ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลกบทที่ 584 รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ

Now you are reading ระบบแหวนสุดโกงสร้างตำนานในสองโลก Chapter บทที่ 584 รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 584 รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ

……….

บทที่ 584 รู้สึกไม่ค่อยสบายใจ

“ผู้อาวุโสหร่วน เจ้าหนูนี่คือเจียงอวี่ครับ” เจียงฟั่นโจวนำเจียงอวี่เข้าไปยังวงสนทนาราวหกถึงเจ็ดคน พร้อมเอ่ยอย่างนอบน้อมแก่หนึ่งในผู้อาวุโสทั้งหลาย

อีกฝ่ายคือหร่วนเจี้ยนเฟิง เป็นผู้อาวุโสนอกสำนักแห่งสำนักตะวันเพ็จรับผิดชอบดูแลเรื่องราวของสำนักตะวันเพ็จแห่งโลกเบื้องหน้า และยังเป็นคนของสำนักที่ใกล้ชิดกับตระกูลเจียงที่สุด

“เสี่ยวอวี่ ทำไมยังไม่คำนับผู้อาวุโสหร่วนอีก?” เจียงฟั่นโจวเอ่ยเตือนเจียงอวี่

เจียงอวี่รีบประสานมือทำความเคารพ “ผู้น้อยเจียงอวี่ คำนับผู้อาวุโสหร่วนครับ”

เจียงอวี่ค่อนข้างวางตัวถือดีกับคนรุ่นเดียวกัน ในฐานะคนของตระกูลเจียง ทั้งยังเป็นผู้สืบทอดสายตรง เขาจึงมีความภาคภูมิใจในตัวเองอย่างสูง แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้อาวุโสหร่วน เขาก็ไม่กล้าอวดดีเช่นที่เคยเป็น อีกฝ่ายคือคนที่พ่อของเขายังต้องสุภาพด้วยเสมอ ดังนั้นตนจึงไม่กล้าแสดงความอวดดีออกมา

“อืม” ผู้อาวุโสหร่วนมองเจียงอวี่พร้อมกับพยักหน้าตอบรับ แต่ไม่ได้เอ่ยคำตอบรับหรือเอ่ยคำชื่นชมแม้แต่น้อย

ในใจของเจียงอวี่รู้สึกไม่พอใจ ทว่าไม่กล้าพอที่จะแสดงออก

เจียงฟั่นโจวไม่ประหลาดใจกับท่าทีเช่นนี้แม้แต่น้อย กระทั่งเริ่มแนะนำตัวเจียงอวี่ให้คนอื่นรอบ ๆ ผู้อาวุโสหร่วนได้รู้จัก

กลุ่มคนข้างเคียงผู้อาวุโสหร่วนต่างก็ไม่ใช่คนธรรมดา พวกเขาต่างก็เป็นคนของสำนักท้องถิ่นในเจียงโจว แม้จะไม่ได้เป็นผู้สนับสนุนตระกูลเจียง และไม่ได้มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลเจียงเหมือนสำนักตะวันเพ็จ แต่ตระกูลเจียงคือตระกูลใหญ่ในเจียงโจว พวกเขายังต้องเห็นแก่หน้าอยู่บ้าง ขณะเดียวกันก็ถือเป็นการเห็นแก่หน้าสำนักตะวันเพ็จไปด้วย

ผู้คนของแวดวงผู้ฝึกตนมารวมตัวกันเช่นนี้ย่อมดึงดูดความสนใจของผู้อื่น ทว่าไม่มีใครกล้าเข้ามาทักทาย เพราะเกรงจะทำคนอื่นไม่ยินดี แน่นอนว่าคนจากตระกูลอื่นในเจียงโจวที่มาเข้าร่วมงานเลี้ยงวันนี้ พวกเขายังแวะเวียนเข้ามาเอ่ยคำทักทายและพูดคุย แต่ไม่กล้าเข้าร่วมวงสนทนานานจนเกินไป

คนของสำนักตะวันเพ็จไม่ได้กระตือรือร้นจะเข้าหาเจียงอวี่ คนจากสำนักอื่นก็ไม่ได้มีท่าทีอะไรเช่นเดียวกัน เรื่องนี้จึงยิ่งทำให้เจียงอวี่ไม่พอใจและหงุดหงิด ทว่าไม่กล้าพอจะแสดงโทสะนั้นออกมา

“เป็นอะไรไป? ไม่สบายใจงั้นเหรอ?” หลังออกมาจากวงสนทนา เจียงฟั่นโจวจึงเอ่ยถามกับบุตรชาย

“ครับ พวกเขาถือดีกันเกินไปรึเปล่า? ผมนอบน้อมด้วยแล้ว ทั้งยังเป็นคนของตระกูลเจียง แต่พวกเขากลับไม่เห็นหัวผมเลยแม้แต่น้อย” เจียงอวี่ตอบอย่างโกรธเคือง

“มันก็เป็นแบบนี้แหละ คนในแวดวงผู้ฝึกตนมักจะถือดีและมองเหยียดคนของโลกเบื้องหน้า นอกจากนี้พวกเขาเหล่านั้นยังเป็นถึงผู้อาวุโสนอกสำนัก สถานะของพวกเขาเป็นอะไรที่จะมีความถือดีก็ไม่ใช่เรื่องแปลก” เจียงฟั่นโจวตอบกลับราวกับคุ้นเคยท่าทีเหล่านี้เป็นอย่างดี

“ผมไม่ชอบเลยครับ” เจียงอวี่ตอบกลับ

“ถ้าลูกมีพรสวรรค์ในการฝึกฝนและได้เข้าสู่แวดวงผู้ฝึกตน พวกเขาจะไม่ปฏิบัติกับลูกแบบนี้” เจียงฟั่นโจวบอกกับบุตรชาย

เจียงอวี่ไม่ตอบอะไรไปชั่วขณะ เนื่องจากเขาไม่ได้มีพรสวรรค์ในด้านดังกล่าวจริง ๆ อันที่จริงแล้วในบรรดาห้าตระกูลใหญ่แห่งเจียงโจวก็มีผู้ฝึกตนอยู่ พวกเขาได้เข้าร่วมกับสำนักใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงเจียงโจว และพวกเขาเหล่านั้นคือจุดเชื่อมโยงระหว่างสำนักและห้าตระกูลใหญ่เข้าไว้ด้วยกัน

“จำเอาไว้ ต่อให้ลูกไม่พอใจแค่ไหนก็ต้องไม่แสดงออกมา เมื่อกี้ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อดึงลูกออกมาเร็ว สีหน้าไม่พอใจของลูกคงแสดงออกมา กับแค่เรื่องควบคุมอารมณ์ยังทำไม่ได้ แล้วอนาคตจะไปทำอะไรได้อีก?” เจียงฟั่นโจวสั่งสอนบุตรชาย

“ทราบแล้วครับพ่อ ผมจะระวัง” เจียงอวี่ตอบรับ

เจียงฟั่นโจวพยักหน้าตอบ แต่ก็ทราบดีแก่ใจว่าคงไม่อาจหวังให้บุตรชายเปลี่ยนท่าทีได้ในข้ามคืน แต่ก็หวังว่าหลังได้ออกไปดิ้นรนในสังคมภายนอกสักระยะ เขาจะเริ่มมีความเปลี่ยนแปลงไปเองบ้าง

ขณะที่เจียงฟั่นโจวเดินแนะนำตัวเจียงอวี่อย่างต่อเนื่อง การแสดงชุดแรกตรงเวทีก็จบลงแล้วเช่นกัน ท่ามกลางเสียงปรบมือจากกลุ่มคนหนุ่มสาว สวี่จื่อฉีและคนอื่นก็เดินลงจากเวที

ทันทีที่สวี่จื่อฉีลงมา คนหนุ่มสาวหลายคนต่างก็เข้าไปรายล้อม เมื่อเจอสถานการณ์ดังกล่าว เธอไม่มีอาการแตกตื่นเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่ประสบพบเรื่องราวแบบนี้ กระทั่งว่ารับมือได้ด้วยดีด้วยซ้ำไป

หลังตอบรับบรรดาผู้ที่เข้ามาหาและทักทาย พี่จ้าวจึงเดินเข้ามาจากมุมหนึ่ง เห็นได้ว่าวันนี้ไม่มีเวลาให้เธอมีปฏิสัมพันธ์กับแฟนคลับสักเท่าไหร่

“จื่อฉี ทำได้ดีมาก” พี่จ้าวเดินเข้ามาพร้อมกับเอ่ยชม

“ค่ะ” สวี่จื่อฉีตอบรับ เพราะพิจารณาจากระดับของเธอ การแสดงก่อนหน้านี้ถือได้ว่าธรรมดา

“พักหายใจก่อน เดี๋ยวฉันพาเธอไปทำความรู้จักกับคนอื่น ๆ” พี่จ้าวเอ่ยบอก

สวี่จื่อฉีพยักหน้าตอบพลางเอ่ยถาม “เห็นหลันเฉียงรึเปล่าคะ?”

“เจออยู่” พี่จ้าวเผยสีหน้าเหยเกไปเล็กน้อย “เธอคนนั้นยังภูมิใจในตัวเองไม่เปลี่ยน และยังได้ทำพิธีปิดในคืนนี้ด้วย”

“เธอเป็นคนปิดงานเหรอคะ?” สวี่จื่อฉีชะงัก

แม้ไม่อยากยอมรับ แต่วงการบันเทิงก็เป็นสถานที่ซึ่งต้องให้ความสนใจกับชื่อเสียง สถานะ และคุณสมบัติ ไม่เช่นนั้นแล้วคงไม่มีดาราดังหลายคนต่อสู้ห้ำหั่นกันเพื่อแย่งตำแหน่งที่สูงกว่า

ตอนแรกหญิงสาวคิดว่าคนที่จะมาปิดงานคงเป็นคนที่มีสถานะสูงกว่าเธอ ไม่ได้นึกคิดว่าคนคนนั้นจะเป็นหลันเฉียง

ไม่ว่าจะด้านคุณสมบัติหรือตำแหน่ง หลันเฉียงก็ด้อยกว่าเธอทั้งสิ้น แต่เพราะอะไรถึงให้อีกฝ่ายไปแสดงปิดท้าย?

“คงมีอำนาจเบื้องหลังเธอที่คอยจัดการเรื่องแบบนี้ให้นั่นแหละนะ” พี่จ้าวเองก็ค่อนข้างโกรธไม่น้อยเช่นกัน

แม้สวี่จื่อฉีจะรู้สึกไม่ค่อยพอใจ แต่ไม่นานก็ดึงอารมณ์กลับคืนมาได้ “ปล่อยเธอไปเถอะค่ะ มันไม่ได้สำคัญอะไรขนาดนั้น”

ตั้งแต่มีความคิดถอนตัวจากวงการบันเทิง สวี่จื่อฉีก็แทบไม่ได้สนใจเรื่องมารยาทเล็กน้อยเหล่านี้ อันที่จริงแม้เป็นแต่ก่อนเธอก็แทบไม่ได้ใส่ใจเลยด้วยซ้ำ อย่างไรจุดประสงค์ที่เธอเข้าวงการบันเทิงก็เพราะต้องการร้องและแสดง แม้จะผ่านมาหลายปีแล้ว แต่ความตั้งใจตั้งต้นของเธอก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลง

“เธอใจกว้างพอสมควรเลยนะ” พี่จ้าวตอบรับ เพราะได้เห็นว่าสวี่จื่อฉีไม่ติดใจอะไรจึงโล่งอก

ตัวพี่จ้าวเองก็ไม่พอใจ แต่ก็ทราบดีว่าระหว่างบริษัทที่เธอทำงานอยู่กับคนหนุนหลังของหลันเฉียงแตกต่างกันขนาดไหน ดังนั้นแม้ไม่พอใจก็ต้องอดกลั้นเอาไว้ เธอเองก็เกรงว่าสวี่จื่อฉีจะบุ่มบ่าม ทว่าจากที่เห็นเมื่อครู่ หญิงสาวค่อนข้างใจกว้างกับเรื่องเหล่านี้มากกว่าที่เธอคิด

“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรนี่คะ” สวี่จื่อฉีตอบกลับ

“เธอใจกว้างแบบนี้ก็ดีแล้ว” พี่จ้าวตอบกลับ “ฉันจะพาเธอไปเจอและทำความรู้จักกับคนอื่นเอง”

สวี่จื่อฉีขมวดคิ้วเล็กน้อย เพราะเธอไม่ได้อยากไป แต่ก็รู้ดีว่าไม่อาจปฏิเสธ ดังนั้นจึงทำได้เพียงพยักหน้ารับ

หลังจากนั้น พี่จ้าวจึงเริ่มพาสวี่จื่อฉีเดินไปเข้าวงสังคมที่น่าจะพอมีส่วนช่วยบริษัทได้บ้าง แต่เพราะพวกเขาไม่ใช่หนุ่มสาวที่เป็นแฟนคลับของเธอ เรียกได้ว่าแทบไม่มีใครรู้จักเธอในฐานะนักแสดง กระทั่งมีท่าทีเหินห่างและเฉยเมยด้วยซ้ำ

แน่นอนว่าทั้งพี่จ้าวและสวี่จื่อฉีต่างก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด

ขณะพี่จ้าวกำลังพาสวี่จื่อฉีเข้าสังคม ประตูของโถงใหญ่พลันเปิดออกพร้อมร่างชายหนุ่มคนหนึ่งที่ก้าวเดินเข้ามา

“นายน้อยอู๋ไม่ใช่เหรอ?!”

ไม่ทราบว่าคนที่ตะโกนออกมาเป็นใคร แต่ตอนนี้เองที่หลายคนใกล้เคียงต่างต้องลอบมองทางประตูโดยไม่รู้ตัว รวมทั้งพี่จ้าวและสวี่จื่อฉีก็ด้วยเช่นกัน

“เขางั้นเหรอ? ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะ?” ทันทีที่เห็นบุคคลมาใหม่ สวี่จื่อฉีก็อดไม่ได้ที่จะต้องพึมพำกับตัวเอง

……….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด