ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลกบทที่ 567 เพิกเฉย

Now you are reading ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก Chapter บทที่ 567 เพิกเฉย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 567 เพิกเฉย

บทที่ 567 เพิกเฉย

“เกินเลย?” อู๋ฝานหรี่ตาลง “ข้าไม่ได้ควบคุมหรือปกครองทั้งเทศมณฑลชิงหยวนก็จริง แต่ไม่ใช่กับหมู่บ้านเร้นลับ ข้าคือหัวหน้าหน่วยรักษาการณ์ของหมู่บ้าน ใครจะเข้าไปหรือออกมา ข้าล้วนมีอำนาจในการขัดขวางอะไรก็ตามที่อาจเป็นภัยคุกคาม ข้าคือคนที่ทำความดีความชอบให้แก่หมู่บ้าน และด้านหลังภูเขาของหมู่บ้านเร้นลับก็เป็นสิทธิ์ขาดของข้าในสัญญาเช่าซื้อมานานแล้ว ทุกสิ่งอย่างที่นั่นคือทรัพย์สินของข้า หากเจ้าคิดจะไปจับสัตว์เลี้ยง มันต่างอะไรกับการเข้าไปหยิบฉวยเอาของจากในบ้านข้าออกมา? มันจะต่างอะไรกับโจรกบฏที่ออกปล้นชิงไปทั่ว? เจ้ากำลังจะบอกว่าข้าทำเกินเลยไปงั้นหรือ?”

ด้านหลังภูเขาของหมู่บ้านเร้นลับคือรากฐานความมั่งคั่งของชายหนุ่ม ดังนั้นในตอนที่เดินทางออกจากหมู่บ้าน เขาจึงย้ำกับพวกหนิวเอ้อให้คอยเฝ้าระวังไว้ให้ดี โดยเฉพาะกับด้านหลังภูเขาของหมู่บ้าน เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายฝ่าฝืนสิทธิ์อันชอบธรรมของตน ดังนั้นจึงไม่มีเหตุอันใดต้องไว้หน้าทั้งที่ปรึกษาหรือว่ากัวจื่อหมิง

ใบหน้าของที่ปรึกษาพลันแดงก่ำด้วยทั้งความโกรธและอับอาย

หากบุคคลที่ทำสัญญากับด้านหลังภูเขาของหมู่บ้านเร้นลับเป็นคนอื่น เช่นนั้นที่ปรึกษาและกัวจื่อหมิงคงไม่คิดใส่ใจถ้าจะเข้าไปหยิบฉวยเอาอะไรออกมา แต่ว่าเมื่อใดบุคคลที่ทำสัญญาคืออู๋ฝานมันจะกลายเป็นอีกเรื่องราว เนื่องจากชายหนุ่มมีบรรดาศักดิ์จื่อเจวี๋ย และตอนนี้เห็นได้ชัดว่าไม่มีเจตนาไว้หน้ากัวจื่อหมิง หากทั้งสองฝ่ายปะทะกันจนเกิดปัญหา ชายหนุ่มที่เป็นคนถ่อยในสายตาของพวกเขาคงเปิดศึกสู้รบ เมื่อเรื่องราวร้ายแรงจนถูกสืบสวน กัวจื่อหมิงจะเป็นฝ่ายที่กระทำความผิดต่อผู้อื่นก่อน

ด้วยเหตุนี้ที่ปรึกษาจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา “ใต้เท้าอู๋ เหตุการณ์ที่ด้านหลังภูเขาของหมู่บ้านเร้นลับนั้นใครผิดหรือว่าถูกยังไม่ใช่เรื่องควรพูดคุยกันตอนนี้ ข้า…”

“เจ้าพูดว่าอะไรนะ?” อู๋ฝานเอ่ยขัดขึ้นมา “ถูกคือถูก ผิดคือผิด เรื่องนี้เห็นกันชัดเจนอยู่แล้วว่ากัวจื่อหมิงเป็นฝ่ายกระทำเกินเลยก่อน บรรดาศักดิ์จื่อเจวี๋ยของข้าองค์เหนือหัวเป็นผู้ประทานให้ พวกเจ้าจะยังกล้าดีหรือไม่หากข้ารายงานการกระทำนี้ให้องค์เหนือหัวทราบ เชื่อหรือไม่ว่าด้วยสติปัญญาอันยิ่งใหญ่ของฝ่าบาท ทั้งตระกูลของพวกเจ้าจะไม่อาจรอดชีวิตแม้สักคน!”

แม้จื่อเจวี๋ยไม่ได้เป็นบรรดาศักดิ์สูงส่ง แต่อย่างไรก็ยังคงเป็นบรรดาศักดิ์และเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับจักรพรรดิโดยตรง หากอู๋ฝานมีความสามารถรายงานเรื่องราวจริง ที่ปรึกษาก็ทราบดีว่าฝ่ายที่ต้องเจ็บหนักครั้งนี้จะเป็นกัวจื่อหมิง

เมื่อคิดได้ดังนั้น ที่ปรึกษาจึงเผยสีหน้าเหยเกตอบคำกลับ “ใต้เท้าอู๋ เรื่องที่เกิดขึ้นกับหมู่บ้านเร้นลับเป็นความผิดของพวกเราเอง เป็นพวกเราไม่รู้ความและขาดความระมัดระวัง บังเอิญว่าวันนี้นายท่านของข้ากำลังเตรียมจัดงานเลี้ยงพอดี จึงสงสัยว่าใต้เท้าทั้งสองจะพอมีเวลาร่วมดื่มเพื่อปรับความเข้าใจกันหรือไม่ขอรับ?“

“เจ้าฟังที่ข้าพูดไม่รู้เรื่องงั้นหรือ?” อู๋ฝานไม่ไว้หน้าอีกฝ่ายแม้แต่น้อย กระทั่งเอ่ยอย่างหยาบคาย “ข้าเพิ่งพูดว่าไม่มีเวลาไปงานเลี้ยงบ้าบออะไรนั่น และข้าไม่คิดอยากจะไปด้วย ดังนั้นจงไสหัวกลับไปรายงานนายท่านของเจ้าเสีย!”

ก่อนหน้านี้อู๋ฝานไม่เคยมีเจตนาคิดเข้าหากัวจื่อหมิงอยู่แล้ว และหลังเขาเดินทางไปยังเมืองหลวง อีกฝ่ายกลับก่อเรื่องที่ทำให้เขายิ่งโกรธเคือง ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นใดต้องผูกสัมพันธ์กับอีกฝ่าย เนื่องจากตอนเป็นปั๋วเจวี๋ยเขายังไม่ต้องเห็นแก่หน้าอีกฝ่าย ตอนนี้เขาเป็นจื่อเจวี๋ย อีกทั้งเทศมณฑลชิงหยวนยังเป็นศักดินาของตนเอง จึงยิ่งไม่มีเหตุอะไรต้องไว้หน้าหรือหวาดเกรงกัวจื่อหมิงแม้แต่น้อย กระทั่งคร้านจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอีกฝ่ายหรือพบหน้าให้เสียอารมณ์

ใบหน้าของที่ปรึกษาเริ่มบิดเบี้ยวจนอัปลักษณ์ อู๋ฝานปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่เห็นแก่หน้ากัวจื่อหมิง มันจึงทำที่ปรึกษาโกรธแค้น เคยมีใครในเทศมณฑลชิงหยวนกล้าทำแบบนี้กับเขาบ้าง? ใครบ้างจะกล้าดีถึงขนาดมีท่าทีแบบนี้ต่อกัวจื่อหมิงอย่างชัดเจน?

ไม่มี!

อู๋ฝานเป็นคนแรกและคนเดียว!

“ใต้เท้าอู๋! ท่านทำเช่นนี้คือการไม่ให้เกียรตินายท่านของข้าเกินไปหรือไม่ขอรับ?” สีหน้าของที่ปรึกษาพลันกลับกลายเป็นเย็นยะเยือกขึ้นมา “นายท่านของข้ามีเจตนาดี ทว่าท่านกลับไม่รับเอาไว้ ทั้งยังอวดดีถึงเพียงนี้ แม้จะเป็นจื่อเจวี๋ย แต่นายท่านของข้าคือผู้ปกครองเทศมณฑลชิงหยวนแห่งนี้! ที่นี่คำพูดของนายท่านของข้าคือคำขาด! ทางที่ดีจงชั่งน้ำหนักและคิดอ่านระวังปากก่อนจะพูดอะไรออกมา!”

เมื่อเห็นอู๋ฝานไม่ไว้หน้า ที่ปรึกษาก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีกแล้วเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ก่อนหน้านี้กัวจื่อหมิงยังบอกให้เขาวางตัวสูงส่งเข้าไว้ ในฐานะผู้นำขุนนางท้องถิ่น กัวจื่อหมิงจึงมองผู้อื่นอยู่ต่ำกว่าตนทั้งหมด ชายหนุ่มที่อวดดีก็เพราะเป็นคนถ่อย เขาจึงไม่คิดเผยความอ่อนแอต่อหน้าคนถ่อยที่ดีแต่ใช้กำลัง

ดังนั้นที่ปรึกษาจึงมีความหาญกล้าถึงขนาดแสดงท่าทีเช่นนี้ออกมา!

“ชั่งน้ำหนัก? ฮ่า ฮ่า” อู๋ฝานหัวเราะเสียงดังตอบกลับมา “เจ้ากำลังจะบอกว่าที่แห่งนี้นายของเจ้าเป็นคนที่มีสิทธิ์ยื่นคำขาด?”

“หากไม่ใช่นายท่านของข้าแล้วจะเป็นท่านงั้นหรือ? จื่อเจวี๋ยอู๋ฝาน!” ที่ปรึกษาโต้คำกลับ

“ที่ปรึกษา เจ้าเองก็ทราบดีว่าที่นี่คืออาณาจักรเหยียนเฟิง ที่นี่ผู้ที่มีบรรดาศักดิ์ตั้งแต่จื่อเจวี๋ยขึ้นไปจะได้รับที่ดินศักดินาใช่หรือไม่?” อู๋ฝานเอ่ยคำถามเสียงเบา

“แล้วยังไง?” ที่ปรึกษาราวกับยังไม่อาจตระหนักถึงความหมายในคำพูดของอู๋ฝาน

“โชคร้ายหน่อยนะ บังเอิญว่าที่ดินศักดินาของข้าคือเทศมณฑลชิงหยวนแห่งนี้!” อู๋ฝานตอบกลับ

“เป็นไปไม่ได้!” หลังที่ปรึกษาได้ยินถึงกับต้องตะโกนดังออกมา จากนั้นจึงมองอู๋ฝานด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “ใต้เท้าอู๋ ท่านคิดว่าข้าไม่ทราบกฎเกณฑ์การแบ่งที่ดินศักดินาของอาณาจักรเหยียนเฟิงหรืออย่างไร? ท่านเป็นแค่จื่อเจวี๋ย มีหรือจะได้ที่ดินศักดินาดีเยี่ยมเช่นที่นี่ เป็นแค่จื่อเจวี๋ย อย่างดีก็ได้แค่หมู่บ้านหรือไม่ก็เมืองสักแห่ง กล้าดียังไงถึงบอกว่าที่ดินศักดินาของตนเองคือเทศมณฑลชิงหยวน? เหอะ! ใต้เท้าอู๋ไม่คิดว่าพูดจาใหญ่โตเกินตัวไปหรือ?”

เห็นได้ชัดว่าที่ปรึกษาไม่คิดเชื่อคำพูดของอู๋ฝานแม้แต่น้อย เพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เขาจึงไม่เชื่อว่าอีกฝ่ายจะได้รับการยกเว้นกฎเกณฑ์ที่จักรพรรดิเป็นคนตั้งขึ้น

“อะไรที่เจ้าไม่รู้ก็เลยบอกว่ามันไม่มี? นี่แสดงให้เห็นว่าเจ้าเป็นคนหน้าโง่ไม่รู้ความเพียงใด” อู๋ฝานตอบคำกลับ

“จดหมายแสดงสิทธิ์อย่างเป็นทางการอยู่ที่ใดเล่า? ไหนล่ะตราประทับ? ใต้เท้าอู๋ลองนำออกมาให้ข้ารับชม ข้าผู้นี้จะได้เปิดหูเปิดตาเสียหน่อย” ที่ปรึกษาตอบกลับ

อู๋ฝานไม่อาจเอาของเหล่านั้นออกมาตอนนี้ได้ เพราะวันนี้แผนการเดิมคือออกมานอกเมืองหลวงพร้อมกับลั่วเยวี่ย ลั่วหยาง และอูหย่า เนื่องจากลั่วเยวี่ยเป็นคนรับผิดชอบเก็บข้าวของ ดังนั้นทั้งหมดนั่นจึงยังอยู่ที่ศาลาพักม้าในหีบห่อสัมภาระ

“ว่าอย่างไร เอาออกมาให้ดูไม่ได้งั้นสิ?” เมื่อเห็นอู๋ฝานไม่ตอบ สีหน้าท่าทีของที่ปรึกษาในเวลานี้จึงยิ่งบ่งบอกว่าได้ใจ “ใต้เท้าอู๋ นายท่านของข้าแสดงความเมตตาถึงเพียงนี้ หวังว่าท่าจะเปลี่ยนใจไปพบกับใต้เท้าของข้าที่งานเลี้ยง ไม่เช่นนั้นแล้วเกรงว่าทั้งจวน ร้านค้า และกระทั่งหมู่บ้านเร้นลับในภายหน้าคงไม่อาจอยู่ต่อได้อย่างสงบอีก”

“นี่เจ้าขู่ข้า?” อู๋ฝานเอ่ยถามด้วยสีหน้านิ่ง

“หากใต้เท้าอู๋เข้าใจเช่นนั้นข้าก็ไม่คิดปฏิเสธแต่อย่างใด” ที่ปรึกษาตอบกลับ

ในเมื่อกัวจื่อหมิงไม่เห็นแก่บรรดาศักดิ์จื่อเจวี๋ยแม้แต่น้อย ที่ปรึกษาจึงมีความคิดเช่นเดียวกัน อย่างไรเขาก็เป็นคนของฝ่ายขุนนางพลเรือน

“ตึง!”

อู๋ฝานเหวี่ยงหมัดใส่ใบหน้าของที่ปรึกษาอย่างแรง อีกฝ่ายที่ไม่ทันเตรียมตัว อันที่จริงต่อให้เตรียมตัวหรือรู้ แต่เมื่อเผชิญหน้ากับหมัดของชายหนุ่ม ที่ปรึกษาที่เป็นเพียงบัณฑิตอ่อนแอย่อมไม่มีทางหลบพ้น

“อ๊าก!”

ที่ปรึกษาใช้มือปิดจมูกพลางแผดเสียงร้องออกมา สีหน้า ท่าที และดวงตาเวลานี้ทั้งแตกตื่นและโกรธแค้นไปในเวลาเดียวกัน ทว่าเท้ากลับกำลังถอยหลัง

เมื่อที่ปรึกษาก้มศีรษะลงมองฝ่ามือ ก็ได้เห็นของเหลวสีแดงที่เปรอะเปื้อนเลอะเต็มมือคู่นั้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด