ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน 350 น่าเสียดาย (1)

Now you are reading ระบบจอมยุทธ์สุดโกงแห่งโลกคู่ขนาน Chapter 350 น่าเสียดาย (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 350 น่าเสียดาย (1)

ฟางผิงกลับมาในทีมแล้ว ถังเฟิงก็สาวเท้าเข้ามา มองเขาแวบหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า “ไม่เป็นไรใช่หรือเปล่า?”

ฟางผิงส่ายหน้าเบาๆ อาการบาดเจ็บไม่นับว่าร้ายแรง

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเหยาเฉิงจวินอ่อนแอ หากฟางผิงไม่สามารถระเบิดพลังจิตใจเขาได้ สงครามคงไม่จบลงเร็วขนาดนี้

แม้จะเป็นแบบนี้วิชาหอกของเหยาเฉิงจวินยังคงรุนแรงฉับไว ระเบิดพลังสั่นสะเทือนอวัยวะภายในฟางผิงได้อยู่ดี

ถ้าเมื่อครู่โรงเรียนเตรียมทหารอันดับหนึ่งยังมียอดฝีมืออย่างเหยาเฉิงจวินอยู่อีกคน เกรงว่าฟางผิงคงเป็นอันตรายแล้ว ถึงเนื้อหนังจะแข็งแรงก็มีขีดจำกัด ไม่ใช่ว่าตีไม่ตายจริงๆ

ฟางผิงส่ายหัว ฉินเฟิ่งชิงที่อยู่ด้านข้างกลับเบะปากว่า “วางก้ามน่ะสิ เลือดไหลอย่างกับอาบน้ำ”

ระหว่างที่พูดก็ไม่เปิดโอกาสให้ฟางผิงโต้แย้ง เอ่ยทันที “คืนดาบให้ฉัน”

ฟางผิงไม่พูดมากเช่นกัน โยนให้เขาไปตรงๆ

ส่วนเลือดไหลอย่างกับอาบน้ำ…คุ้นชินก็เพียงพอแล้ว ไม่ใช่ครั้งแรกสักหน่อย

ฉินเฟิ่งชิงรับมาตรวจสอบดูอย่างละเอียด ก่อนจะเอ่ยอย่างปวดใจว่า “ดูสิๆ มีรอยเพิ่มขึ้นมาตั้งเยอะ! ไม่ใช่ดาบนายเลยไม่เสียดายไง หอกสุดท้ายนั่นนายไม่รับ เขาก็แพ้อยู่ดี…”

ดาบโลหะผสมระดับ B ไม่ได้ถูกทำลายง่ายขนาดนั้น รอยแหว่งก็ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ เช่นกัน

แต่รอยขีดข่วน…นั่นหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว

ปะทะกันอย่างดุเดือด หอกของเหยาเฉิงจวินใช้วัสดุที่ไม่แย่เหมือนกัน ตอนนี้ตัวดาบจึงเกิดรอยที่เห็นชัดเจนขึ้นไม่น้อย

ฟางผิงเอ่ยอย่างหงุดหงิดว่า “ตั้งสิบล้านมีรอยสักหน่อยจะเป็นไรไป? รอยหนึ่งต่อหนึ่งล้านยังเหลือเฟือ หยุดไร้สาระหน่อยเถอะ!”

“ฉัน…”

ฉินเฟิ่งชิงอยากด่าคนเหลือเกิน ประเด็นอยู่ที่ฉันไม่เห็นเงินด้วยซ้ำ

หากเห็นเงินสิบล้านกองตรงหน้า เขาคงไม่พูดไร้สาระ

ฟางผิงไม่สนใจเขาอีก เพราะการแข่งขันของมหาวิทยาลัยปักกิ่งและหนานเจียงใกล้เริ่มขึ้นแล้ว ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายกำลังเตรียมตัวอยู่

ทีมของมหาวิทยาลัยปักกิ่ง

ตอนนี้ปรมาจารย์ลงสนามด้วยตัวเอง เอ่ยเสียงเบาว่า “อย่าให้เรื่องฟางผิงมากวนใจ ทุ่มสุดกำลังไปเลย”

หลี่หานซงพยักหน้า ถอนหายใจว่า “คณบดีวางใจเถอะครับ แม้ฟางผิงจะแข็งแกร่ง ก็ไม่ได้แข็งแกร่งจนถึงขั้นที่ผมเอาชนะไม่ได้ ใครจะแพ้หรือชนะ แค่สู้กันก็รู้แล้ว!”

“งั้นก็ดี แต่ปะทะกับหวังจินหยางระวังด้วยแล้วกัน”

“เข้าใจแล้วครับ”

หลี่หานซงทอดสายตามองหวังจินหยางที่อยู่ไกลๆ ตอนนี้หวังจินหยางที่อยู่ตรงข้ามยืนลูบดาบอยู่เพียงลำพัง สมาชิกทีมคนอื่นๆ ต่างเผยสีหน้าไม่ยินยอมและจนใจ

มหาวิทยาลัยหนานเจียงทำได้แค่พึ่งหวังจินหยาง แม้ว่าหลานอู๋เฟิงจะลงสนาม เกรงว่าคงถูกอีกฝ่ายจบในหมัดเดียวเช่นกัน

การแข่งขันเกมที่สองไม่นานก็เปิดฉากขึ้น

ครั้งนี้ผู้เฒ่าฟู่ไม่ได้เป็นพิธีกรอีกแล้ว เป็นหลัวอี้ชวนจากมหาวิทยาลัยเซี่ยงไฮ้แทน

หลัวอี้ชวนให้คำประเมินพวกเขาไว้ค่อนข้างสูง แต่สุดท้ายกลับพูดว่า “หวังจินหยางมาจากมหาวิทยาลัยหนานเจียง สามารถเติบโตจนมาถึงขั้นนี้ในมหาวิทยาลัยอย่างหนานเจียงได้ถือว่าไม่ง่าย นี่ไม่เกี่ยวกับพรสวรรค์แล้ว ต่อให้มีพรสวรรค์ หากไม่พยายาม หวังจินหยางก็ยากจะเดินมาถึงจุดนี้”

หวังจินหยางมีพรสวรรค์สูง ไขกระดูกกลายพันธุ์

แต่ไขกระดูกกลายพันธุ์ไม่ได้หมายความว่าจะกลายเป็นยอดฝีมือได้เสมอไป หากตัวเองไม่พยายาม มอบร่างทองให้คุณ คุณก็เป็นได้แค่คนไร้ประโยชน์เท่านั้น

สภาพแวดล้อมของมหาวิทยาลัยหนานเจียง เทียบกับมหาวิทยาลัยชื่อดังไม่ได้จริงๆ

แต่ที่หวังจินหยางไม่ถูกคนอื่นทิ้งห่างไว้ข้างหลัง ไม่ใช่เพราะหนานเจียงดูแลเขาเป็นพิเศษ แต่เพราะเขาลงลึกไปเข่นฆ่าสังหารในถ้ำใต้ดินหลายครั้ง ช่วงชิงโอกาสด้วยตัวเอง

บนเวที

ทั้งสองคนขึ้นเวทีก็แผ่บรรยากาศน่าเกรงขามจนถึงขีดสูงทันที

หลี่หานซงเผยความเกรงขามทรงพลัง หวังจินหยางก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย นี่ทำให้ยอดฝีมือหลายคนถึงกับตกตะลึงอยู่บ้าง

หลี่หานซงนั้นบากบั่นต่อสู้จึงได้สิ่งเหล่านี้มา ก่อนหน้านี้แตะถึงอันดับเจ็ดของขั้นสี่ หวังจินหยางลงมือไปไม่มาก กลับสะสมความเกรงขามได้ถึงขั้นนี้ ถือว่าหาได้ยากจริงๆ

ผู้ตัดสินเห็นทั้งสองคนไม่คิดอยากพูดคุยจึงไม่ชักช้าอีก ตะโกนว่า “เริ่มได้!”

สิ้นเสียงนั้น ประกายดาบก็แหวกผ่านความว่างเปล่า ราวกับฟันแหวกท้องฟ้า ร่วงลงมาชั่วพริบตา!

นั่นเป็นดาบของหวังจินหยาง!

แต่สิ่งที่ทำให้คนตกตะลึงยิ่งกว่าคือหลี่หานซง!

ตอนนี้จู่ๆ ศีรษะของหลี่หานซงก็ปรากฏแสงสีทอง ก่อนจะครอบคลุมไปทั่วร่างในชั่วพริบตา สุดท้ายก็มารวมที่บนหมัดของเขา!

หลี่หานซงแตะเท้าในอากาศ เหยียบพื้นเวทีจนจมลึกลงไป!

ครู่ต่อมาหลี่หานซงก็ยกหมัดพุ่งขึ้นฟ้า ประกายสีทองแรงกล้า ส่องเจิดจ้าจนหลายคนต้องหลับตาหนี

ตู้ม!

เสียงดังขึ้นชั่วพริบตา ผู้ชมบางคนที่อยู่ไกลๆ นั้นรู้สึกเวียนหัวอยากอาเจียน อึดอัดไม่สบายตัวอย่างยิ่ง

ทั้งสองคนบนเวทีระเบิดกระบวนท่าชั้นยอดกันแล้ว!

ในเวลานี้หลิวต้าลี่เดินเข้ามาหาฟางผิง อยากถามอะไรสักอย่าง ฟางผิงกลับตะโกนว่า “หุบปาก!”

มีเวลาสนใจเขาที่ไหนกัน!

ต่อไปสองคนนี้อาจจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา คู่ต่อสู้แบบนี้ต้องมองความสามารถให้ทะลุปรุโปร่งเสียก่อน

หลิวต้าลี่ทำหน้าหมดคำจะพูด ทำได้เพียงเงยหน้ามองกลางอากาศ

มองไม่เห็นอะไรสักอย่างเลย!

สู้ได้น่าเบื่อกันจริงๆ!

กลางอากาศเห็นแค่ประกายแสงสีแดงและสีทองพุ่งเข้าหากัน เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหวดังขึ้นระลอกใหญ่ สั่นสะเทือนจนคนที่อยู่ใกล้ๆ ร่างกายโคลงเคลงไปด้วย หลิวต้าลี่ก็รับรู้ถึงแรงกดดันได้เช่นกัน

ฟางผิงกลับไม่เป็นไร เงยหน้ามองบนฟ้า

ทั้งสองคนกำลังระเบิดพลังอย่างเต็มที่ ดาบของหวังจินหยางว่องไวและแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่หลี่หานซงหลอมกะโหลกโดยกำเนิด แทบจะเป็นกึ่งร่างทองแล้ว ระเบิดพลังขึ้นมา อานุภาพของหมัดเหล็กน่าตื่นตะลึงเช่นกัน

“ดาบยาวโผล่มาแล้ว!”

ในตอนที่หลิวต้าลี่มองอย่างเหนื่อยหน่าย ฟางผิงก็พึมพำขึ้นมา

เวลานี้กลางอากาศมีประกายดาบสีแดงปรากฏขึ้นอีกครั้ง!

หลี่หานซงคำรามดังก้องไปทั่วฟ้า เหนือกะโหลกประกายแสงสีทองเจิดจ้าราวกับพระอาทิตย์ ทำให้ผู้ฝึกยุทธ์ระดับล่างหลายคนมองจนน้ำตาไหล

“พวกอึดโผล่มาอีกคนแล้ว”

ฟางผิงพึมพำเบาๆ หลี่หานซงหลอมกะโหลกโดยกำเนิด ร่างกายถึงกระทั่งมีความพิเศษไม่อาจดับสลายอยู่บ้าง

ตอนนี้ภายใต้การระเบิดเต็มกำลัง ดาบสีแดงฟันลงมา หลี่หานซงไม่คิดหลบหลีก หมัดสีทองนั้นพุ่งเข้าหาดาบอย่างรุนแรง!

แต่ไม่ได้มีแค่ดาบเดียว ตอนที่หลี่หานซงบดขยี้ดาบแรก ไม่นานดาบที่สองก็ฟันลงมา

ดาบที่สาม ดาบที่สี่…

ดาบฟันลงมาติดต่อกันเจ็ดแปดครั้ง ทั้งสองค่อยๆ ร่วงสู่บนเวที ในเวลานี้จู่ๆ หวังจินหยางที่เงียบขรึมก็ตะโกนขึ้นมา ทั่วร่างมีประกายสีแดงพรั่งพรูออกมา!

เสียงคลื่นในแม่น้ำดังออกมาจากร่างกายเขา

นั่นเป็นเสียงไหลเวียนของเลือด!

ยากจะจินตนาการได้ว่าเสียงไหลเวียนเลือดของคนๆ หนึ่งจะสามารถส่งเสียงคล้ายกับคลื่นกระเซ็นซัดได้

หลัวอี้ชวนเอ่ยอย่างรวดเร็ว “ไขกระดูกเหมือนปรอท! มีชื่อเสียงสมคำร่ำลือจริงๆ!”

สาเหตุที่พูดแบบนี้เพราะถึงฟางผิงจะเรียกได้ว่าไขกระดูกเหมือนปรอทเช่นกัน แต่แทบไม่อาจแสดงศักยภาพใดออกมาได้เลย อย่างน้อยก็ไม่เหมือนหวังจินหยางที่ดูโดดเด่นขึ้นมาทันที

ฟางผิงเห็นทั่วร่างของหวังจินหยางคล้ายถูกปกคลุมไปด้วยปราณก็ตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะลอบก่นด่า จะอวดเพื่อ!

จะว่าไปแล้ว…กระบวนท่านี้เหมือนเขาจะทำไม่ได้ ไขกระดูกเหมือนปรอทไม่ใช่แค่ฟื้นฟูปราณได้อย่างรวดเร็วงั้นเหรอ?

ยังสามารถบังคับใช้ปราณให้เข้มข้นขึ้นได้?

ตอนนี้ทั้งสองคนต่างแสดงความเหนือชั้นออกมา คนหนึ่งร่างทองราวกับเป็นเทพสงคราม อีกคนร่างสีแดงราวกับราชาปีศาจ เทียบกันแล้ว น่าดูกว่าฟางผิงและเหยาเฉิงจวินที่ปะทะพลังจิตใจกันซะอีก

พลังจิตใจปะทะกันอย่างไร้รูปร่าง เว้นเสียว่าจะถึงขั้นปรมาจารย์แล้ว ไม่งั้นก็ไม่อาจแสดงออกมาเป็นรูปร่าง คนทั่วไปไม่สามารถเห็นได้

ร่างประกายสีแดงและสีทองพุ่งชนกันอย่างไม่หยุดหย่อน

หมัดของหลี่หานซงและดาบยาวของหวังจินหยาง กระทบกับเวทีเป็นครั้งคราว แม้ว่าจะถูกปูทับด้วยโลหะผสมระดับ A ตอนนี้กลับเกิดรอยแตกร้าวขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน

ยังไงก็ไม่ได้หลอมจากโลหะที่ผลิตอาวุธ ภายใต้การระเบิดพลังของทั้งสองคนที่ไม่หวั่นเกรงต่ออะไร ฝีมือแทบไม่ด้อยไปกว่ายอดฝีมือขั้นห้าตอนกลางและตอนปลายเลย

“ฟัน!”

ในตอนที่ทุกคนดูจนเวียนหัวตาลาย หวังจินหยางก็คำรามเสียงดัง

ผู้ฝึกยุทธ์ปะทะกันมักจะตะโกนเสียงดังอยู่แล้ว ทั้งนี้ก็เพื่อปลดปล่อยแรงกดดันเช่นกัน

คล้อยหลังเสียงนั้น ทุกคนเห็นเพียงประกายดาบสีแดงบดขยี้หมัดสีทองอย่างรวดเร็ว

“จะรู้ผลแพ้ชนะแล้ว!”

ถังเฟิงเอ่ยเสียงเบา

ยังไม่ทันขาดคำ หลี่หานซงก็คำรามอย่างโมโห บนหมัดปราฏแสงเจิดจ้ายิ่งกว่าเดิม

เปรี้ยง!

ทั้งสองคนออกกระบวนท่าสุดกำลัง เงาสีแดงและสีทองลอยกระเด็นออกไปในเวลาเดียวกัน!

ในเวลานี้ปรมาจารย์บางส่วนออกโรงใช้ม่านพลังจิตใจปกคลุมเขตผู้ชมไว้หนึ่งชั้นทันที

———————–

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด