รัตติกาลไม่สิ้นแสง 242 ความคิดคนเป็นเรื่องน่าสนใจ

Now you are reading รัตติกาลไม่สิ้นแสง Chapter 242 ความคิดคนเป็นเรื่องน่าสนใจ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อการเต้นมาถึงช่วงที่เข้มข้นที่สุด มีนส์กับคนอื่นๆ ต่างก็ชูสองมือโห่ร้องตะโกนขึ้น

“สรรเสริญท่าน ประตูสู่โลกใหม่!”

ในฐานะที่เป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ ซางเจี้ยนเย่าจึงสามารถทำตามได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีจุดผิดพลาดแม้แต่น้อย

“สรรเสริญท่าน ประตูสู่โลกใหม่!”

หลังจากที่เต้นรวมกลุ่มจบลง ถึงแม้ว่าซางเจี้ยนเย่าจะไม่ได้ใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ ก็ตาม แต่มีนส์กับพวกพ้องต่างก็มองเขาเฉกเช่นเดียวกับที่มองสหายร่วมกลุ่มแล้ว

พนักงานหญิงสองคนของสือฟางพาณิชย์ซึ่งเดิมทีรู้สึกว่าเขานั้น ‘สูงส่งเกินเอื้อม’ ก็รวบรวมความกล้ามาพูดคุยสนทนากับเขาสองสามประโยค

ในตอนนี้มีนส์ซับเหงื่อที่หน้าผากก่อนจะเดินเข้าไปหาเจี่ยงไป๋เหมียน

“พวกเราต้องไปแล้วล่ะ”

“พวกคุณจะมุ่งหน้าต่อไปยัง ‘สมาพันธ์หลินไห่’ หรือว่าจะกลับไปที่ทาร์นันก่อน” เจี่ยงไป๋เหมียนถามขึ้นอย่างไม่จริงจัง

มีนส์ตอบเสียงเรียบ

“พวกเราจะกลับบ้านเหมือนที่ตั้งใจไว้ก่อนหน้านี้

“ขับรถไปทางตะวันออกเฉียงใต้ครึ่งวันก็ออกจากภูชีลาร์แล้ว ที่นั่นมีนิคมที่อยู่ติดกับ ‘สมาพันธ์หลินไห่’ ของพวกเรา ไม่ต้องกลัวว่าจะมีพวกโจรมาปล้นอีก”

“ได้ งั้นเดินทางปลอดภัยนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้รั้งเขาไว้

หลังจากมีนส์เขียนจดหมายแนะนำถึง ‘ผู้อุทิศ’ หลี่เจ๋อต่อหน้าซางเจี้ยนเย่าเสร็จ เขาก็โบกมือแล้วขึ้นรถคันที่ยังมีสภาพดีซึ่งพวกโจรทิ้งเอาไว้

ขณะที่รถทั้งสองคันที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ยกให้สือฟางพาณิชย์ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป ซางเจี้ยนเย่าก็เดินตามพร้อมกับโบกมือขวาเต็มแรง ตะโกนเสียงดัง

“ขับรถระวังด้วย!

“ลาก่อน ไว้พบกันใหม่ให้ได้นะ!”

อะไรจะจริงใจขนาดนั้น… เจี่ยงไป๋เหมียนแอบค่อนแคะในใจ จากนั้นก็หันไปมองลูกสมุนโจรทั้งสี่คนที่เพิ่งจะกินอาหารที่เหลืออยู่เสร็จ

เมื่อรับรู้ถึงสายตาที่จับจ้องของเธอ เหล่าเชลยก็ตัวแข็งทื่อพร้อมๆ กัน ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่ออีก

สายตาเจี่ยงไป๋เหมียนค่อยๆ กวาดไปตามใบหน้าพวกเขา พลางพูดด้วยรอยยิ้ม

“ฉันตัดสินใจได้แล้ว…”

เมื่อพูดถึงตรงนี้เธอก็จงใจหยุดคำพูดไว้ ทำให้หัวใจโจรทั้งสี่หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เกือบจะหยุดเต้นในทันที

จากนั้นเธอถึงจะพูดต่อ

“จะพาพวกนายไปที่ทาร์นันก่อน ถ้าไม่มีใครมาไถ่ตัวก็ค่อยส่งตัวให้กับทาง ‘สวรรค์จักรกล’ ไป”

ในขณะที่ดวงตาของลูกสมุนโจรทั้งสี่คนเป็นประกาย เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดต่ออีก

“แต่ก็ต้องดูก่อนว่าพวกนายจะให้ความร่วมมือหรือเปล่า ทำตัวดีหรือเปล่า”

“ได้ ได้!” “พวกเราจะทำตัวดีๆ!” เหล่าสมุนโจรรีบแย่งกันแสดงความตั้งใจอย่างกระตือรือร้นทันที

“ดีมาก” เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ไปยังบริเวณหุบเขาที่มีสภาพเละเทะ “งั้นก็ไปทำความสะอาดซะ”

‘สภาพเละเทะ’ นี้ส่วนใหญ่เกิดจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ไม่ได้เป็นเพราะเศษอาหารในพิธีศีลหม้อไฟ

บรรดาสมุนโจรตอบรับเสียงดังโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ภายใต้การตรวจงานของไป๋เฉิน พวกเขาจัดการขยะทุกชนิด ของอะไรที่ยังเอามาใช้ได้ก็เก็บเอาไว้

หลงเยว่หงซึ่งเดิมทีคิดว่านี่เป็นงานของตนเองก็ตกตะลึงไปครู่ใหญ่ ก่อนจะพบว่าจู่ๆ ตัวเองก็กลายเป็นคนว่างงานไปเสียแล้ว

“มีคนมาช่วยทำงานแทนให้แบบนี้ รู้สึกดีใช่ไหมล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนที่ยืนอยู่ด้านข้างถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม

หลงเยว่หงซึมซับความรู้สึกอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบออกมา

“ใช่ครับ รู้สึกดีจริงๆ”

ถึงแม้ในตอนที่ถูกสั่งให้ทำงานจิปาถะอะไรพวกนี้เขาจะไม่ได้รู้สึกอึดอัดคับข้องใจก็เถอะ แต่คนเราน่ะ หากอู้ได้ก็ย่อมอยากอู้ ขี้เกียจได้ก็ย่อมอยากขี้เกียจเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

รอจนสมุนโจรทำงานเสร็จ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถามโจรผมบลอนด์ที่ดูแล้วว่าพอจะมีสติปัญญาอยู่บ้าง

“นายชื่ออะไร”

“ยอร์เกนเซ่น” โจรผมบลอนด์ยิ้มกว้างแจ้งชื่อตัวเอง

เขาเคยได้ยินมาว่าถ้าถูกจับตัวเป็นเชลย หากอีกฝ่ายยินดีอยากรู้ชื่อแซ่ตนเอง เช่นนั้นก็แปลว่าคุณจะไม่ถูกฆ่าทิ้งทันที

“นายจับสามคนนั้นมัดไพล่หลังเอาไว้ พาขึ้นรถคันนั้นแล้วขับตามพวกเราไป” เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ไปยังรถสีขาวซึ่งกลุ่มโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ ทิ้งเอาไว้

นอกจากรถทั้งสองคันที่สือฟางพาณิชย์ขับไปแล้ว นี่ก็คือรถที่ยังมีสภาพสมบูรณ์ที่สุด เพียงแค่ตัวถังรถเลอะคราบฝุ่นโคลนจนแทบมองไม่เห็นว่าสีเดิมมีสภาพเป็นยังไงเท่านั้น แต่ไม่มีปัญหาเรื่องอื่นอีก

ยอร์เกนเซ่นรีบกุลีกุจอตอบรับ จับพวกพ้องมัดมือไพล่หลังด้วยเชือกป่านโดยมีสหายให้ความร่วมมืออย่างยินยอมพร้อมใจ

แต่เมื่อขึ้นรถไปแล้วเขาก็ชะงักไปในทันที นั่นเป็นเพราะว่าเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ ไม่ได้สนใจไยดีพวกเขาแม้แต่น้อย นอกจากจะไม่ได้มอบหมายให้คนมาคอยเฝ้าจับตาพวกเขาแล้ว กลับยังสตาร์ทรถจี๊ปเคลื่อนตัวไปยังทางออกอีกด้านของหุบเขาด้วย

พื้นที่ต้นลำธารนี้เหลือเพียงแค่โจรสี่คนที่เป็นเชลยถูกปล่อยทิ้งเอาไว้

“ยอร์เกนเซ่น” โจรที่มีแผลเป็นบนใบหน้าพูดเสียงต่ำ “พวกเรารีบชิ่งหนีไปอีกด้านกันดีไหม”

ยอร์เกนเซ่นลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนจะพูดออกมา

“แกคิดว่าคนพวกนั้นจะไม่สนใจพวกเราจริงๆ หรือไง

“ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจกำลังวัดใจพวกเราอยู่ก็ได้”

