ระบบล็อกอินสู่สวรรค์ [苟在女帝宫我举世无敌] 57 หนึ่งอสูร หนึ่งสังหาร หนึ่งภูตผี

Now you are reading ระบบล็อกอินสู่สวรรค์ [苟在女帝宫我举世无敌] Chapter 57 หนึ่งอสูร หนึ่งสังหาร หนึ่งภูตผี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 57 หนึ่งอสูร หนึ่งสังหาร หนึ่งภูตผี

“เป็นผู้ใดกัน!?”

พวกเขาเงยหน้าขึ้น มองหาเสียงหัวเราะแหลมที่ดังกึกก้องไปทั่วห้องโถงใหญ่ ขณะเดียวกันขันทีเว่ย เว่ยเสวียน และอวี้เฉิงก็ยังค้นหาต่อไป

ใบหน้าของพวกเขาย่ำแย่ยิ่งนัก

ตำหนักจักรพรรดิคือสถานที่สำคัญ และวิหารทองคำนี้คือสถานที่ประชุมแห่งราชสำนักที่มีการคุมเข้มความปลอดภัย ทว่ากลับมีใครบางคนสามารถลอบเข้ามาภายในได้

เช่นนี้อาจเรียกได้ว่าศักดิ์ศรีแห่งราชวงศ์เทพขนนกไม่เหลือแล้ว!

ฉับพลันนั้น ทุกคนต่างเงยหน้าขึ้นมองด้านบน

หนิงฝานเงยหน้าเช่นกัน แล้วเขาก็พบว่ากระเบื้องบนหลังคาถูกเปิดออกหนึ่งจุด ณ จุดตรงนี้มีคนสามคนยืนอยู่บนคานหนา

หนึ่งในนั้นคือชายชราใบหน้าซีดเซียว บนตัวสวมเสื้อคลุมสีดำ ร่างกายเต็มไปด้วยกลิ่นอายน่าพิศวง รอยยิ้มบนใบหน้าดูประหวั่นพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง

ขณะที่อีกคนหนึ่งแต่งกายด้วยชุดคลุมสีเลือด ใบหน้าเย็นชาดุจน้ำแข็ง จิตสังหารแผ่ขยายออกทั่ว ทั้งยังมีวงล้อโลหิตรูปร่างประหลาดอยู่ในมือ

คนสุดท้ายสวมชุดคลุมสีเทาสกปรก รูปร่างดูเตี้ย และมีใบมีดภูตผีแขวนอยู่ที่เอว

ทั้งสามเปิดเผยออร่าของปราชญ์ยุทธ์ออกมาอย่างตั้งใจ

มีสองคนอยู่ในขอบเขตปราชญ์ยุทธ์ระดับสวรรค์ขั้นแรก ขณะที่อีกหนึ่งคนคือปราชญ์ยุทธ์ระดับสวรรค์ขั้นที่สอง

เมื่อเห็นขันทีเว่ยและคนอื่น ๆ เงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาเย็นชา ชายในชุดดำก็เผยรอยยิ้มประหลาดก่อนจะกล่าวว่า “ฮ่า ๆ เหล่าราชวงศ์ชั้นสูงเอ๋ย ดูเหมือนพวกเจ้าจะลืมเลือนพวกข้าไปเสียหมดสิท่า ถึงกับจดจำเสียงหัวเราะนี้ไม่ได้!”

ยามขันทีเว่ยและคนอื่น ๆ มองเห็นทั้งสามร่างอย่างชัดเจน

สีหน้าของพวกเขาก็เผยความตื่นตระหนกออกมาทันที

“ค้างคาวสวรรค์เหล่าหมัว!”

“เซวี่ยเซียวจื่อ!”

“กระบี่ภูตผีชางหมิง!”

แล้วจิตสังหารรุนแรงก็ปะทุออกจากร่างของพวกเขาทั้งสามคน

ทันทีที่มันระเบิดออก บังเกิดความโกลาหลภายในห้องโถงทันที

“ค้างคาวสวรรค์เหล่าหมัว? อสูรค้างคาวที่เชี่ยวชาญในการกลืนกินสมองของผู้ฝึกยุทธ์เพื่อฝึกฝนตนเองเมื่อหลายร้อยปีก่อนน่ะหรือ!”

“ค้างคาวสวรรค์เหล่าหมัวถูกไล่ล่าและถูกสังหารโดยปราชญ์ยุทธ์ไปแล้วไม่ใช่หรือ? หรือพวกมันหนีไปอาศัยอยู่ในราชวงศ์อื่นกัน?”

“ยังมีเซวี่ยเซียวจื่อและกระบี่ภูตผีชางหมิง พวกเขาคืออาชญากรหนึ่งในห้าอันดับแรกที่ราชวงศ์เทพต้องการตัว!”

“บัดซบ! หนึ่งอสูร หนึ่งสังหาร หนึ่งภูตผี เจ้าพวกนี้คิดทำสิ่งใดจึงลอบเข้าสู่วิหารทองคำ!”

“…”

เมื่อเห็นทุกคนตกอยู่ในความโกลาหล ค้างคาวสวรรค์เหล่าหมัวพลันเผยรอยยิ้ม “ขันทีเว่ย ดูเหมือนเจ้าจะไม่อยากพบเจอข้าเท่าไรนะ!”

“ค้างคาวสวรรค์เหล่าหมัว เซวี่ยเซียวจื่อ กระบี่ภูตผีชางหมิง พวกเจ้าทั้งสามลอบเข้าสู่วิหารทองคำเช่นนี้ ไม่คิดมีชีวิตอยู่แล้วหรือไร?”

ในเวลานี้เอง เว่ยเสวียน แม่ทัพผู้เกรียงไกรแห่งผู้พิทักษ์เทพพลันปลดปล่อยเสียงคำรามเกรี้ยวกราด พลังศักดิ์สิทธิ์ปะทุออกจากร่างกายของเขาอย่างบ้าคลั่ง

“ฮ่า ๆ! อย่าทำให้พวกเราหวาดกลัวไปมากกว่านี้เลย ตอนนี้หลินไท่ซูใกล้ตายตกเต็มที และผู้ฝึกยุทธ์ภายในตำหนักแห่งนี้ก็มากมายนัก พวกข้ามีกันสามคน จะไปทำอันใดได้เล่า!”

ค้างคาวสวรรค์เหล่าหมัวกล่าวเย้ยหยัน

แม้เซวี่ยเซียวจื่อและกระบี่ภูตผีชางหมิงที่อยู่ด้านข้างจะไม่ได้กล่าวอะไร แต่จิตสังหารของพวกเขาก็รุนแรงมากขึ้นเช่นกัน!

“สามหาวนัก!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ขันทีเว่ย เว่ยเสวียน และอวี้เฉิงถึงกับบันดาลโทสะมากขึ้น

แน่นอนว่าหนึ่งอสูร หนึ่งสังหาร หนึ่งภูตผีไม่สนใจพวกเขา

“ฮ่า ๆ!”

“แล้วรู้หรือไม่ว่า เหตุใดพวกเราจึงเสี่ยงตายมาที่นี่?”

ค้างคาวสวรรค์เหล่าหมัวไม่สนใจคำดุด่าของทั้งสาม มันเพ่งสายตาไปมองผู้คนในห้องโถงพร้อมกล่าวด้วยแววตาละโมบ “นั่นเป็นเพราะมีคนเสนอค่าหัวของพวกเจ้า ผู้ใดก็ตามที่สังหารขุนนางของราชวงศ์เทพขนนกจักได้รับรางวัลเป็นหินวิญญาณหนึ่งหมื่นก้อน และผู้ใดก็ตามที่สามารถสังหารองค์ชายแห่งราชวงศ์เทพขนนกได้ จะได้รับหินวิญญาณห้าหมื่นก้อน อีกทั้งผู้ใดก็ตามที่สังหารปราชญ์ยุทธ์แห่งราชวงศ์เทพขนนกได้ จะได้รับรางวัลเป็น… หินวิญญาณหนึ่งล้านก้อน!”

สวรรค์!

สิ้นเสียงนั้น ผู้คนในห้องโถงต่างสีหน้าถอดสีทันที

สังหารขุนนาง ได้รับหินวิญญาณหนึ่งหมื่นก้อน

สังหารองค์ชาย ได้รับหินวิญญาณห้าหมื่นก้อน

สังหารปราชญ์ยุทธ์ ได้รับหินวิญญาณหนึ่งล้านก้อน

บ้าไปแล้ว! มิแปลกใจเลยว่า เหตุใดทั้งสามจึงลอบเข้าสู่วิหารทองคำ!

ทว่าแม้ทุกคนจะตกใจ แต่พวกเขาก็ไม่ได้ตื่นตระหนกไปมากกว่านั้น

ท้ายที่สุดแล้ว ด้วยพลังของขันทีเว่ยและปราชญ์ยุทธ์ที่ซุกซ่อนอยู่ในตำหนัก หนึ่งอสูร หนึ่งสังหาร หนึ่งภูตผีย่อมมิอาจลงมือกระทำสิ่งใดได้

ขันทีเว่ยเผยน้ำเสียงเหยียดหยามอย่างอดไม่ได้ “ไอ้พวกงี่เง่าความโลภบังตา พวกเรายังอยู่ตรงนี้ เจ้าไม่มีวันได้สังหารผู้ใดทั้งนั้น!”

“ถูกต้อง!”

“เช่นนั้นก็ลองดู!”

เวลานี้เอง ค้างคาวสวรรค์เหล่าหมัวเผยรอยยิ้มเย็นชาออกมา ขณะเดียวกัน เซวี่ยเซียวจื่อและกระบี่ภูตผีชางหมิงก็เริ่มเคลื่อนไหวอย่างกะทันหัน!

ตู้ม! ตู้ม! ตู้ม!

เสื้อคลุมสีดำของค้างคาวสวรรค์เหล่าหมัวพลิ้วไหวอยู่ในอากาศ ทำให้ดูราวกับว่ามีอสูรนับล้านตัวพุ่งออกมา และปกคลุมไปทั้งวิหารทองคำในพริบตา

เซวี่ยเซียวจื่อเขย่ากงล้อโลหิตในมือ ทันทีทันใด ใบมีดโลหิตอันแหลมคมนับไม่ถ้วนก็พวยพุ่งประดุจห่าฝน

กระบี่ภูตผีชางหมิงดึงกระบี่ที่เอวออกมาโดยตรง และเมื่อชักกระบี่ออกมาแล้ว ภูตผีไร้ใบหน้าอันน่าสะพรึงกลัวก็ปรากฏตัวออกมาพร้อมกับส่งเสียงร้องคำรามลั่น

“พวกเจ้ากล้าหรือ!”

เมื่อเห็นว่าทั้งสามเคลื่อนไหว ขันทีเว่ยและคนอื่น ๆ ก็ตะโกนเสียงดัง จากนั้นคลื่นพลังไร้ลักษณ์สามลูกก็ปรากฏขึ้น พลังงานพลุ่งพล่านทะยานเข้าต่อต้านพลังโจมตีของศัตรูทั้งสามอย่างรวดเร็ว

พรึ่บ! พรึ่บ! พรึ่บ!

หลังจากนั้นร่างของขันทีเว่ย เว่ยเสวียน และอวี้เฉิงก็พุ่งขึ้นไป ตรงเข้าซัดค้างคาวสวรรค์เหล่าหมัว

“อสูรค้างคาวจงมา!”

“ฟ้าดินหลอมโลหิต!”

“กระบี่ภูตผีจงผ่า!”

เมื่อเห็นว่าขันทีเว่ยทะยานขึ้นมา ค้างคาวสวรรค์เหล่าหมัวและอีกสองคนพลันเอ่ยเสียงดัง ชั่วพริบตาก็ปรากฏอสูรค้างคาวร่างใหญ่เกือบจะปกคลุมท้องฟ้าทั้งหมด มันกระพือปีกพร้อมกับสร้างพายุกระโชกแรงไร้ผู้ใดเทียบ

ชิ้ง! ชิ้ง! ชิ้ง!

เซวี่ยเซียวจื่อขว้างกงล้อโลหิตในมือออกไป ทันทีที่มันทะยานออก มันก็ระเบิดออกมาทีละส่วน กลายเป็นใบมีดยาวสามฟุต ใบมีดโลหิตนับไม่ถ้วนโคจรรอบกงล้อพร้อมกับเผยพลังรุนแรง กดขี่แขกผู้มาเยือนทั้งสามโดยสิ้น

ปัง!

ส่วนกระบี่ภูตผีชางหมิง เขาดึงกระบี่ภูตผีออกมาแล้วสับฟันโดยตรง ปราณกระบี่อันน่าสะพรึงกลัวคล้ายกับจะตัดขาดโลกทั้งใบเป็นสองส่วน

“ฆ่า!”

ปราชญ์ยุทธ์ทั้งสามแผ่จิตสังหาร ก่อนจะปล่อยหมัด มีด หอก ตามออกไป อาจกล่าวได้ว่าพลังของพวกเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าศัตรูทั้งสามเลย

ตู้ม!

เกิดเป็นระเบิดที่น่าสะพรึงกลัวอย่างยิ่ง คนทั้งหกทำลายหลังคาของวิหารทองคำโดยสมบูรณ์ แล้วพวกเขาก็ทะยานออกไปสู่ภายนอกเพื่อเริ่มสัประยุทธ์กันต่อ

ตู้ม ตู้ม ตู้ม!

เวลานี้ปราชญ์ยุทธ์ทั้งหกกำลังประฝีมือกันอย่างดุเดือดเลือดพล่านบนท้องฟ้า

ภายในอากาศดูเหมือนจะมีเทพเจ้าสายฟ้าที่กำลังฟาดฟันกันอย่างรุนแรง นี่เพราะมีเสียงคำรามดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกการปะทะมักเกิดลำแสงวูบไหวเปล่งประกายพลังงานอันน่าสะพรึง แล้วคลื่นพลังหลายระลอกก็กระจัดกระจายไปทุกทิศทาง

เวลานี้

ภายในวิหารทองคำ องค์ชายและกองทัพทั้งหมดต่างกำลังเงยหน้าขึ้นมองการต่อสู้บนท้องฟ้า

ฉากการต่อสู้นี้นับว่าตื่นเต้นยิ่งนัก!

เพราะนี่คือการต่อสู้ของขอบเขตปราชญ์ยุทธ์!

อีกทั้งมันยังน่าสะพรึงกลัวไม่น้อย!

หากไม่มีขันทีทั้งสาม คนภายในวิหารทั้งหมดคงจะไม่มีชีวิตรอดแล้ว

อืม… ไม่ใช่ทั้งหมด

แม้หนิงฝานจะถูกคำสาปอมตะ แต่เขาก็ยังเป็นปราชญ์ยุทธ์ ความจริงแล้วเขาอาจจะ… รอดพ้นภัยพิบัตินี้

เมื่อทุกคนตระหนักถึงการมีอยู่ของหนิงฝาน หลินหลงเซี่ยงก็ชี้นิ้วไปที่เขาพร้อมกล่าวตำหนิ “ฮ่า! ในฐานะปราชญ์ยุทธ์ เหตุใดจึงไม่รีบเข้าช่วยเหลือขันทีเว่ยต่อสู้กับศัตรูเล่า? แม้เจ้าจะอ่อนแอที่สุดท่ามกลางพวกเขา แต่อย่างน้อยก็สามารถรับมีดรับดาบแทนพวกเขาได้!”

“ใช่!”

“รีบไปเสียสิ!”

“ในฐานะปราชญ์ยุทธ์ จะมัวยืนเฉยได้อย่างไร!?”

“…”

หลังจากหลินหลงเซี่ยงชี้นิ้วมา องค์ชายทั้งหมดก็เริ่มเห็นด้วย

“ไอ้บัดซบ!”

“ทำไมไม่ออกไปต่อสู้กับศัตรู!”

หลัวชิงเซียนยืนอยู่ด้านข้าง นางโมโหยิ่งนักเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้

กลางเวหามีปราชญ์ยุทธ์ทั้งหกกำลังต่อสู้กัน และนางไม่ต้องการให้หนิงฝานตกอยู่ในอันตราย

“พวกเราไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่สามารถมีส่วนร่วมในสงครามของผู้ฝึกยุทธ์ได้”

“ใช่! หากข้าอยู่ในขอบเขตปราชญ์ยุทธ์ ข้าคงกระโดดเข้าร่วมไปแล้ว!”

“ในฐานะปราชญ์ยุทธ์ กระทำตัวขี้ขลาดเช่นนี้ เจ้าไม่อับอายหรือไร!”

“…”

องค์ชายหลายคนเริ่มก่นด่าหนิงฝานตามหลินหลงเซี่ยง จู่ ๆ ทั้งหมดก็เผยใบหน้าชอบธรรมออกมา

หลัวชิงเซียนโกรธจัดพร้อมกับเอ่ยปากอย่างต้องการโต้แย้ง ทว่าหนิงฝานดึงนางเอาไว้แล้วถามเหล่าองค์ชายด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “แน่ใจหรือว่าต้องการให้ข้าไปช่วยพวกเขาต่อสู้กับศัตรู?”

“แน่นอน!”

“จะไม่เสียใจแน่นะ?”

“มีสิ่งใดต้องเสียใจ!” หลายคนเผยเสียงหัวเราะ

“เอาล่ะ ในเมื่อพวกเจ้ายืนยันเช่นนั้น ข้าก็จะไปช่วยพวกเขาเดี๋ยวนี้!”

หนิงฝานพยักหน้า จากนั้นเขาก็คว้ามือหลัวชิงเซียนพร้อมกับทะยานขึ้นสู่อากาศ

ทว่าในขณะที่ชายหนุ่มออกไป กลับมีเงาดำมากมายเริ่มก่อตัวขึ้นภายในห้องโถง

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *