ระบบล็อกอินสู่สวรรค์ [苟在女帝宫我举世无敌] 30 โลกสงบสุข เส้นทางสู่ขั้นปราชญ์ยุทธ์
ตอนที่ 30 โลกสงบสุข เส้นทางสู่ขั้นปราชญ์ยุทธ์ (รีไรท์)
รุ่งอรุณสาดแสงแดงฉานทางบูรพาทิศ คืนชีวิตชีวากลับสู่โลกหล้าอีกครั้ง
กระนั้นแล้ว ความรกร้างว่างเปล่าอันหนักอึ้งก็คงปกคลุมเหนือประตูภูเขาหยกขาวแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน
หลัวชิงเซียนสวมชุดเกราะพร้อมออกรบยืนอยู่กลางอากาศด้วยความสง่างามเคร่งขรึม ข้างกายมีหลี่ฝูเฟิง ผู้อาวุโสสูงสุดท่านใหม่ที่เพิ่งแต่งตั้งยืนอยู่ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งไม่ต่างกัน
ด้านล่างของทั้งสอง เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วนและสมัครพรรคพวกจากสำนักทั้งสิบกำลังจัดกระบวนทัพ ตั้งแถวพร้อมรอรับคำสั่งด้วยสีหน้าที่ไม่อาจซ่อนความสลดใจเอาไว้ได้
“ท่านทั้งหลาย เราต่างมาร่วมทัพนี้เพื่อปราบจักรพรรดิปีศาจทั้งเก้า หากต้องตายตกอีกสิบครา แม้วิญญาณสูญสิ้น หากมีผู้ใดเกรงกลัวต่อการร่วมศึกนี้ ก็จงเปลี่ยนใจเสียตั้งแต่ตอนนี้ เพราะข้าก็ไม่อาจยืนยันได้ว่ามีสิ่งใดรอเราอยู่เบื้องหน้า พวกท่านหวั่นเกรงหรือไม่”
หลัวชิงเซียนกล่าวเสียงดัง ทว่าเป็นน้ำเสียงแห่งความอ่อนโยน
“ไม่หวั่นเกรง!”
“ไม่หวั่นเกรง!”
“ไม่หวั่นเกรง!”
“…”
เหล่าผู้ฝึกยุทธ์พากันกู่ร้องด้วยเสียงอันดังสั่นสะเทือนถึงท้องฟ้า เรียกความฮึกเหิม รู้สึกถึงความพร้อมประจันหน้าขึ้นมา
“เช่นนั้นก็ดี จงร่วมรบกับข้า กำราบปีศาจพวกนั้นให้สิ้นซาก!”
ท้ายที่สุดหลัวชิงเซียนก็ออกคำสั่งเดินทัพผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหลายไปจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ในทันที
ถึงกระนั้นในช่วงเวลาเดียวกัน สายลับของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ก็รีบเร่งเข้ามา
“มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นขอรับ”
“เก้าสำนักมหาอสูรถูกทำลายลงแล้ว”
ทันทีที่ได้รับรายงาน เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมดที่กำลังจะเดินทัพก็พากันตกตะลึง
ว่ากระไรนะ!
…
ในไม่ช้า ข่าวที่น่าเหลือเชื่อก็แพร่สะพัดออกไปทั่วทั้งใต้หล้า
ทุกคนต่างได้รับข่าวที่ว่าเก้าสำนักมหาอสูรสูญสิ้นแล้วจริง ๆ
“อันใดนะ? จริงหรือว่าผู้ที่จัดการคือเซียนกระบี่ไร้ชื่อแห่งแดนศักดิ์สิทธิ์!”
ยิ่งทราบเช่นนั้นก็ยิ่งเกิดความตกใจ
“ท่านผู้อาวุโสนิรนามไม่ได้สิ้นชีพไประหว่างการสู้รบที่สุสานปราชญ์แล้วหรอกหรือ ข้าเห็นมากับตาว่าแม้แต่เถ้ากระดูกของท่านก็ยังไม่เหลือไว้”
“น่าแปลกใจตรงไหนกัน แม้แต่จักรพรรดิปีศาจทั้งหกยังฟื้นคืนชีพได้ แล้วนับประสาอะไรกับท่านผู้อาวุโสนิรนามเล่า”
“โธ่เอ๊ย! ท่านผู้อาวุโสนิรนามแข็งแกร่งกว่าที่คนอย่างเราจะคาดได้ เพียงกระบี่เดียวปราบทั้งสำนัก ต่อให้ห่างถึงพันลี้ก็มิอาจรอดพ้น”
“หึ ไหนเลยจะคาดได้ว่าจู่ ๆ หายนะที่กำลังจะล้างโลกก็สูญสิ้นอย่างกะทันหันเช่นนี้เล่า”
“…”
ผู้คนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์รวมไปถึงทั้งสิบสำนักต่างพากันถกประเด็นเกี่ยวกับข่าวนี้กันอย่างเผ็ดร้อน
แต่ที่สุดแล้ว ไม่ว่าเบื้องหลังของเรื่องนี้จะเป็นเช่นไร ผลที่ได้คือความสงบสุขได้กลับมาสู่แดนศักดิ์สิทธิ์อีกคราแล้ว
“ฮ่า ๆ ไม่ว่าความจริงจะเป็นเช่นไร ตอนนี้เก้าสำนักมหาอสูรก็ถูกทำลายลงแล้ว ใต้หล้าสงบสุขแล้วนับจากนี้”
“ยอดเยี่ยม ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณท่านผู้อาวุโสนิรนาม”
“ต้องขอบคุณท่านแล้วที่ช่วยปกป้องสันติสุขของโลกนี้เอาไว้”
“เป็นวีรกรรมอันยิ่งใหญ่ที่สมควรได้รับการจารึกเอาไว้สืบไปเสียจริง ๆ”
…
ภายในราชวังขององค์จักรพรรดินี หนิงฝานกลับมาถึงก็นอนพักที่เก้าอี้หวาย
สำหรับเขาแล้ว แม้จะจัดการพวกนั้นได้เพียงกระบี่เดียว แต่ก็เสียแรงไปไม่น้อยกับการวิ่ง
“สามี!”
ในยามนี้เอง จักรพรรดินีหลัวชิงเซียนรีบกลับมาถึงตำหนักด้วยสีหน้าแช่มชื่น แววตาแห่งความสุขไม่สามารถซ่อนเอาไว้ได้เพียงดูจากสีหน้าของนาง
ได้เห็นเช่นนั้น หนิงฝานก็ลอบพยักหน้าพึงพอใจอย่างลับ ๆ
รอยยิ้มของสาวงาม มีหรือชายใดจะอดใจไหว
“…”
แน่นอนว่าเขายังคงแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องราวอยู่เช่นเดิม “ภรรยา อะไรทำให้เจ้ามีความสุขเช่นนี้”
“สามี ข้ารู้ว่าเจ้ายังไม่ทราบข่าว ดังนั้นจึงรีบมาที่นี่เพื่อบอกข่าวดีนี้กับเจ้าโดยเฉพาะ”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าผู้อาวุโสนิรนามแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ได้ถือกำเนิดขึ้นอีกครั้งแล้ว เขาเดินทางเป็นพันลี้ในชั่วข้ามคืนทำลายเก้าสำนักมหาอสูรจนสูญสิ้น ตอนนี้ใต้หล้าสงบสุขแล้ว” ริมฝีปากสีชาดงามผุดผาดของหลัวชิงเซียนแยกออกจากกัน ยกยิ้มสดใสราวกับบุปผาแรกแย้ม
“โอ้ ช่างเป็นข่าวดียิ่ง!
หนิงฝานแสดงอาการตื่นเต้นตกใจกับข่าวดีที่หลัวชิงเซียนนำมาบอก
“สามี ทุกอย่างเป็นไปตามการคาดเดาของเจ้าไม่ผิดเพี้ยน ผู้ที่สิ้นชีพในการต่อสู้ที่สุสานปราชญ์คงจะเป็นเพียงร่างจำแลงของผู้อาวุโสนิรนามผู้นั้นจริง ๆ”
“โชคดีที่ข้าเชื่อในคำแนะนำของเจ้า จึงไม่ได้ตั้งสุสาน ไม่เช่นนั้นถ้าผู้อาวุโสรู้เรื่องนี้คงจะไม่พอใจเป็นแน่”
หลัวชิงเซียนเอ่ยอย่างโล่งใจ ราวกับรู้สึกว่านี่เป็นโชคดีของนางแล้ว
“ฮ่า ๆ”
“ข้าบอกเจ้าแล้ว คนอย่างผู้อาวุโสนิรนามจะตายง่าย ๆ ได้อย่างไร ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องนำเสื้อผ้าของเขาไปฝังในสุสาน และไม่ต้องสร้างจารึกเสริมอายุยืนนานให้เป็นพิธีการใหญ่โตอะไร เพราะเขาคงไม่ต้องการคำสรรเสริญพิธีการยาวเหยียดอะไรเช่นนั้นหรอก”
หนิงฝานเอ่ยยิ้ม ๆ เขาต้องการใช้โอกาสนี้ในการเกลี้ยกล่อมหลัวชิงเซียนให้ล้มเลิกเรื่องจารึกนั่นเสีย
แต่กลับได้รับการปฏิเสธจากองค์จักรพรรดินีอย่างไม่คาดคิด
“ผิดแล้ว ไม่เพียงต้องสร้างอนุสรณ์สถาน แต่ยังต้องจารึกความดีความชอบอีกซักล้านตัวอักษรเพื่อให้เป็นที่จดจำ เคารพบูชาไปชั่วลูกหลานของเรา”
“แม้ว่าผู้อาวุโสนิรนามจะไม่ได้ต้องการเป็นตำนานยอดฝีมือ แต่โลกนี้ก็ไม่ควรลืมเลือนบุญคุณยิ่งใหญ่ของเขา”
“…”
…
เป็นเวลาหลายวันติดต่อกันหลังจากที่ความโกลาหลครั้งใหญ่ของโลกถูกปัดเป่าไปในชั่วข้ามคืน ผู้คนก็ต่างเฉลิมฉลอง เสียงฆ้องดังก้องไปทั่วพื้นที่ ไหนจะกลอง ประทัด และดอกไม้ไฟอีกนับไม่ถ้วน
แม้แต่คนทั่วไปและผู้ฝึกยุทธ์จำนวนมากก็ยังพากันแห่แหนเดินทางมาที่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไท่เสวียน เพื่อเคารพท่านผู้อาวุโสนิรนามที่ช่วยชีวิตพวกเขาเอาไว้
แดนศักดิ์สิทธิ์ไม่เพียงไม่ขัดขวางการเดินทางมาของทุกคน แต่ยังได้แจกจ่ายจารึกเสริมอายุยืนนานให้แก่ผู้ที่มาทำความเคารพเพื่อจารึกคุณงามความดีของเขาเสียอีก
ก่อนที่เหล่าสำนักทั้งสิบจะเดินทางออกจากดินแดนศักดิ์สิทธิ์ พวกเขายังได้นำจารึกเสริมอายุยืนนานจำนวนมากไปมอบให้แก่เหล่าสาวกและผู้อาวุโสไปเคารพบูชาอีกด้วย
ในเพียงเวลาชั่วข้ามคืน ผู้อาวุโสนิรนามก็ได้กลายเป็นชื่อที่ถูกกล่าวขานไปทั่วทุกสารทิศ
ทุกผู้คนต่างขอบคุณเขา
ถ้าหากขาดผู้อาวุโสนิรนามผู้นั้นไป โลกคงตกอยู่ในเงื้อมมือของปีศาจและต้องเกิดการสูญเสียอีกมากเหลือคณานับ
ทั่วทั้งโลกต่างแซ่ซ้องในคุณงามความดีของท่านผู้อาวุโสนิรนามแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ !
อำนาจบารมีของเขาเปรียบดั่งปรมาจารย์ไท่เสวียนผู้ปราบสำนักอสูรศักดิ์สิทธิ์ในอดีต
แต่หนิงฝานไม่ได้สนใจในชื่อเสียงของผู้อาวุโสนิรนาม
สำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงในฐานะผู้อาวุโสนิรนามหรือคำดูถูกในฐานะสวามีของจักรพรรดินี ล้วนแต่ไม่ได้เป็นที่ใส่ใจของเขา
เพียงเป็นตัวของตัวเองต่อไป ไม่หวั่นไหวกับคำพูดทั้งดีและชั่วของผู้อื่น
วันนี้เป็นอีกวันที่เขาตั้งใจฝึกฝน
หลังจากค่ำคืนแห่งการนองเลือด เขาก็ได้พบเส้นทางใหม่จากการต่อสู้
เส้นทางนี้เองที่เป็นกุญแจสำคัญในการเลื่อนขั้นสู่ระดับปราชญ์ยุทธ์
หนิงฝานรู้สึกยินดีกับสิ่งนี้มาก
วันนี้เขาได้ชำระล้างร่างกายและจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ โคจรพลังของปราชญ์ทั้งสาม แต่เท่านั้นยังไม่เพียงพอยังต้องเข้าถึงเส้นทางแห่งความมืดด้วย
ตราบใดที่เข้าถึงเส้นทางนี้ได้ ก็จะสามารถรวมเป็นหนึ่งระหว่างโลกกับสวรรค์ แล้วก้าวสู่ขั้นปราชญ์ยุทธ์ได้
‘แม้ตอนนี้จะสัมผัสถึงเส้นทางนี้ได้เพียงเล็กน้อย แต่ก็ไม่ง่ายเลยที่จะเข้าถึงมันได้อย่างสมบูรณ์ นี่ยากยิ่งกว่าการรวบรวมพลังของปราชญ์ทั้งสามเสียอีก’
‘ยังดีที่ตอนนี้สามารถสัมผัสถึงเส้นทางของสวรรค์และโลกได้รวดเร็วเกินกว่าที่คาดเอาไส้ ตราบใดที่ไม่เร่งร้อนและค่อย ๆ เข้าถึงมัน ก็สามารถสัมผัสเส้นทางนั้นได้อย่างสมบูรณ์แน่นอน’
‘และเมื่อทำสำเร็จก็จะเลื่อนขั้นเป็นปราชญ์ยุทธ์ได้’
หนิงฝานนั่งขัดสมาธิอยู่ภายในราชวังขององค์จักรพรรดินี ค่อย ๆ โคจรพลัง ขณะที่กลืนกินปราณของสวรรค์และโลก เขาก็รู้สึกถึงเส้นทางด้วยจิตของตนเอง
หนึ่งวัน
สองวัน
สามวัน
…
เวลาเคลื่อนคล้อยผ่านไป
ยิ่งวันคืนผ่านพ้นไป เส้นทางจากสวรรค์และโลกก็ค่อย ๆ ชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ
ความสำเร็จสู่ขั้นปราชญ์ยุทธ์อยู่ใกล้แค่เอื้อมแล้ว!
Comments