โจรคนอื่นพากันเงียบกริบเพราะต่างก็ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าจะเป็นยังไง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะหลบหนี ทว่าพวกเขากลับไม่กล้าตัดสินใจ

นี่เป็นเพราะพวกซางเจี้ยนเย่านั้นทำตัวตามสบายเกินไป แสดงท่าทีเหมือนบอกว่า ‘พวกแกอยากทำอะไรก็ทำไป’ ทำให้พวกเขารู้สึกตงิดใจขึ้นมาตามสัญชาตญาณ

ยอร์เกนเซ่นเห็นพวกพ้องยังคงนิ่งเงียบ เขาจึงสตาร์ทรถพลางพูดขึ้น

“อาจเป็นเพราะพวกเขามั่นใจว่าพวกเราหนีไม่รอดแน่”

เมื่อเห็นว่าสหายยังคงไม่ตอบคำ ยอร์เกนเซ่นก็พูดเสริมอีกสองประโยค

“พวกแกลองคิดดูสิ พวกนั้นน่ะส่งแค่คนสวมชุดเกราะเสริมแรงออกมาแค่คนเดียวก็ถล่มพวกเราเสียยับเยินขนาดนี้แล้ว อีกสามคนที่เหลือแทบไม่ได้ออกแรงอะไรด้วยซ้ำ

“ไม่รู้ว่าพวกแกเคยได้ยินประโยคนี้หรือเปล่า ที่บอกว่า ‘สิงโตจะไม่อยู่ร่วมกับหมาจิ้งจอก’ คนที่สวมชุดเกราะเสริมแรงนั่นย่อมไม่เลือกเป็นเพื่อนร่วมทีมกับคนที่อ่อนแอกว่าตัวเองมากนักหรอก อีกสามคนที่เหลือนั่นเป็นไปได้ว่าคงมีจุดแข็งของตัวเอง อาจจะสามารถจับตาเฝ้าดูพวกเราได้ตลอด หรือไม่ก็สามารถตอบสนองการหลบหนีของพวกเราได้ทันท่วงทีก็เป็นได้”

หลังจากฟังยอร์เกนเซ่นพูดจนจบ โจรที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าก็ถ่มน้ำลายออกมา

“งั้นก็ตามไปเถอะ ฉันไม่อยากกินบาซูก้าเหมือนพวก ‘เขี้ยวงู’ ตอนหันหลังหนี”

‘เขี้ยวงู’ คือคนที่ขับรถคันแรกซึ่งไล่ตามพวกเจี่ยงไป๋เหมียนไปเมื่อก่อนหน้านี้

“ใช่ ใช่ ต่อให้ไม่มีคนมาไถ่ตัวพวกเรา ต้องไปอยู่กับพวก ‘สวรรค์จักรกล’ อย่างมากก็แค่ถูกจับขังไว้สักปีสองปี ไม่ใช่เรื่องใหญ่เท่าไหร่หรอกน่า” โจรอีกคนเห็นพ้องด้วย

ถึงแม้ว่าการอยู่ในคุกของ ‘สวรรค์จักรกล’ คงไม่ได้กินจนอิ่มท้อง แต่ก็ไม่อดตายแน่นอน

เมื่อยอร์เกนเซ่นเห็นว่าเหล่าสหายไม่มีใครแย้งอีก เขาก็ขับรถตามหลังรถจี๊ปดัดแปลงคันนั้นไปติดๆ

เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งจะตกลงใจไปแล้วว่าต่อให้เจ้าพวกโง่เง่าสมองหมูพวกนี้เลือกจะหนีไปจริงๆ เขาก็ไม่ใส่ใจ ถึงอย่างไรพวกมันก็ถูกจับมัดอยู่ ไม่มีทางคุกคามเขาได้แม้แต่น้อย

หลงเยว่หงซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังของรถจี๊ปหันกลับมาแล้วเห็นว่ารถเชลยขับตามมาด้วย จึงพูดด้วยความประหลาดใจ

“พวกมันตามมาจริงๆ ด้วย…”

ตอนแรกเขายังคิดว่าหัวหน้าทีมเจตนาสร้างโอกาสเพื่อปล่อยเชลยไปเพราะไม่รู้ว่าจะจัดการกับคนพวกนั้นยังไงดี

หากเป็นภายใต้สถานการณ์ปกติทั่วไป ‘ทีมสำรวจเก่า’ ย่อมไม่สังหารเชลยอยู่แล้ว ทว่าการที่ต้องพาตัวไปทาร์นันด้วยนั้นจำต้องจัดคนไว้คอยจับตาดู ซึ่งเป็นการเพิ่มความลำบากและอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ง่าย

แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเชลยนั้นกลับเลือกที่จะคอยจับตาเฝ้าดูกันเอง คอยป้องกันระวังกันเอง ไม่ต้องให้ ‘ทีมสำรวจเก่า’ คอยพะวงแม้แต่น้อย

“พวกเขาอาจไม่อยากพรากจากหม้อไฟล่ะมั้ง” ซางเจี้ยนเย่าร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่งด้วยความรู้สึกของตัวเอง

“นายกำลังพูดถึงตัวเองอยู่หรือไงละนั่น” หลงเยว่หงพึมพำออกมาประโยคหนึ่ง

เขาเพิ่งจะพูดขาดคำ ซางเจี้ยนเย่าก็ใช้กำปั้นขวาทุบลงบนฝ่ามือซ้าย

“จบกัน ลืมไปเสียสนิทเลย”

“เรื่องอะไรเหรอ” หลงเยว่หงตระหนกขึ้นมาทันที

ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

“ฉันลืมขอยืมเครื่องเทศจากมีนส์นะสิ”

“…” หลงเยว่หงรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรจะไปใส่ใจไยดีกับเจ้าหมอนี่ แต่ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ควรค่าต่อการ ‘เศร้าใจ’ อยู่เหมือนกัน

หากไม่มีเครื่องเทศกับเครื่องปรุงรสพวกนั้น นั่นก็หมายความว่าในช่วงเวลานี้พวกเขาคงไม่อาจทำหม้อไฟเลิศรสขึ้นมาได้ ทำได้เพียงแค่หม้อไฟชนิดพื้นฐานธรรมดาเท่านั้น

เจี่ยงไป๋เหมียนดูกระจกมองหลังแล้วพูดอย่างยิ้มแย้ม

“สาเหตุหลักก็เป็นเพราะนายนั่นแหละ เสี่ยวหง ตอนนั้นนายทำได้ดีมากจนพวกนั้นไม่เหลือความกล้าที่จะต่อต้านขัดขืน

“ใจคนน่ะ เป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนมาก”

ไป๋เฉินที่กำลังขับรถอยู่ก็เสริมขึ้นอีกประโยค

“เมื่อเทียบกันแล้ว เรื่องที่ไม่รู้ว่าจะลงเอยยังไงน่ะ ย่อมน่ากลัวว่าเรื่องที่รู้ผลและยอมรับผลนั้นได้อยู่แล้ว”

พวกเขาก็ขับรถกันไปเช่นนี้จนกระทั่งเวลาเย็น ด้วยการอำนวยความสะดวกของลูกสมุนโจรที่ช่ำชองภูมิประเทศแถบนี้ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็มาถึงแหล่งน้ำสะอาดและลงมือตั้งค่าย

“แก้เชือกให้พวกเขาแล้วก็พาไปเก็บไม้เก็บฟืน” เจี่ยงไป๋เหมียนออกคำสั่งกับยอร์เกนเซ่น

เธอมองออกว่าคนผู้นี้ยอมเป็น ‘ทหารรับใช้’ ที่เรียกง่ายใช้คล่องเพื่อแลกกับผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม

เมื่อมี ‘คนเลี้ยงแกะ’ คอยต้อนอยู่ เจี่ยงไป๋เหมียนจึงเชื่อว่าเหล่าเชลยจะยินยอมเชื่อฟังมากขึ้นกว่าเดิม

รอจนยอร์เกนเซ่นจัดแบ่งงานให้โจรอีกสามคนเสร็จ เจี่ยงไป๋เหมียนก็นึกบางเรื่องขึ้นได้จึงเรียกเขาให้หยุดก่อน

“นายอย่าเพิ่งไปไหน ฉันมีเรื่องอยากถามหน่อย”

“ได้ๆ” ที่จริงแล้วยอร์เกนเซ่นอยากจะตอบรับนักรบหญิงทรงพลังผู้นี้ด้วยความเคารพมากกว่านี้ แต่เขาไม่รู้จะเรียกเธอว่ายังไงดี

คงจะเรียกว่า ‘ลูกพี่’ ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ

เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูลูกสมุนโจรคนอื่นๆ เข้าไปในป่าเพื่อเก็บฟืน พลางเอ่ยถามอย่างไม่จริงจัง

“นายเคยได้ยินเกี่ยวกับ ‘เมนเฟรม’ ในทาร์นันบ้างไหม”

“ไม่เคย” ยอร์เกนเซ่นส่ายหน้า “หุ่นจักรกลพวกนั้นหัวแข็งจะตาย จะมอมเหล้าก็ไม่ได้ ไม่มีทางง้างปากพวกมันเพื่อขุดข้อมูลออกมาได้เลย”

ภาษาที่ใช้เป็นหลักของพื้นที่แถบนี้ก็คือภาษาแดนธุลี ดังนั้นยอร์เกนเซ่นซึ่งเป็นโจรชาวแม่น้ำแดงจึงสามารถพูดได้อย่างคล่องแคล่ว

“ใครเป็นเจ้าเมืองของที่นั่น” ซางเจี้ยนเย่าถามแทรกขึ้น

เขาค่อนข้างสนใจเกี่ยวกับหุ่นสมองกลพวกนั้นอยู่ไม่น้อย

“เป็นหุ่นสมองกลที่ชื่อเกอนาวา[1] มันเรียกตัวเองว่าเป็นกัปตันกองกำลังย่อยของโถงรักษาความสงบอะไรสักอย่างนี่แหละ” ยอร์เกนเซ่นนึกทบทวนเรื่องที่เคยได้ยินได้ฟังมาจากทาร์นันแล้วเล่าออกมา “มันเป็นหุ่นสมองกลที่ดูแปลกๆ หน่อย”

“แปลกยังไงเหรอ” การที่เจี่ยงไป๋เหมียนถามมากมายเช่นนี้ จุดมุ่งหมายโดยหลักๆ ก็เพื่อตรวจสอบข้อมูลที่รับมาจากชุมชนศิลาแดง

ยอร์เกนเซ่นเกาหัวแกรกๆ

“ที่จริงอาจจะไม่แปลกก็ได้ ในทาร์นันมีหุ่นสมองกลที่คล้ายๆ แบบนั้นอยู่ไม่น้อย

“พวกมันมีการแบ่งเป็นหุ่นชายหุ่นหญิง ทำเหมือนเป็นครอบครัวกัน บางทีก็ยังแลกชิ้นส่วนต่างๆ ผ่านช่องทางภายในเพื่อเอามาประกอบเป็นหุ่นสมองกลตัวเล็กๆ ทำเป็นลูกตัวเองอีกด้วย

“หุ่นยนต์ไม่มีเพศสักหน่อย ใช่ไหมล่ะ”

ระหว่างที่ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ กำลังพูดคุยเรื่องเกี่ยวกับทาร์นัน พวกลูกสมุนโจรทั้งสามคนก็ออกจากค่ายไปแล้ว พวกเขากำลังเก็บรวบรวมฟืนในป่าซึ่งมีกิ่งไม้แห้งตายอยู่มากมาย

เป็นเพราะที่แห่งนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้สายตาของศัตรูแล้ว พวกเขาต่างก็บังเกิดความคิดชั่ววูบขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน

‘จะหนีกันดีไหม’

หลังจากคิดทบทวนซ้ำอีกรอบ พวกเขาก็พลันนึกถึงคำพูดของยอร์เกนเซ่นขึ้นมา

‘พวกเขาคงมั่นใจว่าพวกเราหนีไม่รอดแน่…

‘สิงโตจะไม่อยู่ร่วมกับหมาจิ้งจอก…

‘อีกสามคนที่เหลือนั่นเป็นไปได้ว่าคงมีจุดแข็งของตัวเอง อาจจะสามารถคอยจับตาเฝ้าดูพวกเราได้ตลอด…’

ในระหว่างที่ความคิดเหล่านี้วิ่งพล่านอยู่ในหัว พวกเขาก็ค่อยๆ ใจเย็นลง รู้สึกขึ้นมาว่าการไปทาร์นันก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่เลวร้ายเท่าไหร่

ช่างเถอะ ช่างมัน… พวกเขาต่างก็รีบสลัดความคิดเรื่องหนีทิ้งไปอย่างรวดเร็ว รีบทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างขยันขันแข็ง

[1] เกอนาวา (格纳瓦 เก๋อ น่า หว่า) ในภาษาจีนเป็นคำที่ใช้ทับศัพท์เรียกดนตรีพื้นบ้านชนิดหนึ่งในแอฟริกาเหนือ (Gnawa) และกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในโมร็อกโก ในภาษาอังกฤษเขียนว่า Gnawa, Gnaoua, Ganawa, Gnoua อ่านตามเสียงจะเป็น ‘นาวา’ หรือ ‘นัวอา’ แต่เนื่องจากในเนื้อเรื่องหลังจากนี้จะมีการเรียกชื่อเล่นตัวละครตัวนี้ว่า เหล่าเก๋อ หรือ ‘เกอนาวา’ เพื่อจะได้เรียกชื่อเล่นตามภาษาจีนได้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด