ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า 578 ตั้งครรภ์
ตอนที่ 578 ตั้งครรภ์
ฟังจากวาจาเขาแล้วเหมือนกลุ่มคนด้านนอกขวางประตูบ้านเขาเองก็มิปาน
อู๋ซินกล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นท่านพูดเอง ข้าไม่ได้บังคับท่านนะ หากว่าทำไม่ได้ แขนขาของท่านก็อาจจะรักษาไว้ไม่ได้เช่นกัน”
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งแสดงสีหน้าหวาดหวั่นเล้กน้อย รีบเอ่ยว่า “เมื่อพูดแล้วย่อมต้องทำให้ได้ ทำได้แน่นอน ท่านหมอโปรดวางใจ”
เขาคุ้นเคยกับข่าวลือของหมอผีดี ดูเหมือนหมอผีจะไม่มีอิทธิพลใด แต่คนที่มีทักษะการแพทย์ถึงระดับนั้น ย่อมมีอิทธิพลที่มองไม่เห็นอยู่ น่ากลัวยิ่งกว่ากลุ่มอิทธิพลที่มองเห็นได้เสียอีก อีกฝ่ายไม่มีทางเห็นท่านอ๋องอย่างเขาอยู่ในสายตาแน่นอน
อู๋ซินไม่พูดมากอีก หลังจากล้างมือเสร็จก็เข้าไปในศาลา สั่งกัวม่านไปหยิบเครื่องเขียนมาให้ ลงมือเขียนเทียบยาแผ่นหนึ่งด้วยตัวเองแล้วยื่นส่งให้เฮ่าอวิ๋นเซิ่ง “ขาของเจ้าบาดเจ็บเรื้อรังมานาน ไม่เหมาะจะทำการรักษาทันที ต้มยาตามเทียบนี้ แช่ขาเป็นเวลาสามวันก่อน แช่ทุกเช้าเย็นครั้งละหนึ่งชั่วยาม ปรับชีพจรและเส้นเลือดที่บาดเจ็บเรื้อรังให้ดีขึ้น อีกสามวันให้หลังเจ้าค่อยมาใหม่ ข้าจะตรวจอาการดูแล้วค่อยตัดสินใจเรื่องวิธีรักษา”
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งยื่นสองมือออกไปรับมาเสมือนได้รับสมบัติล้ำค่า พยักหน้าถี่ๆ “จะทำตามที่ท่านหมอสั่งแน่นอน”
ท่าทางนั้นดูจริงจังยิ่งกว่ารับราชโองการจากฮ่องเต้เสียอีก
“ส่งแขก!” พูดจบอู๋ซินก็หยิบตะเกียบขึ้นมากินข้าว
กัวม่านผายมือเชิญแขก เฮ่าอวิ๋นเซิ่งมองสำรับเรียบง่ายบนโต๊ะ เริ่มเอ่ยเอาใจขึ้นมา “สำรับอาหารจากร้านอาหารเช่นนี้ไม่คู่ควรกับท่านหมอเลย ต่อไปข้าจะให้คนคอยจัดเตรียมอาหารสำหรับท่านหมอโดยเฉพาะ ส่งมาให้ตรงตามเวลา”
อู๋ซินตอบสั้นๆ “ไม่จำเป็น”
เฮ่าอวิ๋นเซิ่งจึงทำได้เพียงล้มเลิกความตั้งใจไป แต่ยังคงส่งสัญญาณให้ผู้ติดตามข้างกาย หยิบตั๋วแลกทองปึกหนึ่งออกมา วางตั๋วแลกทองมูลค่าหนึ่งแสนเหรียญทองลงบนโต๊ะ “เป็นน้ำใจเล็กน้อย ขอท่านหมออย่าได้รังเกียจ”
สำหรับตั๋วแลกทองนี้ อู๋ซินกลับไม่ได้ปฏิเสธ กินอาหารของตนต่อไปอย่างไม่อนาทร
“เชิญ!” กัวม่านผายมือเชิญแขกอีกครั้ง
“ได้ๆๆ เชิญท่านหมอตามสบายเถิด ข้าไม่รบกวนแล้ว” เฮ่าอวิ๋นเซิ่งถอยหลังไปค้อมกายอำลา หลังออกจากประตูเรือนไปแล้วก็ไม่ลืมที่จะประสานมือกล่าวขอบคุณกัวม่าน
หลังจากกัวม่านกลับมาก็นั่งลงตรงข้ามอู๋ซินแล้วกินอาหารด้วยกัน
อู๋ซินชี้ตั๋วแลกทอง “เจ้าเก็บไว้สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายประจำวัน”
กัวม่านขาดแคลนเงิน อีกทั้งพอจะเข้าใจอุปนิสัยของอีกฝ่ายพอสมควรแล้ว สั่งอะไรก็ทำตามไป ไม่จำเป็นต้องเกรงใจ หยิบตั๋วแลกทองมา อดไม่ได้ที่กระแอมเล็กน้อย
ใจกว้างเหลือเกิน ยังไม่ทันแน่ใจเลยว่าจะรักษาให้หายได้หรือไม่ อีกทั้งไม่ได้บอกด้วยว่าเท่าไร อีกฝ่ายก็ควักเงินให้หนึ่งแสนเหรียญทองแล้ว เงินนี้ออกจะได้มาง่ายเกินไปหน่อยแล้ว ดีกว่าตอนนางเป็นผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักจริงๆ
….
ณ จวนอิงอ๋อง หลังจากกินมื้อเย็นเรียบร้อย เฮ่าเจินก็เป็นฝ่ายเรียกเซ่าหลิ่วเอ๋อร์ออกไปเดินเล่นในสวนด้วยกัน
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ทราบดีว่าเขาต้องมีเรื่องใดอยู่แน่นอน นางเดินเป็นเพื่อนพลางเฝ้ารอคอย
เป็นอย่างที่คาดการณ์ไว้ หลังจากเดินไปได้ครึ่งรอบ เฮ่าเจินถามขึ้นมา “ติดต่อพี่ชายเจ้าแล้วได้ความว่าอย่างไรบ้าง?”
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ตอบว่า “ติดต่อไปหาแล้วเพคะ แต่เขาไม่ได้บอกอะไร เพียงกำชับให้หม่อมฉันดูแลตัวเองดีๆ”
“อืม!” เฮ่าเจินพยักหน้ารับ “หลิ่วเอ๋อร์ เจ้าเป็นคนฉลาด เรื่องบางอย่างไม่จำเป็นต้องให้ข้าพูดมากอีก ต่อไปติดต่อกับพี่ชายเจ้าให้มากหน่อยเถอะ”
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์เอ่ยตอบ “หม่อมฉันเข้าใจแล้วเพคะ”
ทั้งสองไม่มีบทสนทนาใดร่วมกันอีก หลังจากนั้นเป็นเพียงการเดินเล่นอย่างแท้จริง หลังจากเดินวนครบอีกครึ่งรอบ เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ก็เป็นฝ่ายเปิดบทสนทนาขึ้นมาก่อน “ท่านอ๋อง ได้ยินว่าศิษย์หมอผีมาเยือนเมืองหลวงแล้ว”
เฮ่าเจินตอบว่า “ชื่ออู๋ซินอะไรสักอย่าง ชื่อแปลกพิกล คล้ายจะมิใช่นามที่แท้จริง”
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์เอ่ยว่า “ได้ยินว่าคหบดีชนชั้นสูงมากมายล้วนส่งคนไปยื่นเทียบขอเข้าพบ ออกันอยู่หน้าประตูเรือนของอู๋ซินผู้นั้น”
เฮ่าเจินกล่าวว่า “พอจะเข้าใจได้ บางส่วนก็อยากจะไปขอให้ช่วยรักษาจริงๆ แต่ส่วนใหญ่คิดอยากไปสานสัมพันธ์มากกว่า”
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์เอ่ยว่า “อาการป่วยบางอย่างก็ใช้พลังปราณของผู้บำเพ็ญเพียรรักษาไม่ได้ เกิดแก่เจ็บตายย่อมไม่อาจเลี่ยงได้ มีหมอเลื่องชื่อเช่นนี้อยู่ไม่ว่าจะป่วยหรือไม่ คหบดีผู้มั่งคั่งคนใดบ้างที่ไม่อยากให้เขาช่วยตรวจอาการดู ล้วนอยากสานสัมพันธ์ไว้ทั้งนั้น ได้ยินว่าพิษร้ายขององค์หญิงใหญ่แห่งจินโจวในแคว้นจ้าวก็เป็นเขาที่ถอนพิษให้ เหตุใดท่านอ๋องไม่ทรงยื่นเทียบดูเล่าเพคะ คบค้าคนเช่นนี้ไว้ไม่เป็นผลเสียแน่นอน หากท่านอ๋องคิดว่าไม่เหมาะสม เช่นนั้นให้หม่อมฉันยื่นเทียบนามของตนเพื่อขอเข้าพบดีหรือไม่เพคะ?”
เฮ่าเจินกล่าวว่า “นิสัยของคนผู้นี้ดูค่อนข้างแปลก ไม่สะดวกไปทำความรู้จัก ในวังก็ยังไม่มีท่าทีใด ยังอยู่ระหว่างสังเกตการณ์ พวกเราอย่าเข้าไปร่วมเรื่องครึกครื้นนั้นเลย เพิ่งได้ข่าวมาว่าเสด็จอาแห่งจวนตะวันตกเพิ่งไปพบคนผู้นั้นมา ส่งคนกลุ่มหนึ่งไปขับไล่คนที่ออขวางอยู่ในตรอกออกจนหมดแล้ว ไม่ให้ใครไปรบกวนศิษย์หมอผีคนนั้น ด้วยเหตุนี้จึงล่วงเกินคนไม่น้อยเลย รอดูสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากันเถิด”
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์พยักหน้ารับ “ท่านอ๋องกล่าวถูกแล้วเพคะ หม่อมฉันทราบแล้ว อุบ…” จู่ๆ นางก็ยกมืออุดปาก ท่าทางเหมือนอยากจะอาเจียน
เฮ่าเจินแปลกใจ “เป็นอะไร? ไม่สบายหรือ?”
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์มีสีหน้าขลาดเขิน “ท่านอ๋อง ไม่เป็นไรเพคะ มีฝ่าซือมาตรวจอาการแล้ว ฝ่าซือบอกว่าหม่อมฉันตั้งครรภ์แล้วเพคะ”
เฮ่าเจินผงะไป เอ่ยด้วยสีหน้าฉงน “เรื่องใหญ่ขนาดนี้ เหตุใดไม่มีผู้ใดมาแจ้งข้าเลย?”
เซ่าหลิ่วเอ๋อร์ขบริมฝีปาก “เป็นหม่อมฉันห้ามไม่ให้พวกเขาบอกเองเพคะ”
นางอยากพบศิษย์หมอผีคนนั้น ด้วยค่อนข้างอยากให้คนเขาช่วยตรวจสอบอาการให้ ถึงแม้จะมีผู้บำเพ็ญเพียรอยู่ในบ้านแล้ว แต่ในฐานะสตรีที่ถึงอย่างไรก็เพิ่งเคยเผชิญเรื่องนี้เป็นครั้งแรก ในใจจึงค่อนข้างกระวนกระวาย อยากจะได้หมอฝีมือดีมาช่วยตรวจอาการถึงจะวางใจ
พอเห็นท่าทีของนาง เฮ่าเจินเข้าใจขึ้นมาแล้ว คงอยากจะสร้างความประหลาดใจให้ตน มิเช่นนั้นผู้บำเพ็ญเพียรในจวนไม่มีทางยอมช่วยปิดบัง เขายิ้มน้อยๆ ออกมาทันที ยื่นมือไปกุมมือเรียวงามของนาง กล่าวอย่างอ่อนโยนว่า “คืนนี้ไม่มีเรื่องอื่นใดแล้ว ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าอย่างดี แล้วพรุ่งนี้เข้าวังไปพร้อมข้าเถิด ไปทูลเรื่องมงคลต่อเสด็จพ่อกัน”
“เพคะ!” เซ่าหลิ่วเอ๋อร์พยักหน้ารับเสียงอ่อนหวาน
สองสามีภรรยาต่างสวมอาภรณ์งามหรูหรา เดินจูงมือกันอยู่ในสวนภายใต้แสงอาทิตย์อัสดง
….
ณ วังหลวงใหญ่โตโอ่อ่า ปู้สวินยืนยกมือไพล่หลังอยู่บนกำแพงวัง ทอดสายตามองแสงสนธยาที่ปลายขอบฟ้า
ปู้ฟางเดินขึ้นกำแพงมา เข้ามาหยุดข้างกายเขา “หลังจากซีย่วนต้าอ๋องกลับถึงจวนก็ส่งข้ารับใช้ออกไปเสาะหายาสมุนไพรบางอย่างจนทั่วทันที ดูจากสถานการณ์แล้ว ศิษย์หมอผีคนนั้นน่าจะยอมช่วยทำการรักษาให้ซีย่วนต้าอ๋องขอรับ”
“ขาข้างนั้นของเขาพิการไปแล้ว ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ล้วนได้ข้อสรุปชัดเจนแล้ว ศิษย์หมอผีคนนั้นจะช่วยรักษาให้หายดีได้อย่างนั้นหรือ?” ปู้สวินค่อนข้างแปลกใจ
ปู้ฟางตอบว่า “ไม่แน่ใจขอรับ ต้องรอดูสถานการณ์ต่อจากนี้ถึงจะวิเคราะห์ได้ขอรับ หากต้องการทราบอย่างเร่งด่วน อาจจะต้องไปสอบถามจากซีย่วนต้าอ๋องโดยตรง”
ปู้สวินตอบว่า “ปล่อยเขาไปก่อน สืบประวัติศิษย์หมอผีคนนั้นกระจ่างหรือยัง?”
ปู้ฟางตอบว่า “ยังสืบไม่พบจริงๆ ขอรับ เดิมทีหมอผีก็เป็นคนลึกลับดั่งมังกรโผล่หัวไม่โผล่หางเสมอมา พวกเราไม่มีแม้แต่วิธีตามหาเบาะแสที่อยู่ของหมอผีเลยด้วยซ้ำ จู่ๆ ก็มีศิษย์ที่อยู่ข้างกายเขาคนนี้ก็ปรากฏขึ้นมา ประวัติความเป็นมาไม่ชัดเจน แม้แต่หน่วยข่าวกรองของพวกเราก็ไม่พบเบาะแสเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าควรจะเริ่มลงมือจากจุดใด เบาะแสเท่าที่ทราบมาคือเขาเคยติดตามหมอผีไปปรากฏตัวหน้าประตูจวนผู้ว่าการมณฑลจินโจวครั้งหนึ่ง ซึ่งจุดนี้ช่วยยืนยันได้เพียงว่าเขาเป็นคนของหมอผีจริงๆ ไม่นับเป็นเบาะแสสำหรับสืบหาอันใดเลยขอรับ”
ปู้สวินทอดสายตามองออกไปไกลพลางเอ่ยเนิบๆ “แล้วสตรีที่อยู่ข้างกายเขานางนั้นล่ะ?”
ปู้ฟางตอบว่า “ประวัติของสตรีนางนี้กลับสืบทราบมาเล็กน้อยแล้วขอรับ มีนามว่ากัวม่าน เป็นเพียงผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักคนหนึ่งในโลกบำเพ็ญเพียร เพิ่งจะมีสภาวะระดับหลอมปราณเท่านั้น ได้ยินว่าเป็นศิษย์ของผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักคนหนึ่งที่ตายจากไปแล้ว ตอนนี้สืบทราบมาว่ามีพี่น้องร่วมสาบานอยู่สองคน สตรีนางนี้ไม่นับว่ามีความสำคัญใดเลยจริงๆ ไม่ทราบเช่นกันว่ามาติดตามคลุกคลีกับศิษย์หมอผีได้อย่างไร คนในหน่วยข่าวกรองกำลังสืบหาตัวพี่น้องร่วมสาบานสองคนนั้นของนางอยู่ขอรับ เมื่อสืบพบตัวสองคนนี้น่าจะสืบพบเบาะแสอันใดขึ้นมาบ้าง คาดว่าคนที่ออกตามหาตัวสองคนนี้คงมีไม่น้อยเช่นกัน!”
ปู้สวินกล่าวว่า “ฝ่าบาทชื่นชมในชื่อเสียง ทรงอยากจะพบศิษย์หมอผีคนนี้ พวกเราไม่อาจปล่อยให้คนที่มีความเป็นมาไม่ชัดเจนเข้าใกล้ฝ่าบาทได้ หากเกิดเรื่องขึ้นมาผู้ใดก็รับผิดชอบไม่ไหวทั้งสิ้น ต้องเร่งสืบมาให้กระจ่าง!”
“ขอรับ!” ปู้ฟางประสานมือรับคำสั่ง
….
ณ เมืองหลวงแคว้นเยี่ยน เกาเซ่าหมิงมุดออกมาจากรถม้า เงยหน้ามองป้ายที่อยู่เหนือประตูจวน พรูลมหายใจออกมา
เกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นมา ทางเมืองหลวงแคว้นเยี่ยนย่อมต้องการสืบสวนเรื่องราวให้กระจ่างชัด เรียกตัวเขากลับมาอย่างเร่งด่วน ทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง ยังไม่ทันได้กลับบ้านก็ต้องมุ่งตรงไปให้ปากคำยังที่ว่าการแล้ว
เมื่อก้าวขึ้นบันไดเข้าไปด้านใน พ่อบ้านชราก็ออกมารอต้อนรับอยู่ที่หน้าประตูแล้ว “คุณชายใหญ่กลับมาแล้วหรือขอรับ นายท่านคอยท่านอยู่ที่ห้องหนังสือขอรับ”
ภายในห้องหนังสือ เกาเจี้ยนเฉิงเจ้ากรมการพลเรือนของแคว้นเยี่ยนสวมชุดลำลอง นั่งเขียนเอกสารอยู่ตรงโต๊ะทำงาน ร่างผอมบางดั่งกิ่งไม้แห้ง มีหนวดเคราหรอมแหรมไม่กี่เส้น แต่ตัวคนกลับดูกระฉับกระเฉงทรงพลังอย่างยิ่ง ไม่เห็นถึงความแก่โรยราเลย
เกาเซ่าหมิงเดินเข้าไปแล้วคารวะ “ท่านพ่อ”
เกาเจี้ยนเฉินตอบรับคำหนึ่ง เอ่ยถามว่า “เรื่องสอบสวนเป็นอย่างไรบ้าง?”
เกาเซ่าหมิงตอบว่า “ลูกก็ตอบไปเช่นเดิมว่าไม่ใช่ฝีมือของลูก ลูกไม่ได้โง่ถึงขนาดนั้น ลูกจะลงมือกับราชทูตแคว้นซ่งในช่วงเวลาเช่นนี้ได้อย่างไร แต่พวกเขาก็เอาแต่ถามซ้ำไปซ้ำมาไม่ยอมจบ ลูกตอบคำถามจนไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้วขอรับ”
เกาเจี้ยนเฉิงวางพู่กันลง ยกสองมือวางบนหน้าท้อง เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ “อะไรกัน? เจ้ารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างนั้นหรือ?”
เกาเซ่าหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง ส่ายหน้ากล่าวไปว่า “ถึงอย่างไรสวีเกาก็เป็นคนของทางลูก เป็นความเลินเล่อของลูกจริงๆ ถึงทำให้ถูกคนฉวยโอกาสได้ สวีเกาอาจไม่รอดชีวิต คาดว่าคงหายไปจากโลกใบนี้แล้ว ดังนั้นเรื่องนี้จึงไม่มีทางกระจ่างชัดได้ สืบไปก็ไม่พบความจริง ต่อให้ไม่ใช่ฝีมือลูก ลูกก็คงยากจะเลี่ยงความผิดได้”
เกาเจี้ยนเฉิงพยักหน้ารับ “ที่อยู่ในหน่วยข่าวกรองหลายปีมานี้ไม่เสียเปล่าเลย เจ้ารู้ก็ดีแล้ว แต่ทางราชสำนักก็ไม่เลอะเลือนเช่นกัน ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ถึงเป็นคนไร้สมองก็ยังเดาได้ว่ามีคนเล่นเล่ห์อยู่ แต่ฝ่าบาททรงกริ้วนัก! หากทวงถามความรับผิดชอบกับเจ้าก็จงก้มหน้ารับอย่างว่าง่ายไปเสีย อย่าได้ขุ่นข้องใดๆ เลย ข้าได้หารือเรื่องบางอย่างกับถงโม่เรียบร้อยแล้ว”
เกาเซ่าหมิงพยักหน้ารับ “ลูกเข้าใจแล้วขอรับ ลำบากท่านพ่อแล้ว”
เกาเจี้ยนเฉิงลุกออกจากโต๊ะ “ความเลินเล่อของเจ้าในคราวนี้นับว่าก่อเรื่องใหญ่ขึ้นแล้ว แคว้นซ่งทวงถามความรับผิดชอบไม่หยุดหย่อน ต้องให้เรามอบตัวคนร้ายให้ สวีเกาหายตัวไปแล้ว ทางแคว้นซ่งก็มีคนชื่อเฉาเซิ่วไหวโผล่ออกมาอีก ยืนยันหนักแน่นว่าสวีเกาคือหนึ่งในคนร้าย ประกอบกับคนผู้นั้นเป็นหลานชายของเฉาจิ้งผู้อาวุโสสำนักหมื่นสรรพสัตว์ สำนักหมื่นสรรพสัตว์ไม่เคยเข้ามาข้องแวะกับข้อพิพาทระหว่างแคว้น เมื่อออกมาเป็นพยานในเรื่องนี้จึงมีน้ำหนักอย่างยิ่ง ไม่มีทางที่แคว้นซ่งจะมอบตัวเฉาเซิ่งไหวคนนั้นมาให้พวกเราไต่สวนแน่นอน”
“แคว้นซ่งฉวยโอกาสจากสถานการณ์ ไม่เพียงแต่จะยืนกรานไม่รับฟังเหตุผลเท่านั้น แต่ยังเริ่มลงมือลับหลังด้วย จากข่าวที่ได้รับมาจากหน่วยข่าวกรอง แคว้นซ่งกำลังเคลื่อนย้ายไพร่พล ทางฝั่งแคว้นหานก็เพิ่มกำลังทหารทางทิศใต้อย่างลับๆ เช่นกัน หากราชสำนักลงมือกับหนานโจวต่อไป จะเป็นการเปิดโอกาสให้ภายนอกฉวยโอกาสเอาได้ ในสองแคว้นต้องมีแคว้นใดแคว้นหนึ่งที่ลงมือแน่นอน ส่วนอีกแคว้นก็จะรอฉวยโอกาสตลบหลังอีกที ที่เท่ากับคิดจะฉวยโอกาสฉีกทึ้งแคว้นเยี่ยนของเรา”
“เรื่องนี้รู้ไปถึงหูวังเหินเวหา วิมานม่วงทองและหุบเขากระบี่วิญญาณแล้ว เจ้าสำนักทั้งสามมาด้วยตัวเอง เข้ากดดันฝ่าบาทซึ่งๆ หน้า ฝ่าบาทถูกบีบคั้นจนปัญญา ทรงถอนบัญชาเรื่องเคลื่อนพลเข้าโจมตีหนานโจวแล้ว เริ่มเคลื่อนพลโยกย้ายกำลังทหารไปเฝ้าระวังป้องกันทางเหนือและทางใต้แทน โอกาสดีในการตีชิงหนานโจวคืนพังพินาศไปในชั่วพริบตา เท่ากับที่ทุ่มเทไปล้วนสูญเปล่า แล้วเจ้าจะไม่ให้ฝ่าบาททรงพิโรธได้อย่างไร? หากมิใช่ตัวข้าผู้เป็นบิดาของเจ้ายังพอมีอิทธิพลในราชสำนักอยู่บ้าง หากมิใช่เพราะเหล่าขุนนางในตอนนี้ช่วยกันทัดทานฝ่าบาทไว้ว่าหากสังหารเจ้าในตอนนี้ก็เท่ากับเป็นการยอมรับคำกล่าวหาของแคว้นซ่ง เจ้าคิดว่าเจ้าจะยังรักษาหัวเอาไว้ได้อีกหรือ? ลำพังโทษฐานทำให้ชื่อเสียงราชสำนักเสื่อมเสีย ทำให้ซางเฉาจงได้เรืองอำนาจขึ้นมา ฝ่าบาทก็ไม่มีทางยอมละเว้นเจ้าแล้ว!”
………………………………………………………………………….
Comments