ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนานอนที่ 218 ใครกล้าเด็ดลูกท้อของฉัน (1)

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter อนที่ 218 ใครกล้าเด็ดลูกท้อของฉัน (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 218 ใครกล้าเด็ดลูกท้อของฉัน (1)

จัดการเรื่องพวกนี้เสร็จแล้ว ฟางผิงค่อยไปตึกฝึกซ้อม

ตอนที่ถังเฟิงเห็นฟางผิงก็ไร้คำจะโต้ตอบอยู่บ้าง

เจ้าเด็กนี้จะหาเรื่องเก่งไปแล้ว!

เขาเพิ่งจะล่วงหน้ากลับมาไม่กี่วันเอง?

ปรากฏว่าพอพวกเขามาถึงมหาวิทยาลัย ฟางผิงกลับจัดการเรื่องระบบยืมคะแนนออกมาแล้ว นี่คือมหาวิทยาลัยกำลังจะหาจังหวะเปลี่ยนมาทำธุรกิจ?

แม้ว่าเซี่ยงไฮ้จะขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองการค้า แต่ถังเฟิงคิดมาตลอดว่าที่นี่คือมหาวิทยาลัย ไม่ควรจะทำให้มีบรรยากาศของธุรกิจมากเกินไป

ปรากฏว่าตอนนี้พวกคณบดีต่างสนับสนุนแผนการของฟางผิง

แม้ถังเฟิงอยากจะคัดค้านก็ไม่อาจทำได้

มองฟางผิงด้วยแววตาลึกล้ำแล้ว ถังเฟิงก็เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ผลการทดสอบครั้งนี้ทุกคนรู้โดยทั่วกันแล้ว คนกว่าครึ่งหนึ่งได้คะแนนไม่ถึงมาตรฐาน! ไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างอะไร ขึ้นชื่อว่าเป็นนักศึกษาแนวหน้าของเซี่ยงไฮ้ ทดสอบได้ไม่ถึงคะแนนมาตรฐาน นี่ถือเป็นความอัปยศอย่างหนึ่ง”

“แน่นอน เรื่องผ่านไปแล้วยังนับว่ามีผลงาน ครั้งนี้ทุกคนล้อมโจมตีผู้ฝึกยุทธ์นอกรีต ผลลัพธ์ยังคงออกมาดี อย่างน้อยก็ทำภารกิจสำเร็จ สำหรับนักศึกษาที่ทำภารกิจสำเร็จ มหาวิทยาลัยไม่คิดจะใจแคบเช่นกัน รางวัลที่มหาวิทยาลัยจะมอบให้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคะแนนทดสอบ หลักๆ แล้วจะคิดเป็นยี่สิบห้าเปอร์เซ็นต์ของคะแนนทดสอบ…”

“อาจารย์!”

ฟางผิงเอ่ยแทรกทันที “นี่มันจะน้อยเกินไปแล้ว!”

คะแนนทดสอบของเขาได้แปดร้อยคะแนน คำนวณแล้วจะเหลือแค่สองร้อยคะแนน ราคาเท่ากับยารักษาชีวิตหนึ่งเม็ดเท่านั้น?

ทั้งเขายังเป็นคนที่ได้คะแนนทดสอบสูงที่สุดในครั้งนี้!

พวกฟู่ชางติ่งยังไม่เท่าไหร่ แต่พวกหยางเสี่ยวม่านทำได้ไม่ถึงคะแนนมาตรฐานด้วยซ้ำ ถ้าคำนวณตามนี้แล้วจะเหลือแค่กี่ยี่สิบคะแนนกัน?

ยาบำรุงเลือดและปราณขั้นสองเม็ดหนึ่งต้องใช้ถึงยี่สิบคะแนน รวมกับที่ทุกคนเทียวไปเทียวมาหลายวัน สังหารผู้ฝึกยุทธ์เป็นเบือ จ่ายค่ายาบำรุงปราณตัวเองยังไม่พอด้วยซ้ำ?

ถังเฟิงพูดด้วยเสียงเรียงนิ่ง “ฟังฉันพูดให้จบก่อน!”

“นักศึกษาที่ได้คะแนนไม่ถึงมาตรฐาน ไม่มีรางวัลพิเศษให้!”

คะแนนไม่ถึงมาตรฐานก็ต้องทำใจยอมรับสินะ ไม่ได้แม้แต่คะแนนเดียว!

“พวกเธออย่าลืมว่ารางวัลทดสอบที่มอบให้ทุกคน ความจริงล้วนเป็นรางวัลเพิ่มเติม ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นต้องให้ เพื่อให้ทุกคนได้รับโอกาสแบบนี้ มหาวิทยาลัยก็ต้องจ่ายบางสิ่งออกไปโดยที่ทุกคนไม่รู้เหมือนกัน รวมถึง…การล้อมโจมตีผู้ฝึกยุทธ์นอกรีตครั้งนี้ ปรมาจารย์คนหนึ่งของเซี่ยงไฮ้ต้องถ่อไปให้ความช่วยเหลือถึงหนานเจียง แน่นอนว่าการต่อสู้กับพวกนอกรีตเป็นหน้าที่ของพวกเรา ทั้งเป็นสิ่งที่พวกเราต้องทำ! ดังนั้นฉันหวังว่าทุกคนจะไม่มองทุกอย่างเป็นผลประโยชน์จนเกินไป…”

ฟางผิงเอ่ยอย่างจนใจว่า “อาจารย์ ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่เรื่องนี้ พวกเรารู้เหมือนกันว่าการสังหารพวกนอกรีตเป็นสิ่งที่พวกเราควรทำ แต่กระทั่งค่าใช้จ่ายในการบำรุงร่างกายยังไม่พอ เป็นแบบนี้ครั้งหน้าเจอกับผู้ฝึกยุทธ์นอกรีต พวกเรายังจะกล้าสู้สุดชีวิตอีกเหรอครับ? สิ้นเปลืองปราณไป ตัวเองกลับไม่อาจฟื้นฟูร่างกายได้ ได้รับบาดเจ็บไม่มียาบำรุงรักษา พวกเรายังเป็นแค่นักศึกษา ไม่มีรายได้อะไร ทั้งหมดล้วนแต่พึ่งการทำภารกิจ ตอนนี้ยังต้องขาดทุนเข้าเนื้อ งั้นจะให้พวกเราฝึกวิชายังไงอีก?”

“อาจารย์ ลองใคร่ครวญถึงความเป็นจริงหน่อยได้หรือเปล่า ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีแรงสนับสนุนจากครอบครัว ยิ่งไปกว่านั้นแม้จะมีแรงสนับสนุน แต่ภารกิจที่จ่ายออกไปอย่างเดียว ไม่ได้สิ่งตอบแทนคืนมาเช่นนี้ก็บั่นทอนกำลังใจทุกคนได้เหมือนกัน จ้าวเสวี่ยเหมยถึงกับขายบริษัทออกไป ปู่ของฟู่ชางติ่งยังด่าจนบ้านแทบแตก…ทุกคนต่างลำบากกันทั้งนั้น มหาวิทยาลัยก็ควรจะเห็นใจพวกเราหน่อย”

ฟางผิงพูดจนถังเฟิงคล้อยตามอยู่บ้าง รู้สึกเหมือนเขาจะพูดมีเหตุผล ไม่ผิดแม้แต่น้อย

ใช่แล้ว ทุกคนยังไม่ได้ทำภารกิจ ยังไม่ใช่คนของทางการ ไม่ใช่สมาชิกหน่วยทหารหรืออาจารย์ของมหาวิทยาลัย…ขาดแคลนเรื่องทรัพยากรกันจริงๆ แต่ว่านี่เป็นการตัดสินใจของมหาวิทยาลัย!

จู่ๆ ฟางผิงก็เตะจ้าวเหล่ย จ้าวเหล่ยใบหน้าดำคล้ำ ถลึงตาใส่เขา ก่อนจะเอ่ยอึกอักว่า “อาจารย์ น้อยเกินไปจริงๆ ครับ ประเด็นอยู่ที่ครั้งนี้ได้กลับมาน้อย ทุกคนแทบไม่ได้ส่วนแบ่งอะไร”

ถังเฟิงจมดิ่งในความเงียบ ฟางผิงยังเตะคนต่อ พวกโง่ ถ้าไม่แย่งชิงตอนนี้ จะได้กินแกลบกันจริงๆ นั่นแหละ!

“อาจารย์ครับ ครั้งนี้พวกเราทำภารกิจได้ไม่ดีจริงๆ แต่ขาดแคลนเรื่องทรัพยากร พวกเราคงไม่อาจฝึกวิชาต่อไปได้”

“อาจารย์คะ ตั้งแต่เข้ามหาวิทยาลัยฐานะทางบ้านก็ชักหน้าไม่ถึงหลัง ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเราคงซื้อยาฟื้นฟูบาดแผลไม่ไหวตั้งแต่ก่อนลงถ้ำใต้ดินแล้ว…”

“อาจารย์ครับ…”

ทุกคนแย่งกันพูดจนถังเฟิงปวดหัวขึ้นมา ตะโกนว่า “เงียบให้หมด!”

พูดจบเขาก็เอ่ยอีกครั้ง “พวกเธอรอที่นี่สักพัก เดี๋ยวฉันจะกลับมา”

ทิ้งคำพูดนี้ไว้ ก่อนถังเฟิงจะจากไปอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าคงจะไปถามความเห็นผู้มีอำนาจของมหาวิทยาลัย

เขาไปแล้ว ฟางผิงก็เอ่ยอย่างหงุดหงิด”ที่บ้านมีเงินกันหมดเลยหรือไง? ไม่สนใจรางวัล? ก็ควรจะคำนึงถึงสถานการณ์นักศึกษาที่ยากจนบ้าง ฉันจนขนาดนี้ไม่ได้โชคดีเหมือนพวกนาย ปู่เป็นปรมาจารย์ ย่าอยู่ขั้นแปด…”

ทุกคนต่างมองไปทางเขา พูดเรื่องพวกนี้นายไม่กระดากอายบ้างหรือไง?

ทั้งคร้านจะคิดเล็กคิดน้อยกับเขาแล้ว จางจื่อเวยเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ฟางผิง เรื่องกู้ยืมคะแนนที่นายพูดก่อนหน้านี้ รวมถึงกิจกรรมลดราคายาบำรุง ได้ยินว่าอยู่ในความรับผิดชอบของบริษัทและสมาคมผิงหยวนของนายทั้งหมด?”

ฟางผิงเอ่ยอย่างเบื่อหน่าย “ทำไม เธอมีปัญหา?”

“ฉันไม่มีปัญหาอะไร” จางจื่อเวยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ฉันแค่อยากจะบอกนายว่า นายล้ำเส้นแล้ว”

“ล้ำเส้น?”

ฟางผิงเอ่ยอย่างแปลกใจ “ล้ำเส้นใคร? ครอบครัวเธอ?”

“ไม่ต้องมาทะเลาะเรื่องพวกนี้กับฉัน ก่อนหน้านี้การจัดสรรทรัพยากรอยู่ในความดูแลของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ตอนนี้ย้ายมาอยู่ที่แพลตฟอร์ม กลายเป็นความรับผิดชอบของสมาคมผิงหยวนของนาย นายคิดว่ายังไงล่ะ?”

คนที่อยู่ตรงนั้น นอกจากฟางผิงแล้ว ต่างเป็นคนของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ได้ยินแบบนั้นจึงพากันเงียบลงทันที

ฟางผิงกลับแค่นหัวเราะอย่างไม่ใส่ใจ “สรุปคือหากสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ไม่ทำ ก็ไม่อนุญาตให้คนอื่นทำด้วย? ฉันไขว่คว้าสวัสดิการให้ทุกคน มีปัญหาหรือไง? ก่อนหน้านี้สวัสดิการก็มีให้แค่สมาชิกของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ ไม่กี่สองสามร้อยคน ตอนนี้ฉันผลักดันให้ได้รับทั่วถึงทั้งมหาวิทยาลัยกลับมีปัญหา? งั้นพวกเธอก็ต้องถามก่อนว่านักศึกษาทั้งมหาวิทยาลัยยินยอมหรือเปล่า!”

จางจื่อเวยเอ่ยอย่างเรียบนิ่ง “ฉันบอกแล้ว ไม่มีความจำเป็นต้องโต้แย้งกับฉัน ฉันแค่ถ่ายทอดเจตนารมณ์ของสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ให้ฟังเท่านั้น หรือจะพูดว่าสมาคมผู้ฝึกยุทธ์และสมาคมผิงหยวนรับผิดชอบแพลตฟอร์มหยวนฟางร่วมกัน นี่ถือเป็นการหลีกทางให้อย่างถึงที่สุดแล้ว”

“น่าขำ!”

ถ้าไม่เกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ ฟางผิงคงไม่สนใจอะไร

แต่เมื่อเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ ผลประโยชน์นั้นหมายถึงค่าทรัพย์สิน ค่าทรัพย์สินคือความสามารถ ความสามารถนั้นหมายถึงสิ่งต่างๆ ทั้งหมด…

เรื่องนี้ฟางผิงรู้ว่าไม่อาจยอมได้

“เซี่ยเหล่ยให้เธอมาบอกฉัน? งั้นเธอเอาไปบอกเขา เรื่องนี้อย่าหวัง! ฉันเป็นคนวางรากฐาน ปูกระเบื้องก่ออิฐมาอย่างดี สมาคมผู้ฝึกยุทธ์ของพวกเธอคิดจะมาเด็ดลูกท้อ[1]? ต้องถามฉันก่อนว่าเห็นด้วยหรือเปล่า! เรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องพูด พวกอาจารย์ไม่ยุ่งอยู่แล้ว ใครรับผิดชอบล้วนเหมือนกัน เซี่ยเหล่ยคงอยากจะหาผลประโยชน์สินะ บอกเขา อยากเด็ดลูกท้อของฉันก็มาเจอกันซึ่งๆ หน้า! แม้ฉันจะยังไม่ทะลวงขั้นสามสูงสุด แต่ก็ไม่กลัวเขา ถึงจางอวี่จะมา ฉันยังคงยืนยันคำเดิม! ฉันยังไม่ถึงขั้นสี่ จางอวี่จะกล้าแหกกฎมาหาเรื่องฉันงั้นเหรอ? ขั้นสามสูงสุดไม่ใช่ว่าฉันไม่เคยฆ่ามาก่อน! นอกเสียจากฉันจะไปท้าประลองกับจางอวี่เอง ไม่งั้นสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ก็ต้องทำใจยอมรับ หากยอมไม่ได้ก็มาหาฉันคนนี้!”

“อวดดี!”

จางจื่อเวยแค่นเสียง แม้ฟางผิงจะสังหารผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสูงสุด แต่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสูงสุดไม่ได้เหมือนกันทั้งหมด ผู้นำลัทธิยังไม่ได้ถือครองกระบวนท่าชั้นยอดของขั้นสาม กระบวนไม้ตายก็ยังไม่ถึงเกณฑ์มาตรฐาน

แต่เซี่ยเหล่ยไม่เหมือนกัน ตอนนี้เซี่ยเหล่ยเข้าสู่ขั้นสามสูงสุดแล้ว แม้จะยังไม่ถือครองกระบวนท่าชั้นยอด แต่กระบวนท่าไม้ตายขั้นสามของเซี่ยเหล่ยถึงขั้นชำนาญแล้ว หากปะทะกันจริงๆ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้นำลัทธิสามารถเทียบเทียมได้ ยิ่งไปกว่านั้นสมาคมผู้ฝึกยุทธ์ยังไม่ได้มีแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสูงสุดคนเดียว ยังมีฉินเฟิ่งชิงรวมถึงรองประธานคนหนึ่ง ตอนนี้ยังอยู่ในมหาวิทยาลัยเหมือนกัน

ความจริงตอนนี้สมาชิกในสมาคมผู้ฝึกยุทธ์มีขั้นสามสูงสุดอยู่ห้าคน

ในนั้นมีคนถูกจัดในอันดับของขั้นสาม หากรวมกับขั้นสามตอนปลายก็เกือบสิบคน ฟางผิงคิดว่าตัวเองไร้คู่ต่อสู้จริงๆ หรือไง?

ฟางผิงหัวเราะอย่างเยือกเย็น “อวดดี? น่าขำ!”

——————-

[1]เด็ดลูกท้อ หมายถึงขโมยผลงานของคนอื่น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด