่างกายแข็งกระด้างไม่สามารถตอบสนองได้ทัน ก็ไม่สามารถก้าวหน้าได้
แม้จะสำเร็จวิชาระดับสูง ถ้าไม่ฝึกฝนวิชาเหล่านั้นเป็นประจำ การใช้เคล็ดวิชาจะอ่อนแอ ขาดความแข็งแกร่ง จนถดถอยได้ ทำให้ยากที่จะฝึกฝนเคล็ดวิชาประเภทเดียวกันหลายวิชาพร้อมกัน จึงไม่แปลกที่ภายหลังจะฝึกฝนแค่เพียงเคล็ดวิชาเดียว
การฝึกฝนเคล็ดวิชาไม่มีทางลัด ต้องใช้ความพยายามของตัวเองเท่านั้น ไม่มีอะไรช่วยได้
บ่งบอกถึงความยากลำบากในการฝึกฝนเคล็ดวิชาให้ก้าวหน้า
ใน 6 ระดับความสำเร็จของเคล็ดวิชา
หญิงสาวสามารถฝึกฝนกระบวนท่าวิชากระบี่ ถึงระดับตระหนักรู้ ด้วยวัยเพียงเท่านี้ แม้แต่ในมิติชั้นสูง ก็ยากที่จะพบ ส่วนมากแล้วจะเป็นคนที่ได้รับการชี้แนะจากยอดฝีมือ ถึงจะสามารถสำเร็จเคล็ดวิชาได้ถึงระดับนี้ด้วยวัยเพียงเท่านี้ได้
จิวโมไป๋ตรวจสอบกระบวนท่าวิชากระบี่ที่หญิงสาวใช้ แววตาของเขายิ่งเป็นประกาย
หญิงสาวกำลังใช้วิชากระบี่พื้นฐาน แม้จะไม่ได้เป็นวิชากระบี่พื้นฐานที่หลอมรวมมาจาก วิชากระบี่พื้นฐานในมิติทั้งมวล เหมือนที่จิวโมไป๋ฝึก แต่วิชากระบี่พื้นฐานของหญิงสาว มีกระบวนท่าครบถ้วนสมบูรณ์ ไม่ส่งผลกระทบต่อรากฐานวิชากระบี่ และไม่ยากที่จะปรับเปลี่ยนในภายหลัง
จิวโมไป๋มองการใช้กระบวนท่าที่ลื่นไหล ราวกับเป็นหนึ่งเดียวกัน เขานิ่งไปเล็กน้อย หรือว่าหญิงสาวสามารถปรับเปลี่ยนกระบวนท่ากระบี่พื้นฐาน ให้เหมาะสมกับร่างกายของเธอเอง?
พรสวรรค์เช่นนี้
จิวโมไป๋อดไม่ได้ที่จะชื่นชม
การฝึกฝนเคล็ดวิชาเป็นเส้นทางที่โดดเดียวที่สุด มันไม่มีอะไรที่จะช่วยให้ก้าวหน้าได้ นอกจากความพยายามของตัวเอง ยิ่งเข้าใจมากขึ้นเส้นทางยิ่งคับแคบ
ผู้บ่มเพาะจำนวนมาก ไม่สนใจฝึกเคล็ดวิชาจนแข็งแกร่ง พวกเขาหาเคล็ดวิชาระดับสูงมากขึ้น ดีกว่าเสียเวลาฝึกฝนวิชา เพราะความยากลำบากในการฝึก
จิวโมไป๋ที่กลับมาเกิดใหม่ มีความรู้ความเข้าใจในเคล็ดวิชาต่างๆติดตัวมา
เขาสามารถก้าวหน้าได้เร็ว ได้เปรียบคนอื่นอย่างมหาศาล แต่ร่างกายของเขาไม่สามารถตามได้ทัน
เขาฝึกฝนมา 3 เดือน วิชากระบี่พื้นฐาน วิชาท่าร่างย่างก้าวประกายภูต วิชาพลองผ่านฟ้า วิชาทั้งสามติดอยู่ที่ระดับเข้าใจ อีกขั้นเดียวจะถึงระดับตระหนักรู้
เขามีเวลาในการฝึกฝนกระบวนท่าไม่เพียงพอ ทำให้ร่างกายของเขายังไม่สามารถจดจำกระบวนท่าเหล่านั้นได้ลึกซึ้ง
สำหรับกระบี่ล้างบาป เขาฝึกฝนอยู่แค่ระดับเชี่ยวชาญ เขาไม่พยายามฝึกฝนต่อ เพราะเขาต้องฝึกฝนกระบี่พื้นฐาน เพื่อสร้างรากฐานวิชากระบี่ให้แข็งแกร่งก่อน ถ้าเขาฝึกกระบี่ล้างบาปในตอนนี้ พื้นฐานกระบี่ของเขาจะอ่อนแอ ยากแก่การก้าวหน้าในอนาคต
การที่หญิงสาวสามารถฝึกเคล็ดกระบี่พื้นฐานถึงระดับตระหนักรู้ ด้วยตัวของเธอเอง โดยที่ไม่มีอะไรช่วยเหลือ ในปัจจุบันไม่น่าจะมีอาจารย์กระบี่ที่แข็งแกร่งถึงขนาดสั่งสอนเธอได้่ และเธอไม่ได้เกิดใหม่เหมือนจิวโมไป๋ ความสำเร็จด้วยวัยเพียงเท่านี้ เธอต้องใช้ความพยายามอย่างมาก
แม้จะมีพรสวรรค์มากมายก็ตาม ถ้าไม่มีความพยายามก็ไม่สามารถมาถึงระดับนี้ได้
จิวโมไป๋ถอนหายใจด้วยความชื่นชมอีกครั้ง พรสวรรค์และความพยายามเช่นนี้ ยากที่จะพบเจอ เขาอดไม่ได้ที่อยากจะรับเธอเป็นศิษย์ แต่เมื่อนึกถึงอายุที่ใกล้เคียงกัน เขาก็ถอนหายใจ
ในชั่วเวลาที่จิวโมไป๋ใจลอย กระบี่ไม้ของหญิงสาวก็ฟันใส่ร่างของชายหนุ่มทั้งสองอย่างรุนแรง พลังชีวิตของทั้งสองหมดลงทันที
พวกเขาล้มลงและเครื่องป้องกันหยุดการเคลื่อนไหวของพวกเขา
หญิงสาวถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะทำท่าที่จะเดินไปจากไป หญิงสาวก็ได้ยินเสียงคนเดินมา เธอหยุดเท้าลงหันไปมอง เห็นจิวโมไป๋ถือพลองไม้เดินเข้ามา เธอยกกระบี่ไม้ชี้ไปทางจิวโมไป๋ ตั้งท่าพร้อมที่จะต่อสู้
จิวโมไป๋ยิ้มให้หญิงสาว เดินไปหยิบกระบี่ไม้ของมือกระบี่ที่ตกไว้ขึ้นมา และวางพลองไม้ลงพื้น ก่อนจะเดินไปทางหญิงสาว
“ไปพักก่อน หายเหนื่อยเมื่อไหร่ เราค่อยมาต่อสู้กัน”จิวโมไป๋กล่าว ก่อนจะหันไปมองทางอื่น
หญิงสาวมองอย่างระแวงปนสงสัย เธอตั้งท่าพร้อมต่อสู้กับจิวโมไป๋อยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าจิวโมไป๋ไม่สนใจเธอ หญิงสาวจึงเดินไปนั่งใต้ต้นไม้ที่ไกลออกไปเล็กน้อย สายตายังคงมองจิวโมไป๋ เมื่อไม่เห็นท่าทางคุกคามหรือเจตนาร้าย เธอก็หลับตาท่องเคล็ดบ่มเพาะของเธอเพื่อฟื้นฟูพลัง
จิวโมไป๋ไม่พูดอะไรชี้กระบี่ลงพื้น รอให้หญิงสาวพื้นพลัง
ในระหว่างที่กำลังรอหญิงสาวฟื้นฟูพลัง ก็มีคนผ่านมาหลายคน จิวโมไป๋ใช้กระบี่ไม้เอาชนะไปได้อย่างง่ายดาย
แม้แต่สัตว์ป่าก็ถูกจิวโมไป๋ฟาดเบาๆจนมันวิ่งหนีไป
5 นาทีผ่านไป หญิงสาวตื่นขึ้นมา มองไปยังร่างของมนุษย์ หกเจ็ดคนที่นอนอยู่บนพื้น เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะลุกขึ้นถือกระบี่เดินมาหาจิวโมไป๋อย่างช้าๆ
“นายต้องการอะไรกันแน่”หญิงสาวถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“ไม่มีอะไร ฉันสนใจการใช้กระบี่ของเธอ”จิวโมไป๋ตอบด้วยรอยยิ้ม
หญิงสาวนิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะยกกระบี่ขึ้นมา
จิวโมไป๋ก็ไม่พูดอะไรอีก เขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน เขาพุ่งเข้าหาหญิงสาวพร้อมใช้วิชากระบี่พื้นฐาน ฟันใส่หญิงสาว
หญิงสาวหรี่ตาเล็กน้อยฟันกระบี่ไม้ออกมาป้องกันเอาไว้ได้
จิวโมไป๋ก็ฟันกระบี่ออกไปด้วยด้วยวิชากระบี่พื้นฐานเหมือนเดิม หญิงสาวก็ฟันกระบี่เข้าปะทะ พวกเขาทั้งสองต่างใช้กระบี่ฟันแทงตอบโต้กันอย่างรวดเร็ว รุนแรง ไม่มีใครใช้ท่าร่างหลบหลีก พวกเขาอ่านการเครื่อนไหวของอีกฝ่ายและฟันกระบี่เข้าปะทะกับกระบี่ฝ่ายตรงข้ามตรงๆทุกครั้ง
ทั้งสองสามารถใช้กระบวนท่ากระบี่ ปะทะกันได้โดยไม่มีใครเสียเปรียบหรือได้เปรียบ เงากระบี่ไม้ปะทะกันจนเกิดเสียงดังติดๆกันไปทั่ว
จิวโมไป๋ลดพลังของร่างกายให้เท่ากับหญิงสาว ไม่อย่างนั้นด้วยพลังร่างกายของเขาสามารถสะกดข่ม กำลังกายของหญิงสาวได้
เมื่อปะทะกันไป 60 กระบวนท่า หญิงสาวก็รู้ตัวว่าจิวโมไป๋กำลังชี้แนะวิชากระบี่ให้กับเธอ เธอค่อยๆปล่อยใจศึกษาวิชากระบี่ที่จิวโมไป๋ใช้
จิวโมไป๋ยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะลดความเร็วกระบี่ลงเล็กน้อย
วิชากระบี่พื้นฐาน เป็นพื้นฐานในการใช้กระบี่ธรรมดาสามัญ ไม่มีกระบวนท่าดุดันรุนแรง พิสดาร หรือแฝงไปด้วยความหมายกระบี่ที่ลึกซึ้ง
แต่การฟันกระบี่ธรรมดา ในกระบี้พื้นฐาน ไม่ใช่เพียงแค่ฟันเพียงอย่างเดียว มันรวมถึงการใช้มือ กล้ามเนื้อ เส้นเอ็น และกระดูก หรือทุกส่วนของร่างกายในการขยับ เพื่อฟันกระบี่ออกไป
แม้จะเป็นการฟันกระบี่พื้นฐาน ที่ง่ายที่สุด ร่างกายของผู้ใช้ต้องคำนึงถึงหลายสิ่งประกอบเข้าไปด้วย
ในวิชากระบี่พื้นฐานที่จิวโมไป๋ฝึก มีทั้งหมด 108 หระบวนท่า แค่เพียงการฟัน มีทั้งทั้งหมด 27 กระบวนท่า มันหมายถึงการขยับร่างกายในการฟันกระบี่ 27 รูปแบบ
ไม่แปลกที่จิวโมไป๋พยายามจะฝึกฝนให้ถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ เพราะกระบวนท่ากระบี่พื้นฐานทั้ง 108 กระบวนท่า มันหลอมรวมการใช้กระบี่ทั้งหมด ถ้าเขาสามารถสำเร็จกระบี่พื้นฐาน มันหมายถึงเขาจะสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชากระบี่อื่นได้อย่างง่ายดาย
วิชากระบี่พื้นฐานของหญิงสาว มีเพียง 18 กระบวนท่าเท่านั้น
จิวโมไป๋จึงค่อยๆ ใช้กระบวนท่ากระบี่พื้นฐานอื่นๆ ให้หญิงสาวได้ศึกษา
หญิงสาวก็ทำตามอย่างไม่ลังเล โดยที่ทั้งสองไม่ได้พูดคุยกันแม้แต่ครึ่งคำ ผ่านไปอีก 40 กระบวนท่า หญิงสาวปรับตัวเข้ากับกระบวนท่าวิชากระบี่พื้นฐานของจิวโมไป๋ได้แล้ว มันยิ่งทำให้จิวโมไป๋พยักหน้าพอใจ ความคิดอยากรับศิษย์เพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม
ด้านนอกที่สนามประลอง ผู้ชมที่นั่งอยู่ ต่างก็มองดูการต่อสู้ของจิวโมไป๋และหญิงสาว แต่เมื่อเห็นว่าทั้งสองเหมือนไม่ได้ต่อสู้กันอย่างจริงจัง พวกเขาก็ไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้โวยวายอะไร หันไปดูการต่อสู้อื่น
ชั้นบน ห้องในร่มยาวไปตามที่นั่งคนดูด้านล่าง ภายในห้องมีที่นั่งสำหรับแขกพิเศษ
ทางด้านขวาสุดหญิงสาวในชุดคลุมสีแดงปิดใบหน้า ด้านข้างของเธอมีคนในชุดคลุมสีเขียวเข้มและเทานั่งอยู่
“ไม่คิดเลยว่าพื้นฐานวิชากระบี่ของเขาจะดีขนาดนี้ ถ้าฟงอี้เฟยมาเห็น เขาต้องคลั่งมากแน่ๆ”ชายในชุดคลุมสีเขียวเข้มพูด สายตามองไปยังจิวโมไป๋ที่กำลังต่อสู้อยู่ แววตาฉายแววสนใจเล็กน้อย
“สนใจคนอื่นด้วย เราต้องเลือกคนเข้าทดสอบเพื่อเข้าหน่วยลับให้ดีๆ อย่าเลือกมั่วๆให้เปลืองทรัพยากร”หญิงสาวในชุดคลุมสีเทาพูดขึ้น
ชายในชุดเขียวพยักหน้า ก่อนจะหันไปมองจอโฮโลแกรมของการต่อสู้อื่น
10 นาทีต่อมา ในสนามต่อสู้จำลอง A เหลือผู้เข้าแข่ง 5 คน คนที่เหลืออีกสามคนเดินมามุงรอบการต่อสู้ของจิวโมไป๋และหญิงสาว
ทั้งสองต่อสู้โดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง
จนเวลาใกล้หมด ผู้เข้าแข่งอีกสามคนรอไม่ไหว พุ่งเข้าไปหาจิวโมไป๋และหญิงสาว
จิวโมไป๋ถอนหายใจเล็กน้อย ก่อนจะใช้ท่าร่างพุ่งไปจัดการทั้งสามอย่างง่ายดาย
เมื่อทั้งสามคนออกจากการแข่งขัน ก็เหลือเขาและหญิงสาว สองคน พอดี
เสียงสัญญาณดังขึ้น
“จบการแข่งขัน”
กำไลข้อมือของจิวโมไป๋และหญิงสาวดังขึ้น พร้อมโฮโลแกรมบอกทางออก
“ฉันชื่อเซี่ยลี่เยว่ ขอบคุณที่ชี้แนะ”หญิงสาวเดินมาพูดแนะนำตัวกับจิวโมไป๋ ใบหน้าของเธอแดงเล็กน้อย เพราะความเหนื่อยจากการต่อสู้
“ฉันจิวโมไป๋”ยิ้มออกมา ก่อนที่จะชะงักเล็กน้อย และรีบถามด้วยใบหน้าของเขากลายเป็นจริงจัง
“เมื่อกี้เธอบอกว่า เธอชื่อว่าอะไรนะ”
“ฉันชื่อเซี่ยลี่เยว่ มีอะไรหรือเปล่า?”เซี่ยลี่เยว่มองจิวโมไป๋ด้วยความสงสัย
จิวโมไป๋นิ่งเงียบ
ไม่มีทางผู้หญิงคนนี้ไม่มีทางเป็น มารกระบี่เซี่ยลี่เยว่ แน่ๆ
ทางออกสนามต่อสู้จำลอง E หญิงสาวเดินออกจากสนามต่อสู้ กำไลข้อมือของเธอก็สั่นเบาๆ
‘คุณหนู จิวโมไป๋เริ่มสงสัยว่า มีคนอยู่เบื้องหลังของผม ในการทำลายตำหนักยุทธ์ของเขา’
เธอก้มลงอ่านข้อความ ใบหน้าเธอยังคงประดับด้วยรอยยิ้มเหมือนเดิมไปเปลี่ยนแปลง ก่อนจะกดส่งข้อความกลับไป
‘ไม่ต้องสนใจ’
เธอปิดกำไลข้อมือและเดินไปที่ห้องโถงใหญ่ เพื่อรอผู้ชนะในห้องต่อสู้จำลองอื่น
—
วันนี้ลง 1 ตอน ขอบคุณที่ติดตามครับ
Comments