รัตติกาลไม่สิ้นแสง 27 เมืองน้ำล้อม
ไป๋เฉินชะลอความเร็วมอเตอร์ไซค์ทันทีแล้วมองไปยังเบื้องหน้า
ห่างออกไปหนึ่งร้อยเมตรข้างหน้าเป็นกำแพงสีน้ำตาลอมแดง มันยืดออกไปด้านข้างทั้งสองฝั่งจนไกลสุดเท่าที่จะไกลได้แล้วโค้งไปด้านหลังจนพ้นสายตาไป๋เฉิน ราวกับโอบล้อมเมืองเอาไว้
อิฐบนกำแพงส่วนใหญ่ทั้งด่างทั้งเก่า แต่ก็มีบางส่วนจำนวนค่อนข้างน้อยที่ยังดูใหม่เอี่ยมราวกับว่าเพิ่งก่อขึ้นมาเมื่อปีที่แล้ว
ทั้งด้านบนกำแพงและด้านนอกกำแพงถูกขึงกั้นไว้ด้วยลวดหนามขึ้นสนิม มีทางเข้าออกเพียงแค่ทางเดียวเท่านั้น
ด้านบนของโครงไม้สองสามแห่งที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหลังกำแพงและพื้นที่ว่างระหว่างรั้วลวดหนามกับกำแพงนั้นมียาม
สวมเสื้อผ้าสกปรกมอมแมมและไม่เข้าชุด ถือปืนคอยลาดตระเวนตรวจตราอยู่
คนที่เตือนไป๋เฉินก็คือยามที่ยืนอยู่บนโครงไม้ที่สูงที่สุด เสื้อที่เขาสวมไว้ด้านในทั้งเหลืองทั้งแข็ง ข้างนอกคลุมด้วยเสื้อสีกรมท่าที่ยัดฝ้ายจนดูพองบวมฉุ
ยามคนนี้สะพายปืนไรเฟิลอัตโนมัติไว้ที่ไหล่ ส่วนในมือถือวัตถุสีดำรูปร่างคล้ายปากกา
วัตถุนี้ส่องแสงสีแดงออกมา ฉายเป็นจุดเล็กๆ ที่เบื้องหน้าของไป๋เฉิน
ไป๋เฉินหยุดรถมอเตอร์ไซค์ ถอดหมวกนิรภัย และพยายามเหน็บผมสั้นขึ้นไปทัดหู
เธอเจตนาแสดงความเป็นหญิงของตนออกมา
นี่ไม่ใช่การหว่านเสน่ห์หรือยั่วยวนใคร แต่เพื่อทำให้อีกฝ่ายนั้นผ่อนคลายลงสักหน่อย ไม่ตึงเครียดเกินไป
เธอรู้ดีว่าบนแดนธุลีซึ่งเป็นสถานที่ที่แทบจะไร้ซึ่งกฎระเบียบนั้น แม้ว่าด้วยอาวุธปืนจะทำให้ระดับความคุกคามระหว่างชายหญิงลดลงมาอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ก็ยังคงไม่สามารถลดช่องว่างระหว่างทั้งสองเพศได้อย่างแท้จริง
ไม่ว่าจะเป็นด้านสรีระร่างกายหรือความดุร้ายข่มขวัญ อย่างไรเสียผู้ชายนั้นย่อมอันตรายกว่าหญิงอยู่แล้ว
ชายแปลกหน้าจึงมีความน่าหวาดหวั่นมากกว่าหญิงแปลกหน้า
หลายปีที่ไป๋เฉินใช้ชีวิตรอนแรมอยู่ในแดนร้าง เธอมักจะแสดงสองสถานภาพที่แตกต่างกันออกมาเมื่อไปสำรวจซากปรักหักพัง ล่าสัตว์ในแดนร้าง เดินทางผ่านพื้นที่อันตราย ทำการค้ากับกลุ่มโจร เธอก็จะเก็บซ่อนผมยาว ทาหน้าให้ดำ และเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อทำให้เธอดูเหมือนผู้ชาย
เมื่อเธอไปที่นิคมที่มีกฎระเบียบในระดับหนึ่ง หรือติดต่อกับนักล่าซากอารยะจากกองกำลังใหญ่ที่สนใจเรื่องข่าวสารและข้อมูลเกี่ยวกับโลกเก่ามากกว่า เธอถึงจะเปิดเผยตัวตนที่เป็นผู้หญิงออกมา
หลังจากเธอถูก ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ดูดซับ และมีความมั่นใจมากขึ้น เธอจึงตัดสินใจตัดผมสั้นเสมอหูอย่างที่ตัวเองชอบ
หลังจากวางหมวกนิรภัยไว้หน้ารถ ไป๋เฉินก็ค่อยๆ ขี่มอเตอร์ไซค์เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
ระหว่างนี้จุดแสงสีแดงยังคงส่ายไปมาอยู่ด้านหน้าเธอ บางครั้งบางคราวก็ชี้มาที่มอเตอร์ไซค์ ซึ่งแปลว่าอีกฝ่ายนั้นเล็งเป้าเธอไว้แล้ว ไม่ได้คลายความระวังลง
เมื่อระยะห่างของทั้งสองฝ่ายเหลือไม่ถึงสามสิบเมตร ไป๋เฉินก็เอียงรถมอเตอร์ไซค์ ใช้เท้าข้างหนึ่งยันพื้นแล้วตะโกนขึ้น
“ฉันมาหาเจ้าเมืองเถียน เถียนเอ้อร์เหอ!”
เธอตะโกนไปสองครั้งแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแค่รอด้วยความอดทน
ยามคนหนึ่งบนโครงไม้แยกตัวออกไป ก้าวไปบนไม้กระดานที่วางปูลาดไว้ในแนวเฉียง
ห้าหกนาทีต่อมา ชายชราผู้หนึ่งปรากฏกายขึ้นบนกำแพง
เขาสวมหมวกขนสัตว์สีน้ำเงินเข้ม ทำให้ดูเหมือนเอาชามมาคว่ำเทินไว้บนศีรษะ
ที่ขมับเขามีผมขาวที่มองเห็นได้อย่างชัดเจน เบ้าตาลึก ใบหน้าซูบผอม ริ้วรอยเหี่ยวย่นปรากฏหลายที่ทำให้แลดูชราภาพอย่างยิ่ง
แต่ทว่าดวงตาสีน้ำตาลเข้มนั้นยังคงกระจ่างสดใสเปี่ยมไปด้วยความกระปรี้กระเปร่า คนผู้นี้ย่อมเป็นเจ้าเมืองของนิคมแห่งนี้ เถียนเอ้อร์เหอ
เขาสวมเสื้อยืดสีขาวออกเหลืองที่ยับย่นมีรอยปะชุน เสื้อคลุมทหารสีเขียวตัวโคร่งที่ไม่พอดีกับรูปร่าง
ร่างกายท่อนล่างเป็นกางเกงผ้าขนสัตว์สีเหลืองแก่ ข้างในไม่รู้ว่าใส่ซ้อนเข้าไปกี่ชั้นจนดูบวมพอง
เถียนเอ้อร์เหอมองดูไป๋เฉิน ใช้เวลาหลายวินาทีเพื่อนึกให้ออกว่าเป็นใคร
“อ้อ…” ในขณะที่เขาเริ่มจดจำอีกฝ่ายได้ แต่พอจะร้องทักทายก็พบว่าไป๋เฉินอยู่ไกลเกินไป เขาตะโกนเสียงดังเหมือนสมัยก่อนไม่ไหวอีกแล้ว
เขารีบหันหน้าไปแล้วพูดกับยามด้านข้างด้วยความโมโห
“ไปเอาโทรโข่งของฉันมาเร็ว!
“จริงๆ เลย ทำไมไม่หัดฉลาดไว้บ้าง!”
ยามตอบด้วยความรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก
“โทรโข่งปู่ถ่านหมดไปตั้งนานแล้ว ตอนนี้ยังหาถ่านรุ่นเดียวกันมาใส่ไม่ได้
“ผม… ผมช่วยปู่ตะโกนละกัน…”
เถียนเอ้อร์เหอคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะพูด
“ตะโกนไปว่า หนูไป๋ หนึ่งปีมานี้หายหัวไปไหนมา ยังคิดว่าเธอโดนสัตว์ป่าเขมือบไปแล้วซะอีก!”
“หนูไป๋…” ยามคนนั้นพลันนึกได้ “ใช่ไป๋เฉินที่ก่อนหน้านี้เคยมาบ่อยๆ หรือเปล่า”
“ไม่ใช่เธอแล้วยังจะเป็นใครได้อีก ฉันปาไปเจ็ดสิบกว่าแล้ว สายตาก็แย่ลงๆ ยังจำยายหนูนั่นได้เลย แกเพิ่งจะยี่สิบกว่าเอง ทำไมถึงตาถั่วแบบนี้” เถียนเอ้อร์เหอถลึงตามองยามพร้อมด่าไปสองสามคำ
ทุกคนในนิคมต่างก็เคยชินกับความเจ้าอารมณ์ของเถียนเอ้อร์เหอ จึงไม่ได้ใส่ใจกับการถูกด่าเพียงแค่สองสามคำนี้
“เธอดูดีขึ้นเยอะเลย… ถ้าไม่มองดีๆ นี่ผมจำไม่ได้เลยนะ…”
ยามคนนั้นรีบอ้าปากตะโกนออกไปก่อนจะถูกเถียนเอ้อร์เหอถลึงตาใส่อีก
“หนูไป๋ หนึ่งปีมานี้หายหัวไปไหนมา ยังคิดว่าเธอโดนสัตว์ป่าเขมือบไปแล้วซะอีก!”
ไป๋เฉินสีหน้าอ่อนโยนอย่างไม่รู้ตัว ตะโกนตอบเสียงดังกลับไปทันที
“ไปที่อื่นมาน่ะ
“เจ้าเมือง ฉันเอาของมาแลก!”
สถานที่แห่งนี้มีชื่อว่า ‘เมืองน้ำล้อม’ ไป๋เฉินเคยได้ยินเถียนเอ้อร์เหอเล่าว่าชื่อของเมืองนี้มีมาตั้งแต่ก่อนโลกเก่าจะถูกทำลายเสียอีก ที่ตั้งชื่อแบบนี้ก็เพราะว่าเมืองมีน้ำล้อมรอบอยู่ทั้งสี่ด้าน
หลังการล่มสลายของโลกเก่า สงครามอันยาวนาน และภัยพิบัติทางธรณีวิทยาหลายครั้ง สายน้ำในบริเวณใกล้เคียงจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของบึงใหญ่ และกลายเป็นปราการป้องกันตามธรรมชาติสำหรับเมืองน้ำล้อม ที่สามารถปกปิดซุกซ่อนเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มีเพียงชาวเมืองน้ำล้อมและแขกรับเชิญเท่านั้นถึงจะรู้เส้นทางที่เสมือนถูกปกคลุมไว้ด้วยโคลนเลนในบึงใหญ่ และเข้ามาถึงสถานที่ที่มีสภาพแวดล้อมดั่งเขาวงกตเช่นนี้
เมื่อเทียบกับนิคมอื่นๆ ที่ต้องอพยพบ่อยครั้ง เมืองน้ำล้อมซึ่งมีแหล่งน้ำสะอาดและพื้นที่เพาะปลูกจำนวนมาก กลับตั้งอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ครั้งที่โลกเก่าล่มสลายแล้ว
เถียนเอ้อร์เหออยากจะตะโกนสักสองคำ แต่เกิดระคายคอก่อนจะได้พูด จึงได้แต่ไอออกมาสองครั้ง
“เข้ามาสิ เข้ามา” เขาโบกมืออย่างขัดใจ
ยามด้านข้างรีบตะโกนทันที
“เข้ามาสิ! เข้ามา!
“ส่งปืนให้คนที่ประตูด้วย!”
ผัวะ!
เถียนเอ้อร์เหอฟาดเขา
“ใครบอกให้แกเพิ่มประโยคสุดท้ายกัน
“หนูไป๋น่ะไว้ใจได้!”
“แต่เธอไม่ได้มานี่ตั้งปีนึงแล้วนะ” ยามแย้ง
เถียนเอ้อร์เหอเงียบไปสองวินาที ไม่ได้พูดอะไรออกมา แล้วหมุนกายเดินออกจากโครงไม้ไป
ไป๋เฉินก็ไม่ได้ขัดขืน เธอส่งปืนไรเฟิลที่สะพายหลัง ปืนพกที่เข็มขัด และมอเตอร์ไซค์ให้กับยามที่ประตู
ประตูเหล็กสีดำเปิดออกทันที
เถียนเอ้อร์เหอรออยู่ที่นั่นแล้ว มองไป๋เฉินหัวจรดเท้าสองสามรอบก่อนจะหัวเราะขึ้น
“ดูเหมือนช่วงนี้ดูไม่เลวนี่นา สมัยก่อนยังเป็นยายหนูเลอะโคลนมอมแมมอยู่เลย”
ไป๋เฉินหลับตาโดยสัญชาตญาณ
“มีทีมรับฉันเข้าไปน่ะ”
เถียนเอ้อร์เหอพยักหน้าครุ่นคิด
“ไม่เลว ไม่เลว”
เขาไม่ได้พูดเรื่องเดิมต่อ แล้วถามขึ้นอย่างไม่ได้จริงจัง
“แล้วหุ่นยนต์เธอล่ะ เจ้าตัวนั้นที่ชื่อ… ชื่อ 35 น่ะ”
ดวงตาไป๋เฉินหลุบลงเล็กน้อย หนึ่งวินาทีผ่านไปถึงได้ตอบกลับ
“พังแล้ว”
เถียนเอ้อร์เหอเงียบลงโดยพลัน
หลังจากนั้นไม่กี่วินาทีก็สูดหายใจยาว แล้วถามเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เธอจะแลกอะไรล่ะ”
“อะไหล่รถยนต์บางชิ้นน่ะ…” ไป๋เฉินตอบกลับด้วยอารมณ์ที่กลับมาเป็นปกติแล้ว
“ไม่ต้องบอก! ไม่ต้องบอกหรอกว่าจะเอาอะไร ถึงบอกมาฉันก็ไม่รู้จัก เดี๋ยวพาเธอไปดูแล้วก็เลือกเองละกัน” เถียนเอ้อร์เหอขัดไป๋เฉินอย่างยิ้มแย้ม
เขากลับหลังหันแล้วเดินนำไป๋เฉินเข้าไปในส่วนลึกของเมือง
เมืองนี้ไม่ได้ใหญ่มาก แตกต่างไปจากเมืองของโลกเก่าในความคิดของผู้คนอย่างสิ้นเชิง
ไป๋เฉินมองไปสุดสายตา สิ่งแรกที่มองเห็นคืออาคารสามชั้นที่อยู่ห่างกันสามหลัง อาคารไม่สูงนักแต่ว่าค่อนข้างยาวพอควร ในแต่ละชั้นมีห้องอยู่มากมาย
อาคารทั้งสามหลังนี้ไม่ได้สร้างยาวขนานกัน แต่เรียงตัวเป็นรูปสามเหลี่ยมกลับหัว[1]
เท่าที่ไป๋เฉินรู้ คนที่พักอยู่ในอาคารและมีห้องสุขาส่วนตัวนั้นล้วนแต่เป็นพวกยามเมืองกับคนในครอบครัว คนที่มีทักษะสำคัญก็ได้รับการจัดสรรห้องให้เช่นกัน อย่างเช่นคนที่ซ่อมปืนเป็น หรือคนที่เชี่ยวชาญด้านการเกษตรแบบโลกเก่า
ทั้งสองฝั่งของอาคารที่เรียงเป็นรูปสามเหลี่ยมมีห้องน้ำสาธารณะขนาดใหญ่อยู่สองห้อง แนวตั้งหนึ่ง แนวขวางหนึ่ง ด้านหน้ามีลานคอนกรีตขนาดไม่ใหญ่นัก ด้านนอกของลานคอนกรีตมีลานดินเล็กๆ สามลานเรียงกันเป็นแถวหน้ากระดาน
ฝั่งซ้ายขวาของลานคอนกรีตมีบ้านชั้นเดียวตั้งเรียงกันฝั่งละแถว อยู่ไม่ไกลจากกำแพงเมืองนัก เป็นที่อยู่ดั้งเดิมของประชากรเมืองน้ำล้อม ด้วยจำนวนประชากรของเมืองน้ำล้อมจึงทำให้ชาวเมืองส่วนใหญ่ต้องมีสมาชิกครอบครัวทำหน้าที่เป็นยาม ไม่เช่นนั้นแล้วคงจะมียามไม่เพียงพอสำหรับคอยดูแลเมือง
บนลานทั้งสี่แห่งนี้มีบ้านตั้งอย่างระเกะระกะอยู่เต็มไปหมด มีทั้งบ้านดิน บ้านอิฐ และเต็นท์
บ้านพวกนี้เป็นของพวกคนเร่ร่อนแดนร้างที่เมืองน้ำล้อมดูดซับไว้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา หรือไม่ก็เป็นชาวเมืองดั้งเดิมที่ละเมิดกฎระเบียบ
ตอนนี้ดวงอาทิตย์ยังคงลอยเหนือฟากฟ้า ยังอีกพักใหญ่กว่าจะถึงเวลาเย็น ชาวเมืองน้ำล้อมบางส่วนยังทำงานอยู่ที่ทุ่งนาด้านหลังเมือง บางส่วนก็จับเป็นกลุ่มเล็กๆ ออกไปล่าสัตว์ เหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่คอยดูแลอยู่ในเมือง
พวกเขาเดินออกมาจากบ้านที่ตั้งอย่างแออัด จ้องมองมาจากหลังกระจกหน้าต่าง สิ่งที่พวกเขามีเหมือนกันก็คือใบหน้าที่ไม่ค่อยสะอาดนัก ผมเผ้าแห้งเหลืองเป็นมันเยิ้ม เสื้อผ้าไม่เข้าชุดหรือไม่ก็ขนาดไม่พอดีตัว แต่ดวงตานั้นชีวิตชีวามากกว่าพวกคนเร่ร่อนแดนร้างที่อื่นๆ ที่ไป๋เฉินเคยได้พบพานมาก่อน
“เจ้าเมือง ช่วงนี้… เป็นไงบ้าง” ไป๋เฉินไม่สนใจสายตาจ้องมองของคนอื่น เธอถามด้วยคำถามที่ไม่ค่อยชินปาก
เถียนเอ้อร์เหอหัวเราะเยาะตัวเอง
“ยังพอไหวอยู่ แต่ยิ่งทีก็ยิ่งกลัวหนาว ดูสิ ยังไม่ถึงหน้าหนาวแต่ต้องใส่ซะหลายชั้นขนาดนี้แล้ว เฮ้อ ไม่รู้ว่าฉันจะรอดหน้าหนาวนี้ไปได้หรือเปล่า”
“ต้องได้อยู่แล้ว” ไป๋เฉินตอบอย่างหนักแน่นแต่น้ำเสียงกลับไม่ได้หนักแน่น
เธอเดินตามเถียนเอ้อร์เหอไปตามทางระหว่างบ้านสร้างไว้ระเกะระกะ มุ่งหน้าไปยังอาคารสามชั้นที่เรียงเป็นรูปสามเหลี่ยมกลับหัว
“ไม่ต้องปลอบฉันหรอก” เถียนเอ้อร์เหอลูบคางที่มีตอหนวดสีขาว “ฉันอายุเข้าไปตั้งเจ็ดสิบแล้ว! คนที่เห็นโลกเก่าถูกทำลายต่อหน้าต่อตาแล้วยังมีชีวิตอยู่มาจนปูนนี้จะมีซักกี่คนเชียว อีกอย่างนะ พวกลูกๆ ฉันก็จากกันไปหมดแล้ว ต่อให้อยู่ต่อไปอีกหลายปีจนได้เจอกับโลกใหม่จริงๆ ก็แล้วไงล่ะ ไม่มีประโยชน์อะไรกับฉันอีกแล้ว เฮ้อ นี่ถ้าหนานหนานยังมีชีวิตอยู่ล่ะก็ น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับเธอนี่แหละ…”
“…อย่างน้อยก็รอจนได้เห็นโลกใหม่ก่อนเถอะ” ไป๋เฉินเงียบไปครู่หนึ่งก่อนตอบ
เธอกวาดสายตามองดูบ้านที่สร้างระเกะระกะรอบตัว มองเห็นว่าประตูและริมหน้าต่างกองไปด้วยขวดพลาสติก ขวดแก้ว ลังกระดาษเก่าๆ กระดุม ผ้าริ้ว ชิ้นส่วนที่เอามาจากไหนก็ไม่รู้ สายไฟที่มีทั้งเส้นยาวทั้งเส้นสั้น ฝาขวดโลหะ จอยแพ็ดเล่นเกมที่บางปุ่มหายไป ตู้กระจกแตก ปลอกกระสุน กล้องเล็งติดปืน กรอบแว่นตาขึ้นสนิม และอีกสารพัด ดูแล้วเหมือนเป็นกองขยะหรือไม่ก็สถานีรีไซเคิล
เถียนเอ้อร์เหอหัวเราะแล้วถอนใจ
“โลกใหม่… ใครจะรู้ว่ามันอยู่ที่ไหน…
“คนหนุ่มสาวเชื่อเรื่องนี้ได้ อย่างน้อยมันก็เป็นความหวัง ส่วนตาแก่อย่างฉันเนี่ย ช่างมันเถอะ”
* * * * *
[1] รูปสามเหลี่ยมกลับหัว ต้นฉบับใช้คำว่า “เรียงเป็นตัวอักษร 品 กลับหัว”
Comments