ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลกบทที่ 119 ขี่ม้า

Now you are reading ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก Chapter บทที่ 119 ขี่ม้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 119 ขี่ม้า

บทที่ 119 ขี่ม้า

คว้าอันดับหนึ่งของจอหงวน?

มันเป็นไปไม่ได้!

อู๋ฝานในโลกความเป็นจริง ก็ไม่ได้การเรียนดีเด่นอะไร โดยเฉพาะกับโลกแห่งนี้ ที่เขาไม่ทราบข้อมูลแนวคิดพื้นฐานหรือปรัชญาอะไรของที่นี่ อย่างนั้นแล้วจะเอาอะไรไปสอบ?

ดังนั้น เพื่อเพิ่มสถานะของตนเองขึ้นไป ก็ดูเหมือนว่าเขาจะไม่มีตัวเลือก

“แต่…ผมก็แค่อยากหาเงินเองนะ” อู๋ฝานยังไม่ยินดี ตัวเขาไม่อยากเป็นทหาร แต่ก็อยากหาทางทำเงิน

“เมื่อใดเจ้ามีสถานะสูงส่งพอแล้ว ยังกลัวจะไม่มีเงินอีกงั้นหรือ?” โจวซานเอ่ยถาม “ดูข้าราชการในราชสำนักสิ ไม่ว่าจะป็นข้าราชการพลเรือนหรือข้าราชการทหาร มีใครจนข้นแค้นบ้าง? บ้านหรูหราใหญ่โต มีข้ารับใช้ มีพื้นที่ทำกินทั้งสิ้น”

โจวซานกำลังพยายามล่อซื้ออู๋ฝาน ให้เข้าร่วมกองทัพให้ได้

อู๋ฝานเกิดรู้สึกว่าคำพูดของโจวซานมีเหตุและมีผล เพียงแต่ยามนึกถึงภาพตอนที่ตนเองอยู่ในค่ายทหารภายหน้าแล้ว เขาก็เกิดความรู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก โลกแห่งนี้กว้างใหญ่ เขายังต้องการเดินทางไปให้ทั่ว ออกตามหาทรัพยากรทั้งหลายและผจญภัย การอยู่แต่ในค่ายทหารทั้งวัน เขาจะยังทำอะไรอีกได้?

ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่โจวซานพูดนั้นชวนให้คิด มันเหมือนดังที่เขาเคยคิดเอาไว้ กองทัพที่ประกอบด้วยทหารมากมาย สุดท้ายแล้วจะมีกี่คนคว้าความสำเร็จเอาไว้ได้? ต่อให้เป็นนายพลระดับบนของกองทัพ การจะได้เป็นมีเพียงส่วนน้อย หากว่าไม่มีความสามารถเพียงพอ หนทางไต่เต้าขึ้นไปไม่ใช่เรื่องง่าย ยกตัวอย่างเช่นโจวซานที่อยู่ตรงหน้าจะเข้าใจได้ดีที่สุด

โจวซานมีความสามารถหรือไม่?

เห็นชัดว่ามี ไม่ว่าจะความแข็งแกร่งส่วนตัว หรือการฝึกซ้อมให้กองทัพ โจวซานทำได้ดีทั้งสิ้น อู๋ฝานจึงเชื่อในความแข็งแกร่งของโจวซาน อีกฝ่ายต้องเคยทำผลงานได้ดีในสนามรบ มันย่อมต้องเป็นความดีความชอบ แต่แล้วผลลัพธ์คืออะไร? ไม่ใช่ว่าก็ถูกย้ายมายังกองทัพสำรองหรอกหรือ?

ดังนั้นแล้ว แม้ว่าโจวซานพูดได้ดูน่าสนใจ และอู๋ฝานก็ดูคล้อยตาม แต่ก็ไม่อาจใจร้อน ถึงขนาดว่าจะเลือกเป็นทหารอาชีพและเข้าร่วมกองทัพประจำการเสียตอนนี้

“ข้าก็เพียงแนะนำ เจ้าเก็บไปคิดให้ดี หากว่าคิดได้แล้ว ถึงตอนนั้นค่อยบอก ข้ายังพร้อมช่วยเจ้า” โจวซานตอบกลับ “ตอนนี้ฝึกฝนการขี่ม้าก่อน ว่าไปแล้วเจ้าเคยขี่ม้ามาก่อนหรือไม่?”

“ไม่ครับ” อู๋ฝานส่ายศีรษะ

“ก็ดี ดูการเคลื่อนไหวของข้าให้ดี รับฟังอย่างตั้งใจ” โจวซานไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายไม่เคยขี่ม้ามาก่อน เพราะจำนวนทหารม้ามีเพียงน้อยนิด และม้าก็เป็นทรัพยากรทางยุทธศาสตร์อันล้ำค่า ทางราชสำนักไม่อนุญาตให้ประชาชนครอบครองม้าศึก หากจะมีก็เป็นลูกม้าที่ใช้สำหรับการขนส่ง และจำนวนก็มีไม่มากนัก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องปกติที่ผู้คนทั้งหลายจะไม่เคยมีประสบการณ์ขี่ม้า รวมถึงทราบวิธีการขี่ม้า

ภายหลังโจวซานอธิบายให้อู๋ฝานฟัง เขาจึงวางมือบนหลังม้าพร้อมกับจ้องมองที่พักเท้า เพียงไม่ช้าทั้งตัวจึงขึ้นค่อมด้านบนอานม้า เป็นการเคลื่อนไหวที่ราบรื่นและว่องไว

“ม้าเองก็มีวิญญาณ โดยเฉพาะกับม้าศึก เจ้าไม่อาจทำเหมือนพวกมันเป็นปศุสัตว์ได้ แต่เป็นสหายร่วมรบ เป็นคู่หู มีแต่ใช้มุมมองดังกล่าวเจ้าจึงสามารถร่วมมือกับพวกมันได้อย่างมีชั้นเชิง และอาจถึงขั้นไร้เทียมทานในสมรภูมิรบ ม้าศึกที่ดี บางครั้งก็พร้อมจะช่วยชีวิตเจ้าให้รอดพ้นจากสมรภูมิรบ” โจวซานบอกเล่าออกมา “ตอนนี้ข้าจะสอนวิธีการเคลื่อนไหวพื้นฐาน รับชมและจดจำให้ดี”

ขณะบอกให้อู๋ฝานได้ฟัง โจวซานจึงควบคุมม้าวิ่งออกไปอย่างเชื่องช้า ร่างกายที่อยู่บนม้าซึ่งกำลังนิ่งไม่โอนเอน และยังรักษาจังหวะควบเอาไว้เหมือนดังก้าวเดินของม้า เห็นได้ชัด ว่าโจวซานเป็นทหารม้าที่มีประสบการณ์สูงล้ำ

ภายหลังขี่ไปได้สักพักหนึ่ง โจวซานจึงควบคุมม้าให้หยุดลงข้างกายของอู๋ฝาน ก่อนจะลงจากม้าด้วยท่าทีเรียบง่าย ราวกับไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด

“มาลอง” โจวซานบอกกับอู๋ฝาน

“ครับ” อู๋ฝานเกิดสนใจ ในยุคสมัยนี้ ม้าถือเป็นสิ่งล้ำค่ายิ่งกว่ารถยนต์ในยุคสมัยใหม่ ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีโอกาสได้ขึ้นขี่พวกมัน

เพียงแต่มันเป็นครั้งแรกที่อู๋ฝานได้ขี่ม้า การขึ้นหลังม้าก็เป็นเรื่องยากพอสมควรแล้ว อีกทั้งยังไม่ได้ทำความคุ้นเคยกับม้าให้เชื่อฟัง ดังนั้นมันจึงไม่ได้ให้ความร่วมมือกับอู๋ฝานที่เป็นคนแปลกหน้า ไม่แปลกหากว่าการเคลื่อนไหวของเขาไม่ลื่นไหลเหมือนกับโจวซาน

“ไม่ต้องกังวล อย่าเร่งรีบ เจ้ายังเป็นมือใหม่ เรื่องนี้ถือว่าปกติ” โจวซานคอยบอกอยู่ด้านข้าง

ภายหลังพยายามอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดอู๋ฝานก็ขึ้นบนตัวม้าได้สำเร็จ ถัดจากนั้นจึงถือบังเหียนเอาไว้ในมือ ท่าทีดูเก้กัง สุดท้ายจึงควบเท้าเข้ากับท้องของม้าเบา ๆ เป็นการกระตุ้น ไม่ช้าจึงเริ่มออกวิ่งอย่างเชื่องช้า

อู๋ฝานพลันเกิดอาการตื่นเต้น ใจเต้นรัว การได้ควบขี่ม้าห้อตะบึงผ่านสมรภูมิสู้รบ ไม่ใช่ว่าทั้งเท่และดูเหมือนวีรชนเลยหรือไร?

เพียงแต่ขณะความเร็วของม้าเพิ่มขึ้น อู๋ฝานก็ไม่อาจควบคุมได้อีก ร่างกายของเขาเริ่มเอนไปมา ราวกับพร้อมจะร่วงหล่นจากหลังม้าในทุกเมื่อ

การร่วงลงจากหลังม้าที่กำลังวิ่งด้วยความเร็วสูง ต่อให้อู๋ฝานมีร่างกายดีเยี่ยม อย่างไรก็ต้องได้รับบาดเจ็บ เขาจึงโน้มกายลงเข้ากับหลังม้า ขาพยายามหนีบท้องของม้าเอาไว้แน่น ขณะที่มือคอยจับบังเหียนรักษาสมดุลเอาไว้

“ไม่ต้องกลัว รับรู้ถึงม้าที่กำลังวิ่งด้วยหัวใจของเจ้า คอยขยับตัวขึ้นลงตามจังหวะที่ม้าควบไป” เสียงของโจวซานดังจากทางด้านหลัง

อู๋ฝานพยายามสงบใจตัวเองลง ยืนหลังตรงอย่างเชื่องช้า และเริ่มรับรู้ถึงจังหวะที่ม้าวิ่งควบ เหมือนดังที่โจวซานแสดงให้เห็นเมื่อครู่ที่ร่างกายจะคอยขยับขึ้นลงตามจังหวะ พยายามรักษาสมดุลเอาไว้ และเท้ายังคงหนีบท้องของม้าเอาไว้แน่น

อู๋ฝานผู้ซึ่งมีค่าสติปัญญาเพิ่มจากจี้หยกกระเรียนขาว ไม่ช้าจึงเริ่มเข้าใจรูปแบบการเคลื่อนไหว แม้ว่าโอนเอียนอยู่บ้าง แต่ไม่ได้หนักหนาเท่าเมื่อครู่ ร่างกายเริ่มได้รับสมดุลความมั่นคงกลับคืนมา แม้ว่าทั้งตัวคนจะยังไม่อาจมั่นคงระดับเดียวกับโจวซาน แต่ก็ไม่มีความเสี่ยงที่จะตกจากหลังม้าอีกต่อไป

“ความสามารถในการเรียนรู้ของเจ้าหนูนี่น่าทึ่งนัก มีพรสวรรค์ด้านการขี่ม้าด้วยงั้นหรือนี่?” โจวซานได้เป็นประจักษ์พยานจากทางด้านหลัง จนถึงขนาดต้องพึมพำกับตัวเองอย่างนึกทึ่ง

พิจารณาจากการขี่ม้าของอู๋ฝาน และพฤติกรรมการขี่เมื่อครู่ อู๋ฝานเพิ่งเคยได้ขึ้นขี่ม้าเป็นครั้งแรก แต่แล้วกลับสามารถตระหนักทราบกฎเกณฑ์ของการขี่ม้าได้ในเวลาอันสั้น ทั้งยังควบคุมได้ดีขึ้นมาก แม้ว่าตอนนี้ อู๋ฝานจะยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นทหารม้าที่มีคุณสมบัติครบถ้วน แต่อย่างไรแล้วทหารม้าก็ไม่ได้เป็นง่ายเพียงเพราะสามารถขี่ม้าได้ แต่มันต้องสามารถต่อสู้บนหลังม้า ขณะที่อู๋ฝานเพียงเพิ่งเริ่มจะควบคุมม้าได้

แม้แบบนั้น มันก็ยังเป็นสัญญาณที่ดี ดังทราบว่ามันคือครั้งแรกที่อู๋ฝานได้ขี่ม้า และตัวเขาก็เชี่ยวชาญมากขึ้นได้ในเวลาอันสั้น หากว่าฝึกฝนต่อไป การจะได้ครองคุณสมบัติการเป็นทหารม้าก็ไม่ใช่ว่าไกลเกินเอื้อม

“เจ้าหนูนี่เกิดมาเป็นนักรบฟ้าประทาน ถ้าไม่เข้าร่วมกองทัพก็น่าเสียดายเกินไปแล้ว!” โจวซานรำพึงรำพัน เขาคิดอยากให้อู๋ฝานเข้าร่วมกองทัพประจำการ ได้เป็นทหารประจำการ

ขณะที่ทางด้านอู๋ฝานยังไม่ทราบถึงศักยภาพของตนเอง มันจึงเป็นเหตุให้โจวซานต้องการยืนยันความคิดหนักแน่น ว่าเขาควรเข้าร่วมกองทัพประจำการ ขณะเวลานี้ เขายังคงดื่มด่ำไปกับความรู้สึกที่ได้ควบขี่ม้าห้อตะบึงด้วยความเร็วสูง รับรู้ถึงสายลมแรงที่พัดผ่านใบหู ความรู้สึกที่วิวทิวทัศน์แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วนั้นเป็นอีกหนึ่งประสบการณ์อันน่าทึ่ง

ภายหลังวิ่งครบรอบ อู๋ฝานจึงค่อยลดความเร็วลง จนไปหยุดตรงข้างโจวซาน ถัดจากนั้นจึงลงจากหลังม้า

“รู้สึกเป็นยังไง?” โจวซานเอ่ยถาม

“ยอดเยี่ยมเลยครับ” อู๋ฝานตบหลังม้าเบามือ พลางตอบรับ

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *