ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 31 ขุนศึกองอาจขนานแท้

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 31 ขุนศึกองอาจขนานแท้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 31 ขุนศึกองอาจขนานแท้

หยวนกังยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น วางท่าชัดเจนว่าพวกเจ้าจะคนไหนก็เข้ามาได้เลย

หนิวโหย่วเต้าเองก็เอ็ดขึ้นมาว่า “เจ้าลิง อย่าก่อเรื่อง กลับมา นี่มิใช่สถานที่ที่เจ้าจะมาเที่ยวเล่นสนุกได้!”

“ข้ามิได้เล่นสนุก หากข้าแพ้จะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่ท่านอ๋องเลย” หยวนกังให้คำมั่น

ซางเฉาจงได้ฟังก็ลอบปรีดา อยากจะรับตัวหยวนกังเข้ามาอยู่ในกองทหารของตน เมื่อดูจากสิ่งที่ได้เห็นได้ยินมาในป่าทางหมู่บ้านเสี่ยวเมี่ยวแห่งนั้น การที่เขาสามารถนำกลุ่มชาวบ้านต่อต้านการปล้นชิงของทหารทรามได้ นั่นก็เพียงพอที่จะยืนยันแล้วว่าคนผู้นี้มีทักษะบัญชาการทัพออกศึกในระดับหนึ่งเลยทีเดียว

จากนั้นหยวนกังก็หันไปหาเฉินซู่หลินที่อยู่ตรงกันข้าม พยักเพยิดหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “แล้วถ้าเจ้าแพ้จะทำอย่างไร?”

เฉินซู่หลินก็เอ่ยว่า “ถ้าข้าแพ้ก็แล้วแต่เจ้าจะจัดการเช่นกัน!”

หยวนกังเอ่ยอย่างเฉยชา “เจ้าเป็นทหารของท่านอ๋อง คำพูดเจ้านับได้ด้วยหรือ?”

“….” เฉินซู่หลินถูกตอกกลับมาจนพูดไม่ออก อดไม่ได้ที่จะมองไปทางซางเฉาจงเพื่อขอความช่วยเหลือ

ซางเฉาจงหัวเราะฮ่าๆ พลางกล่าว “อนุญาต!”

หยวนกังเอียงคอมองเขา “กระหม่อมไม่ได้อยากล่วงเกินใคร เพียงแต่การเดินทางครั้งนี้ยากลำบาก จึงอยากได้คนวิ่งเต้นทำธุระเล็กน้อยแทนสักคน หากกระหม่อมชนะ ท่านอ๋องได้โปรดอนุญาตให้กระหม่อมเลือกคนไว้ใช้สอยได้ตามใจชอบแทนก็พอ มิทราบว่าท่านอ๋องคิดเห็นประการใด?”

ซางเฉาจงโบกมือพลางเอ่ยว่า “อนุญาต!”

หนิวโหย่วเต้าตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าลิง หยุดก่อเรื่อง!”

แต่คำพูดของเขาคล้ายจะไม่มีประโยชน์อันใด เหล่าองครักษ์ไหนเลยจะฟังเขา กระทั่งหยวนกังก็ยังเมินเฉย คนที่เหลือยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

มีการพนันขันแข่งบ้างก็คล้ายเป็นเรื่องดี ทุกคนล้วนกระฉับกระเฉงขึ้นมา การเดินทางไกลนั้นน่าเบื่อไร้รสชาติ เวลานี้อย่างน้อยก็มีเรื่องครื้นเครงให้ชม จึงพากันแหวกทางออกไปซ้ายขวา เปิดเป็นพื้นที่โล่งให้ ม้าสองตัวถูกจูงมาหยุดอยู่ตรงหน้าคนทั้งสอง นอกจากนี้ยังมีดาบง้าวอันเป็นอาวุธติดตัวขององครักษ์ให้ด้วย

เฉินซู่หลินพลิกตัวขึ้นม้า รับดาบง้าวที่ถูกโยนเข้ามา กุมบังเหียนควบม้าทะยานออกไปไกล จากนั้นหยุดลงพลางหันกลับมามองทางนี้

ทว่าหนิวโหย่วเต้ากลับไม่ได้ถอยออกไป กระทั่งคนที่ส่งม้ามอบดาบถอยออกไปแล้ว เขากลับก้าวเข้าไปตำหนิหยวนกังว่า “เจ้าก่อเรื่องอันใดของเจ้า!” จากนั้นก็ลดเสียงกระซิบอีกประโยคว่า “นายไหวไหม? อย่าฝืนทำอวดดีล่ะ!”

หยวนกังลดเสียงกระซิบตอบไป “ผมต่อสู้กับพวกทหารทรามที่หมู่บ้านมาหลายปี คุณเดาถูกแล้ว ความก้าวหน้าในการฝึกฝนปราณเสริมแกร่งในโลกนี้รวดเร็วจนยากจะจินตนาการได้จริงๆ!”

พอได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ หนิวโหย่วเต้าจึงวางใจ มีความมั่นใจก็ดี จากนั้นแสร้งทำเป็นด่าทอหยวนกังอีกยกหนึ่ง แต่ด่าไปก็ไร้ประโยชน์ สุดท้ายจึงสะบัดแขนเสื้อหันหลังจากไป ไปรอชมอยู่ด้านข้างกับพวกซางเฉาจง

ไกลออกไป เฉินซู่หลินโอ้อวดข่มขวัญ กวัดแกว่งดาบง้าวในมือแสดงกริยายั่วยุท้าทายต่างๆ นาๆ มาทางด้านนี้

หยวนกังมองแวบหนึ่ง โยนบังเหียนกลับไปบนอานม้า ตบบั้นท้ายม้าศึกด้วยดาบง้าวในมือ ม้าศึกหวีดร้องด้วยความเจ็บปวด วิ่งเตลิดออกไปด้านข้าง ถูกองครักษ์ที่อยู่บริเวณนั้นหยุดไว้

ผู้ชมที่อยู่สองฝั่งตื่นตะลึง เฉินซู่หลินที่โอ้อวดข่มขวัญอยู่อีกด้านหนึ่งก็ตะลึงงันเช่นกัน ไม่รู้ว่าหยวนกังทำเช่นนี้หมายความว่ากระไร

ทว่าการกระทำต่อมาของหยวนกังยิ่งทำให้ผู้คนประหลาดใจ พวกเขามองเห็นหยวนกังกวัดแกว่งดาบอย่างส่งๆ แล้วโยนออกไปด้านข้าง

ฟ้าว! ดาบง้าวบินมา เสียบลงบนพื้นเบื้องหน้าซางเฉาจง

เหล่าทหารอดมองหน้ากันไม่ได้ นี่มันเรื่องอะไรกัน หรือคิดจะสู้กับเฉินซู่หลินที่ควบม้าอยู่ด้วยมือเปล่า? หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อเปรียบเทียบกันในด้านพละกำลังแล้วจะต้องเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวงแน่นอน พลังปะทะของม้าศึกนั้นมากมายมหาศาล หากถูกม้าศึกพุ่งชนถ้าไม่ตายก็ต้องพิการ หากคนที่อยู่บนหลังม้าฉวยโอกาสฟันดาบใส่ก็ยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก!

ซางเฉาจงจ้องมองทุกอากัปกริยาของหยวนกังด้วยแววตาเป็นประกาย เขามองเห็นความสุขุมเยือกเย็นก่อนออกศึกจากตัวหยวนกัง มีท่วงท่าลักษณะของแม่ทัพใหญ่ ภายในใจยิ่งทวีความชื่นชม

หนิวโหย่วเต้ายันกระบี่ต่างไม้เท้า สีหน้าสงบเยือกเย็น ทว่าในแววตาเผยความรู้สึกสนใจออกมานิดๆ เขาเองก็อยากเห็นเช่นกันว่าพลังในปัจจุบันของหยวนกังเป็นเช่นใด

ท่ามกลางการจับจ้องของเหล่าทหาร จู่ๆ หยวนกังพลันยกแขนข้างหนึ่งขึ้น กำหมัดยกนิ้วโป้งข้างหนึ่งชูให้เฉินซู่หลิน จากนั้นคว่ำมือลง นิ้วโป้งชี้ลงเบื้องล่าง

มาตรว่าในที่แห่งนี้จะมีเพียงหนิวโหย่วเต้าที่ทราบว่าท่าทางนี้มีความหมายว่าอย่างไร แต่ทุกคนล้วนมิใช่คนโง่ ต่างเดาได้ว่านี่คือสัญญาณมือยั่วยุอย่างหนึ่งที่มองไม่เข้าใจ

เฉินซู่หลินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเผยรอยยิ้มเยียบเย็น ทว่าในใจกลับมีเปลวไฟลุกท่วม กล้ามาท้าทายด้วยมือเปล่า มันจะดูถูกพวกข้าเกินไปหน่อยแล้ว!

“ไป!” เฉินซู่หลินหวดดาบง้าวไปที่บั้นท้ายม้า สองเท้ากระทุ้งสีข้างม้า ม้าศึกที่เขาขี่อยู่พลันกางสี่เท้าห้อเหยียด ดินโคลนและวัชพืชใต้กีบเท้าทั้งสี่ปลิวกระจาย ทั้งคนและม้าพุ่งเข้ามาดั่งลมพายุ

หยวนกังที่ลดแขนลงยืนนิ่งดุจขุนเขา ขาทั้งสองข้างแยกกางออก สองแขนที่ห้อยลู่ลงตามธรรมชาติค่อยๆ กำแน่นเป็นหมัด เสียงดังกรอบแกรบดังแว่วออกมาจากกระดูกภายในร่าง สองตาจ้องมองม้าศึกที่พุ่งเข้ามา ทันใดนั้นกระโจนออกไปราวเสือดาว พุ่งเข้าประจันกับม้าศึกตรงๆ!

ผู้คนมากมายสูดหายใจด้วยความตกตะลึง ลอบคิดว่าคนผู้นี้บ้าไปแล้วหรือ?

ขณะที่คนกับม้ากำลังจะปะทะกัน เฉินซู่หลินที่ควบม้าเข้ามาก็วาดดาบออกไปด้วยมือข้างเดียว ขณะเดียวกันก็พลิกสลับด้านดาบในมือ จากคมดาบเปลี่ยนเป็นสันดาบ สะบั้นดาบฟันเข้าใส่หยวนกังที่พุ่งเข้ามา เขาทำเช่นนี้นับว่าเป็นการออมมือให้ ตัวเขาที่ติดตามท่านอ๋องมานานย่อมมองออกว่าท่านอ๋องชื่นชมคนผู้นี้ อีกทั้งการประลองเช่นนี้ก็มิใช่การสังหารคน ดังนั้นจึงซ่อนคมดาบไว้ในทันใด เพียงใช้สันดาบสั่งสอนก็พอ!

หยวนกังแสร้งเคลื่อนไหวลวงศัตรู ล่อให้เฉินซู่หลินเหวี่ยงดาบฟันเข้าทางขวา จากนั้นจู่ๆ หยวนกังก็อาศัยแรงจากการพุ่ง ไถลตัวเลียดพื้นไปทางด้านซ้าย หลบหลีกดาบของเฉินซู่หลินที่ฟันลงมา ตัวคนแทบจะแนบติดไปกับกีบเท้าม้าที่กระโจนสวนเข้ามา ทันใดนั้นเขาพลันเหวี่ยงมือออกไป ฝ่ามือคว้าจับกีบเท้าหน้าซ้ายของม้าเอาไว้

“ฮี้…” ม้าศึกหวีดร้อง คล้ายถูกเชือกพันขาเอาไว้ พลิกคว่ำในทันที กลิ้งตลบลงไปบนพื้น

เฉินซู่หลินที่อยู่บนหลังม้าถูกเหวี่ยงกระเด็นออกไป “อา!” เหล่าองครักษ์ที่อยู่สองฝั่งพากันอุทานออกมา

เฉินซู่หลินหล่นลงบนพื้นกลิ้งหลุนๆ ไม่หยุด หยวนกังที่ไถลตัวไปบนพื้นอาศัยแรงฉุดดึงจากกีบเท้าม้าหยุดตัวลงแล้วดันตัวเองลุกขึ้นมา จากนั้นพุ่งตัวกลับไปด้านหลังอีกครั้ง ไล่ตามเฉินซู่หลินที่กลิ้งหลุนๆ ไป

ตัวเฉินซู่หลินที่ต่อสู้กรำศึกบนหลังม้ามาอย่างยาวนานก็นับว่าผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน ทราบดีว่าหลังตกจากม้าต้องป้องกันตัวอย่างไร อาศัยการกลิ้งไถลลดแรงกระแทก ขณะที่เขาเพิ่งจะฉวยจังหวะลุกขึ้นยืน ยังไม่ทันยืนให้มั่นคง เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนด้วยความตกใจของเหล่าพวกพ้องแว่วเข้ามา “ระวัง!”

เขาเพิ่งหันไปมอง ยังไม่ทันได้ตั้งตัว หยวนกังที่พุ่งเข้ามาก็กระโดดยกเท้า ถีบเข้าที่หลังเฉินซู่หลินดังพลั่ก

เฉินซู่หลินกระเด็นออกไปอีกครั้ง ปลิวออกไปไกลสองจั้ง ร่วงตกลงบนพื้น ดาบง้าวในมือก็หลุดลอยออกไปเช่นกัน

หยวนกังรีบพุ่งตามเข้ามา ปลายเท้าตวัดไปบนพื้นทีหนึ่ง ช้อนดาบง้าวของเฉินซู่หลินที่ร่วงอยู่บนพื้นขึ้นมา คว้าดาบไว้ในมือ พุ่งเข้าใส่เฉินซู่หลินที่ยังกลิ้งไม่หยุด

ซางเฉาจงเห็นสถานการณ์เช่นนี้พลันตะโกนด้วยความร้อนรน “ไว้ไมตรีด้วย!”

ล้มต่อเนื่องกันถึงสองหน ซ้ำยังถูกถีบอย่างหนักหน่วงอีกคราหนึ่ง เฉินซู่หลินมึนงงไปหมดแล้ว จมูกและปากมีเลือดไหลซึมออกมา ขณะที่เขาสะบัดศีรษะไปมาและพยายามจะลุกขึ้นยืน เขาพลันพบว่าบนลำคอเย็นวาบ ก่อนจะมองเห็นเงาคนสองร่างวูบไหวไปมาอยู่ตรงหน้า ความจริงแล้วนี่คืออาการตาลาย มีแค่หยวนกังเพียงคนเดียว ถือดาบมือเดียวจ่อเขาไว้ ปลายดาบจ่ออยู่บนลำคอของเขา!

“เฮือก…” เฉินซู่หลินพ่นลมหายใจออกมา กางแขนขาออกเต็มที่ นอนแผ่หลาบนพื้นด้วยรอยยิ้มขมขื่น

หยวนกังชักดาบออกไป สะบัดมือปักดาบง้าวไว้บนพื้น หันหลังก้าวออกไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ร่างกายสูงใหญ่กำยำ ก้าวย่างมั่นคง ท่าทางสงบนิ่ง สายตาตกตะลึงจากรอบข้างไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อเขาเลย

หนิวโหย่วเต้าที่ยืนค้ำ ‘ไม้เท้า’ ยิ้มมุมปากนิดๆ พบว่าปราณเสริมแกร่งของเจ้าลิงในตอนนี้นั้นน่าทึ่งจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะกล้ายื่นมือไปดึงเท้าม้าที่กำลังวิ่งห้ออยู่

“ขุนศึกองอาจขนานแท้!” ซางเฉาจงพึมพำกับตัวเอง แววตาที่มองหยวนกังไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีความชื่นชมมากแค่ไหน คล้ายมองเห็นสาวงามสะคราญโฉมก็มิปาน ด้วยสายตาของเขาทำให้เขามองออกว่าคนแบบไหนยืนในสนามรบแล้วจะสำแดงแสนยานุภาพเช่นใดออกมา เวลาที่อยู่ในสนามรบมิได้มีแค่เพียงพลังรบเท่านั้นที่สำคัญ แต่ความสุขุมเยือกเย็นและความสามารถในการพลิกแพลงไปตามสถานการณ์เองก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากเช่นกัน

กวนเถี่ยที่อยู่ด้านข้างหันเหลือบมองไปทางท่านอ๋อง มองออกว่าความประทับใจที่ท่านอ๋องมีต่อหยวนกังนั้นมิธรรมดา จึงอดไม่ได้ที่จะลอบยิ้มขื่นกับตัวเอง

ซางซูชิงและหลานรั่วถิงอดสบตากันอีกครั้งไม่ได้ ทั้งสองย่อมทราบดีเช่นกันว่าการได้ยอดแม่ทัพมาคนหนึ่งมันหมายถึงสิ่งใด ในสนามรบยามที่กองทัพทั้งสองห้ำหั่นกัน การได้ยอดแม่ทัพมาสักคนหนึ่งนั้นมีประโยชน์กว่าฝ่าซือคุ้มกันคนหนึ่งมากนัก ฝ่าซือนั้นขอเพียงมีเงินมีอำนาจย่อมสามารถดึงดูดมาได้ แต่ยอดแม่ทัพเป็นสิ่งที่พบพานได้แต่ไม่อาจร้องขอมาได้ หากอยู่ในมือผู้อื่น เขาย่อมไม่มีทางยกให้เจ้า!

องครักษ์สองฝั่งซ้ายขวามองหยวนกังที่เดินเข้ามาพลางลอบเดาะลิ้น ปะทะกับอาชาที่วิ่งทะยานเข้ามาด้วยมือเปล่า หากเป็นคนทั่วไปเกรงว่าคงถูกเท้าม้าบดขยี้จนเลือดเนื้อแหลกเหลวไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าคนผู้นี้จะรั้งม้าให้ล้มได้ พละกำลังเช่นนี้ช่างน่าตกตะลึงนัก!

ก่อนหน้านี้คนมากมายยังนึกขุ่นเคืองในคำพูดหยวนกังอยู่ ตอนนี้คลายโทสะลงไปไม่น้อยแล้ว มิใช่เพราะอื่นใด แต่เป็นเพราะเขามีคุณสมบัติที่จะพูดจาโอ้อวดเช่นนั้นจริงๆ บางทีเขาอาจจะไม่รู้จักผลงานการรบของกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญก็เป็นได้!

คนกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้าไป มีคนจูงม้าที่สะดุดล้มคว่ำออกไปตรวจดูว่าบาดเจ็บหรือไม่ เพื่อที่จะได้รักษาได้ทันการ เพราะว่าในยุคสมัยที่มีสงครามวุ่นวายเช่นนี้ ม้าคือทรัพยากรที่มีความสำคัญอย่างมาก แล้วก็มีคนมาพยุงเฉินซู่หลินที่ล้มแผ่บนพื้นขึ้นมา ประคองแขนซ้ายขวาพยุงออกไป

หยวนกังเดินเข้ามา สบตาซางเฉาจงที่อยู่ตรงกันข้ามแวบหนึ่ง เมินเฉยต่อแววตาเร่าร้อนของซางเฉาจง เดินไปอยู่ด้านหลังหนิวโหย่วเต้าอย่างเงียบๆ

กลับเป็นหนิวโหย่วเต้าที่หัวเราะแหะๆ เอ่ยกับซางเฉาจงว่า “แค่ประลองกันเท่านั้น ท่านอ๋องอย่าเก็บไปใส่ใจเลย เรื่องเดิมพันก็แล้วไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ซางเฉาจงถูกเตือนสติขึ้นมา จ้องหยวนกังพลางเอ่ยว่า “ข้าพูดคำไหนคำนั้น จากองครักษ์ทั้งหมดห้าร้อยนาย น้องหยวนต้องการผู้ใดไว้วิ่งเต้นใช้สอยก็ว่ามาได้เลย!”

หยวนกังเอ่ยอย่างเฉยเมย “ถึงเวลาแล้วค่อยว่ากันพ่ะย่ะค่ะ!”

“เหลวไหล!” หนิวโหย่วเต้าหันไปตำหนิคราหนึ่ง จากนั้นหันมาเอ่ยกับซางเฉาจงด้วยรอยยิ้ม “ท่านอ๋อง พวกพระองค์มีงานยุ่ง พวกกระหม่อมไม่รบกวนแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เขาประสานมือคำนับ พาหยวนกังเดินวางท่าจากไป ดึงดูดสายตาสนใจจากเหล่าทหาร

ซางเฉาจงที่มองตามพลันอดถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกเสียดายไม่ได้ “ขุนศึกองอาจเช่นนี้ ไม่ลงสนามรบสร้างชื่อไปทั่วหล้า กลับไปติดตามรับใช้อยู่ข้างกายเขา เสียของจริงๆ น่าเสียดายยิ่งนัก!” เขาอยากจะนำคนกลุ่มหนึ่งไปแลกตัวหยวนกังมาจากหนิวโหย่วเต้าจริงๆ จนปัญญาที่ตอนนี้ในมือเขาไม่มีหลักทรัพย์อันใดจะไปใช้ต่อรองกับหนิวโหย่วเต้าได้เลย อีกทั้งอีกฝ่ายก็รังเกียจเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ซางซูชิงและหลานรั่วถิงต่างถอนหายใจเบาๆ เข้าใจความรู้สึกของซางเฉาจง ตอนนี้ซางเฉาจงขาดกำลังทหารและแม่ทัพนำศึกอยู่ แน่นอนว่าขาดแคลนฝ่าซืออยู่เช่นกัน และมิใช่แค่ฝ่าซือเท่านั้น ไม่ว่าอะไรก็ขาดแคลนทั้งสิ้น จนใจที่ทางฝั่งนี้มองออกแล้ว เกรงว่าหนิวโหย่วเต้าคงตัดสินใจแล้วว่าจะไป แค่ไม่รู้ว่าจะขอตัวอำลาไปตอนไหนก็เท่านั้น!

สองวันต่อมา แพไม้จำนวนมากถูกต่อเสร็จเรียบร้อย ทางฝั่งนี้จะส่งคนขึ้นแพเล็กข้ามฝั่งไปก่อน ไปแจ้งเรื่องต่อทหารของจังหวัดกว่างอี้ เลี่ยงไม่ให้ฝั่งนั้นเกิดความเข้าใจผิด

เมื่อได้รับอนุญาตจากทหารรักษาการณ์ฝั่งตรงข้ามแล้ว ทางนี้ถึงได้ปิดตาม้าศึกทั้งหมด จูงขึ้นแพไม้ แบ่งกลุ่มล่องแพข้ามฝั่งไป

…………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 31 ขุนศึกองอาจขนานแท้

Now you are reading ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า Chapter 31 ขุนศึกองอาจขนานแท้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 31 ขุนศึกองอาจขนานแท้

หยวนกังยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น วางท่าชัดเจนว่าพวกเจ้าจะคนไหนก็เข้ามาได้เลย

หนิวโหย่วเต้าเองก็เอ็ดขึ้นมาว่า “เจ้าลิง อย่าก่อเรื่อง กลับมา นี่มิใช่สถานที่ที่เจ้าจะมาเที่ยวเล่นสนุกได้!”

“ข้ามิได้เล่นสนุก หากข้าแพ้จะจัดการอย่างไรก็แล้วแต่ท่านอ๋องเลย” หยวนกังให้คำมั่น

ซางเฉาจงได้ฟังก็ลอบปรีดา อยากจะรับตัวหยวนกังเข้ามาอยู่ในกองทหารของตน เมื่อดูจากสิ่งที่ได้เห็นได้ยินมาในป่าทางหมู่บ้านเสี่ยวเมี่ยวแห่งนั้น การที่เขาสามารถนำกลุ่มชาวบ้านต่อต้านการปล้นชิงของทหารทรามได้ นั่นก็เพียงพอที่จะยืนยันแล้วว่าคนผู้นี้มีทักษะบัญชาการทัพออกศึกในระดับหนึ่งเลยทีเดียว

จากนั้นหยวนกังก็หันไปหาเฉินซู่หลินที่อยู่ตรงกันข้าม พยักเพยิดหน้าเล็กน้อยแล้วกล่าวว่า “แล้วถ้าเจ้าแพ้จะทำอย่างไร?”

เฉินซู่หลินก็เอ่ยว่า “ถ้าข้าแพ้ก็แล้วแต่เจ้าจะจัดการเช่นกัน!”

หยวนกังเอ่ยอย่างเฉยชา “เจ้าเป็นทหารของท่านอ๋อง คำพูดเจ้านับได้ด้วยหรือ?”

“….” เฉินซู่หลินถูกตอกกลับมาจนพูดไม่ออก อดไม่ได้ที่จะมองไปทางซางเฉาจงเพื่อขอความช่วยเหลือ

ซางเฉาจงหัวเราะฮ่าๆ พลางกล่าว “อนุญาต!”

หยวนกังเอียงคอมองเขา “กระหม่อมไม่ได้อยากล่วงเกินใคร เพียงแต่การเดินทางครั้งนี้ยากลำบาก จึงอยากได้คนวิ่งเต้นทำธุระเล็กน้อยแทนสักคน หากกระหม่อมชนะ ท่านอ๋องได้โปรดอนุญาตให้กระหม่อมเลือกคนไว้ใช้สอยได้ตามใจชอบแทนก็พอ มิทราบว่าท่านอ๋องคิดเห็นประการใด?”

ซางเฉาจงโบกมือพลางเอ่ยว่า “อนุญาต!”

หนิวโหย่วเต้าตะโกนขึ้นมาอีกครั้ง “เจ้าลิง หยุดก่อเรื่อง!”

แต่คำพูดของเขาคล้ายจะไม่มีประโยชน์อันใด เหล่าองครักษ์ไหนเลยจะฟังเขา กระทั่งหยวนกังก็ยังเมินเฉย คนที่เหลือยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

มีการพนันขันแข่งบ้างก็คล้ายเป็นเรื่องดี ทุกคนล้วนกระฉับกระเฉงขึ้นมา การเดินทางไกลนั้นน่าเบื่อไร้รสชาติ เวลานี้อย่างน้อยก็มีเรื่องครื้นเครงให้ชม จึงพากันแหวกทางออกไปซ้ายขวา เปิดเป็นพื้นที่โล่งให้ ม้าสองตัวถูกจูงมาหยุดอยู่ตรงหน้าคนทั้งสอง นอกจากนี้ยังมีดาบง้าวอันเป็นอาวุธติดตัวขององครักษ์ให้ด้วย

เฉินซู่หลินพลิกตัวขึ้นม้า รับดาบง้าวที่ถูกโยนเข้ามา กุมบังเหียนควบม้าทะยานออกไปไกล จากนั้นหยุดลงพลางหันกลับมามองทางนี้

ทว่าหนิวโหย่วเต้ากลับไม่ได้ถอยออกไป กระทั่งคนที่ส่งม้ามอบดาบถอยออกไปแล้ว เขากลับก้าวเข้าไปตำหนิหยวนกังว่า “เจ้าก่อเรื่องอันใดของเจ้า!” จากนั้นก็ลดเสียงกระซิบอีกประโยคว่า “นายไหวไหม? อย่าฝืนทำอวดดีล่ะ!”

หยวนกังลดเสียงกระซิบตอบไป “ผมต่อสู้กับพวกทหารทรามที่หมู่บ้านมาหลายปี คุณเดาถูกแล้ว ความก้าวหน้าในการฝึกฝนปราณเสริมแกร่งในโลกนี้รวดเร็วจนยากจะจินตนาการได้จริงๆ!”

พอได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ หนิวโหย่วเต้าจึงวางใจ มีความมั่นใจก็ดี จากนั้นแสร้งทำเป็นด่าทอหยวนกังอีกยกหนึ่ง แต่ด่าไปก็ไร้ประโยชน์ สุดท้ายจึงสะบัดแขนเสื้อหันหลังจากไป ไปรอชมอยู่ด้านข้างกับพวกซางเฉาจง

ไกลออกไป เฉินซู่หลินโอ้อวดข่มขวัญ กวัดแกว่งดาบง้าวในมือแสดงกริยายั่วยุท้าทายต่างๆ นาๆ มาทางด้านนี้

หยวนกังมองแวบหนึ่ง โยนบังเหียนกลับไปบนอานม้า ตบบั้นท้ายม้าศึกด้วยดาบง้าวในมือ ม้าศึกหวีดร้องด้วยความเจ็บปวด วิ่งเตลิดออกไปด้านข้าง ถูกองครักษ์ที่อยู่บริเวณนั้นหยุดไว้

ผู้ชมที่อยู่สองฝั่งตื่นตะลึง เฉินซู่หลินที่โอ้อวดข่มขวัญอยู่อีกด้านหนึ่งก็ตะลึงงันเช่นกัน ไม่รู้ว่าหยวนกังทำเช่นนี้หมายความว่ากระไร

ทว่าการกระทำต่อมาของหยวนกังยิ่งทำให้ผู้คนประหลาดใจ พวกเขามองเห็นหยวนกังกวัดแกว่งดาบอย่างส่งๆ แล้วโยนออกไปด้านข้าง

ฟ้าว! ดาบง้าวบินมา เสียบลงบนพื้นเบื้องหน้าซางเฉาจง

เหล่าทหารอดมองหน้ากันไม่ได้ นี่มันเรื่องอะไรกัน หรือคิดจะสู้กับเฉินซู่หลินที่ควบม้าอยู่ด้วยมือเปล่า? หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เมื่อเปรียบเทียบกันในด้านพละกำลังแล้วจะต้องเสียเปรียบอย่างใหญ่หลวงแน่นอน พลังปะทะของม้าศึกนั้นมากมายมหาศาล หากถูกม้าศึกพุ่งชนถ้าไม่ตายก็ต้องพิการ หากคนที่อยู่บนหลังม้าฉวยโอกาสฟันดาบใส่ก็ยิ่งน่ากลัวขึ้นไปอีก!

ซางเฉาจงจ้องมองทุกอากัปกริยาของหยวนกังด้วยแววตาเป็นประกาย เขามองเห็นความสุขุมเยือกเย็นก่อนออกศึกจากตัวหยวนกัง มีท่วงท่าลักษณะของแม่ทัพใหญ่ ภายในใจยิ่งทวีความชื่นชม

หนิวโหย่วเต้ายันกระบี่ต่างไม้เท้า สีหน้าสงบเยือกเย็น ทว่าในแววตาเผยความรู้สึกสนใจออกมานิดๆ เขาเองก็อยากเห็นเช่นกันว่าพลังในปัจจุบันของหยวนกังเป็นเช่นใด

ท่ามกลางการจับจ้องของเหล่าทหาร จู่ๆ หยวนกังพลันยกแขนข้างหนึ่งขึ้น กำหมัดยกนิ้วโป้งข้างหนึ่งชูให้เฉินซู่หลิน จากนั้นคว่ำมือลง นิ้วโป้งชี้ลงเบื้องล่าง

มาตรว่าในที่แห่งนี้จะมีเพียงหนิวโหย่วเต้าที่ทราบว่าท่าทางนี้มีความหมายว่าอย่างไร แต่ทุกคนล้วนมิใช่คนโง่ ต่างเดาได้ว่านี่คือสัญญาณมือยั่วยุอย่างหนึ่งที่มองไม่เข้าใจ

เฉินซู่หลินที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเผยรอยยิ้มเยียบเย็น ทว่าในใจกลับมีเปลวไฟลุกท่วม กล้ามาท้าทายด้วยมือเปล่า มันจะดูถูกพวกข้าเกินไปหน่อยแล้ว!

“ไป!” เฉินซู่หลินหวดดาบง้าวไปที่บั้นท้ายม้า สองเท้ากระทุ้งสีข้างม้า ม้าศึกที่เขาขี่อยู่พลันกางสี่เท้าห้อเหยียด ดินโคลนและวัชพืชใต้กีบเท้าทั้งสี่ปลิวกระจาย ทั้งคนและม้าพุ่งเข้ามาดั่งลมพายุ

หยวนกังที่ลดแขนลงยืนนิ่งดุจขุนเขา ขาทั้งสองข้างแยกกางออก สองแขนที่ห้อยลู่ลงตามธรรมชาติค่อยๆ กำแน่นเป็นหมัด เสียงดังกรอบแกรบดังแว่วออกมาจากกระดูกภายในร่าง สองตาจ้องมองม้าศึกที่พุ่งเข้ามา ทันใดนั้นกระโจนออกไปราวเสือดาว พุ่งเข้าประจันกับม้าศึกตรงๆ!

ผู้คนมากมายสูดหายใจด้วยความตกตะลึง ลอบคิดว่าคนผู้นี้บ้าไปแล้วหรือ?

ขณะที่คนกับม้ากำลังจะปะทะกัน เฉินซู่หลินที่ควบม้าเข้ามาก็วาดดาบออกไปด้วยมือข้างเดียว ขณะเดียวกันก็พลิกสลับด้านดาบในมือ จากคมดาบเปลี่ยนเป็นสันดาบ สะบั้นดาบฟันเข้าใส่หยวนกังที่พุ่งเข้ามา เขาทำเช่นนี้นับว่าเป็นการออมมือให้ ตัวเขาที่ติดตามท่านอ๋องมานานย่อมมองออกว่าท่านอ๋องชื่นชมคนผู้นี้ อีกทั้งการประลองเช่นนี้ก็มิใช่การสังหารคน ดังนั้นจึงซ่อนคมดาบไว้ในทันใด เพียงใช้สันดาบสั่งสอนก็พอ!

หยวนกังแสร้งเคลื่อนไหวลวงศัตรู ล่อให้เฉินซู่หลินเหวี่ยงดาบฟันเข้าทางขวา จากนั้นจู่ๆ หยวนกังก็อาศัยแรงจากการพุ่ง ไถลตัวเลียดพื้นไปทางด้านซ้าย หลบหลีกดาบของเฉินซู่หลินที่ฟันลงมา ตัวคนแทบจะแนบติดไปกับกีบเท้าม้าที่กระโจนสวนเข้ามา ทันใดนั้นเขาพลันเหวี่ยงมือออกไป ฝ่ามือคว้าจับกีบเท้าหน้าซ้ายของม้าเอาไว้

“ฮี้…” ม้าศึกหวีดร้อง คล้ายถูกเชือกพันขาเอาไว้ พลิกคว่ำในทันที กลิ้งตลบลงไปบนพื้น

เฉินซู่หลินที่อยู่บนหลังม้าถูกเหวี่ยงกระเด็นออกไป “อา!” เหล่าองครักษ์ที่อยู่สองฝั่งพากันอุทานออกมา

เฉินซู่หลินหล่นลงบนพื้นกลิ้งหลุนๆ ไม่หยุด หยวนกังที่ไถลตัวไปบนพื้นอาศัยแรงฉุดดึงจากกีบเท้าม้าหยุดตัวลงแล้วดันตัวเองลุกขึ้นมา จากนั้นพุ่งตัวกลับไปด้านหลังอีกครั้ง ไล่ตามเฉินซู่หลินที่กลิ้งหลุนๆ ไป

ตัวเฉินซู่หลินที่ต่อสู้กรำศึกบนหลังม้ามาอย่างยาวนานก็นับว่าผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน ทราบดีว่าหลังตกจากม้าต้องป้องกันตัวอย่างไร อาศัยการกลิ้งไถลลดแรงกระแทก ขณะที่เขาเพิ่งจะฉวยจังหวะลุกขึ้นยืน ยังไม่ทันยืนให้มั่นคง เขาก็ได้ยินเสียงตะโกนด้วยความตกใจของเหล่าพวกพ้องแว่วเข้ามา “ระวัง!”

เขาเพิ่งหันไปมอง ยังไม่ทันได้ตั้งตัว หยวนกังที่พุ่งเข้ามาก็กระโดดยกเท้า ถีบเข้าที่หลังเฉินซู่หลินดังพลั่ก

เฉินซู่หลินกระเด็นออกไปอีกครั้ง ปลิวออกไปไกลสองจั้ง ร่วงตกลงบนพื้น ดาบง้าวในมือก็หลุดลอยออกไปเช่นกัน

หยวนกังรีบพุ่งตามเข้ามา ปลายเท้าตวัดไปบนพื้นทีหนึ่ง ช้อนดาบง้าวของเฉินซู่หลินที่ร่วงอยู่บนพื้นขึ้นมา คว้าดาบไว้ในมือ พุ่งเข้าใส่เฉินซู่หลินที่ยังกลิ้งไม่หยุด

ซางเฉาจงเห็นสถานการณ์เช่นนี้พลันตะโกนด้วยความร้อนรน “ไว้ไมตรีด้วย!”

ล้มต่อเนื่องกันถึงสองหน ซ้ำยังถูกถีบอย่างหนักหน่วงอีกคราหนึ่ง เฉินซู่หลินมึนงงไปหมดแล้ว จมูกและปากมีเลือดไหลซึมออกมา ขณะที่เขาสะบัดศีรษะไปมาและพยายามจะลุกขึ้นยืน เขาพลันพบว่าบนลำคอเย็นวาบ ก่อนจะมองเห็นเงาคนสองร่างวูบไหวไปมาอยู่ตรงหน้า ความจริงแล้วนี่คืออาการตาลาย มีแค่หยวนกังเพียงคนเดียว ถือดาบมือเดียวจ่อเขาไว้ ปลายดาบจ่ออยู่บนลำคอของเขา!

“เฮือก…” เฉินซู่หลินพ่นลมหายใจออกมา กางแขนขาออกเต็มที่ นอนแผ่หลาบนพื้นด้วยรอยยิ้มขมขื่น

หยวนกังชักดาบออกไป สะบัดมือปักดาบง้าวไว้บนพื้น หันหลังก้าวออกไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ร่างกายสูงใหญ่กำยำ ก้าวย่างมั่นคง ท่าทางสงบนิ่ง สายตาตกตะลึงจากรอบข้างไม่มีผลกระทบใดๆ ต่อเขาเลย

หนิวโหย่วเต้าที่ยืนค้ำ ‘ไม้เท้า’ ยิ้มมุมปากนิดๆ พบว่าปราณเสริมแกร่งของเจ้าลิงในตอนนี้นั้นน่าทึ่งจริงๆ คิดไม่ถึงว่าจะกล้ายื่นมือไปดึงเท้าม้าที่กำลังวิ่งห้ออยู่

“ขุนศึกองอาจขนานแท้!” ซางเฉาจงพึมพำกับตัวเอง แววตาที่มองหยวนกังไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามีความชื่นชมมากแค่ไหน คล้ายมองเห็นสาวงามสะคราญโฉมก็มิปาน ด้วยสายตาของเขาทำให้เขามองออกว่าคนแบบไหนยืนในสนามรบแล้วจะสำแดงแสนยานุภาพเช่นใดออกมา เวลาที่อยู่ในสนามรบมิได้มีแค่เพียงพลังรบเท่านั้นที่สำคัญ แต่ความสุขุมเยือกเย็นและความสามารถในการพลิกแพลงไปตามสถานการณ์เองก็เป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากเช่นกัน

กวนเถี่ยที่อยู่ด้านข้างหันเหลือบมองไปทางท่านอ๋อง มองออกว่าความประทับใจที่ท่านอ๋องมีต่อหยวนกังนั้นมิธรรมดา จึงอดไม่ได้ที่จะลอบยิ้มขื่นกับตัวเอง

ซางซูชิงและหลานรั่วถิงอดสบตากันอีกครั้งไม่ได้ ทั้งสองย่อมทราบดีเช่นกันว่าการได้ยอดแม่ทัพมาคนหนึ่งมันหมายถึงสิ่งใด ในสนามรบยามที่กองทัพทั้งสองห้ำหั่นกัน การได้ยอดแม่ทัพมาสักคนหนึ่งนั้นมีประโยชน์กว่าฝ่าซือคุ้มกันคนหนึ่งมากนัก ฝ่าซือนั้นขอเพียงมีเงินมีอำนาจย่อมสามารถดึงดูดมาได้ แต่ยอดแม่ทัพเป็นสิ่งที่พบพานได้แต่ไม่อาจร้องขอมาได้ หากอยู่ในมือผู้อื่น เขาย่อมไม่มีทางยกให้เจ้า!

องครักษ์สองฝั่งซ้ายขวามองหยวนกังที่เดินเข้ามาพลางลอบเดาะลิ้น ปะทะกับอาชาที่วิ่งทะยานเข้ามาด้วยมือเปล่า หากเป็นคนทั่วไปเกรงว่าคงถูกเท้าม้าบดขยี้จนเลือดเนื้อแหลกเหลวไปแล้ว ไม่น่าเชื่อว่าคนผู้นี้จะรั้งม้าให้ล้มได้ พละกำลังเช่นนี้ช่างน่าตกตะลึงนัก!

ก่อนหน้านี้คนมากมายยังนึกขุ่นเคืองในคำพูดหยวนกังอยู่ ตอนนี้คลายโทสะลงไปไม่น้อยแล้ว มิใช่เพราะอื่นใด แต่เป็นเพราะเขามีคุณสมบัติที่จะพูดจาโอ้อวดเช่นนั้นจริงๆ บางทีเขาอาจจะไม่รู้จักผลงานการรบของกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญก็เป็นได้!

คนกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้าไป มีคนจูงม้าที่สะดุดล้มคว่ำออกไปตรวจดูว่าบาดเจ็บหรือไม่ เพื่อที่จะได้รักษาได้ทันการ เพราะว่าในยุคสมัยที่มีสงครามวุ่นวายเช่นนี้ ม้าคือทรัพยากรที่มีความสำคัญอย่างมาก แล้วก็มีคนมาพยุงเฉินซู่หลินที่ล้มแผ่บนพื้นขึ้นมา ประคองแขนซ้ายขวาพยุงออกไป

หยวนกังเดินเข้ามา สบตาซางเฉาจงที่อยู่ตรงกันข้ามแวบหนึ่ง เมินเฉยต่อแววตาเร่าร้อนของซางเฉาจง เดินไปอยู่ด้านหลังหนิวโหย่วเต้าอย่างเงียบๆ

กลับเป็นหนิวโหย่วเต้าที่หัวเราะแหะๆ เอ่ยกับซางเฉาจงว่า “แค่ประลองกันเท่านั้น ท่านอ๋องอย่าเก็บไปใส่ใจเลย เรื่องเดิมพันก็แล้วไปเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

ซางเฉาจงถูกเตือนสติขึ้นมา จ้องหยวนกังพลางเอ่ยว่า “ข้าพูดคำไหนคำนั้น จากองครักษ์ทั้งหมดห้าร้อยนาย น้องหยวนต้องการผู้ใดไว้วิ่งเต้นใช้สอยก็ว่ามาได้เลย!”

หยวนกังเอ่ยอย่างเฉยเมย “ถึงเวลาแล้วค่อยว่ากันพ่ะย่ะค่ะ!”

“เหลวไหล!” หนิวโหย่วเต้าหันไปตำหนิคราหนึ่ง จากนั้นหันมาเอ่ยกับซางเฉาจงด้วยรอยยิ้ม “ท่านอ๋อง พวกพระองค์มีงานยุ่ง พวกกระหม่อมไม่รบกวนแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” เขาประสานมือคำนับ พาหยวนกังเดินวางท่าจากไป ดึงดูดสายตาสนใจจากเหล่าทหาร

ซางเฉาจงที่มองตามพลันอดถอนหายใจออกมาด้วยความรู้สึกเสียดายไม่ได้ “ขุนศึกองอาจเช่นนี้ ไม่ลงสนามรบสร้างชื่อไปทั่วหล้า กลับไปติดตามรับใช้อยู่ข้างกายเขา เสียของจริงๆ น่าเสียดายยิ่งนัก!” เขาอยากจะนำคนกลุ่มหนึ่งไปแลกตัวหยวนกังมาจากหนิวโหย่วเต้าจริงๆ จนปัญญาที่ตอนนี้ในมือเขาไม่มีหลักทรัพย์อันใดจะไปใช้ต่อรองกับหนิวโหย่วเต้าได้เลย อีกทั้งอีกฝ่ายก็รังเกียจเขาเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว

ซางซูชิงและหลานรั่วถิงต่างถอนหายใจเบาๆ เข้าใจความรู้สึกของซางเฉาจง ตอนนี้ซางเฉาจงขาดกำลังทหารและแม่ทัพนำศึกอยู่ แน่นอนว่าขาดแคลนฝ่าซืออยู่เช่นกัน และมิใช่แค่ฝ่าซือเท่านั้น ไม่ว่าอะไรก็ขาดแคลนทั้งสิ้น จนใจที่ทางฝั่งนี้มองออกแล้ว เกรงว่าหนิวโหย่วเต้าคงตัดสินใจแล้วว่าจะไป แค่ไม่รู้ว่าจะขอตัวอำลาไปตอนไหนก็เท่านั้น!

สองวันต่อมา แพไม้จำนวนมากถูกต่อเสร็จเรียบร้อย ทางฝั่งนี้จะส่งคนขึ้นแพเล็กข้ามฝั่งไปก่อน ไปแจ้งเรื่องต่อทหารของจังหวัดกว่างอี้ เลี่ยงไม่ให้ฝั่งนั้นเกิดความเข้าใจผิด

เมื่อได้รับอนุญาตจากทหารรักษาการณ์ฝั่งตรงข้ามแล้ว ทางนี้ถึงได้ปิดตาม้าศึกทั้งหมด จูงขึ้นแพไม้ แบ่งกลุ่มล่องแพข้ามฝั่งไป

…………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+