ราชินีพลิกสวรรค์ 348 สุสานโบราณของจริง!

Now you are reading ราชินีพลิกสวรรค์ Chapter 348 สุสานโบราณของจริง! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจียงหลีแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา จู่ๆ นางก็ย่อตัวลงนั่งขัดสมาธิบนทางเดินในสุสาน จากนั้นจึงจดจ่อไปที่ประตูสุสานบานนั้นแล้วขมวดคิ้ว

“ประตูสุสานที่ปิดถึงจะเป็นเรื่องปกติ แต่ประตูบานนี้กลับเปิดออกมาให้ท่าเรียกแขกเยี่ยงนี้ ข้าจะเข้าไปดีหรือเปล่าน้า”

เจียงหลียกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง ดวงตาคู่งามหรี่ลงแสดงถึงความเกียจคร้านออกมา

ภายใต้ท่าทีที่ดูเหมือนสบายๆ แต่นางกลับกำลังพิจารณาอย่างรวดเร็ว

เพราะเหตุใดนางถึงได้แยกกับพวกลู่เสวียน หรือถูกสุ่มให้มาอยู่ที่ไหนสักแห่งในสุสาน แล้วลู่เสวียนกับเหวินเหรินชิ่งชิ่งล่ะ ได้แยกจากกันหรือไม่

ประตูด้านหน้าถึงได้เปิดออกอย่างผิดปกติเหมือนกำลังเสนอเชิญชวน

ด้านหลังประตูจะเป็นอะไร

เจียงหลีหรี่สายตาครุ่นคิดราวกับกำลังนอนหลับก็มิปาน นางนั่งเงียบๆ อยู่เช่นนี้โดยไม่รีบร้อนเสมือนไร้ความกังวลใดๆ เพราะการเสียเวลาจะทำให้นางคว้าน้ำเหลวจากการฝึกประสบการณ์ครั้งนี้

นางนั่งอยู่เช่นนี้ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่จนกระทั่งเจียงหลีรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนจริงๆ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมา

“ยังไม่เข้ามาอีกรึ!”

หืม อะไรน่ะ

เจียงหลีลืมตาโพลง สายตาอันแหลมคมทอดมองออกไป

“ใครน่ะ” นางลุกยืนขึ้นมองด้านหลังประตูที่เปิดออก นึกไม่ถึงว่าในสุสานโบราณมีคนอยู่ หรือว่าจะเป็นคนของตระกูลไป๋เซี่ยง

เสียงของคนแปลกหน้าทำให้เจียงหลีคาดเดาในใจ

นางจ้องประตูบานนั้นเขม็ง มีแสงสว่างลอดมาจากด้านหลังประตู ทำให้รู้สึกถึงแสงสว่างจากด้านนอก

“เข้ามาสิ” เสียงจากด้านในประตูเร่งเร้าอีกครั้ง

เจียงหลียังคงไม่ขยับกาย “เสียงใครที่แกล้งหลอกผีอยู่ในนั้น ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”

“เหอะๆๆ”

เสียงหัวเราะดังลอดมาจากด้านในประตู และประโยคต่อมาก็ทำให้เจียงหลีรู้สึกขนลุก

“ข้าอยู่ในสุสานมาตั้งหลายปี ไม่ต้องแกล้งข้าก็เป็นผีอยู่แล้ว”

ฉิบหาย!

เจียงหลีเบิกตาโตและกลั้นหายใจ

แม้ว่านางจะเคยผ่านความตายมาแล้วแต่ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็คือคนเป็นที่มีชีวิต จู่ๆ นางก็แสยะยิ้ม สายตาเฉียบคมจ้องไปที่ประตูบานนั้น “มาไม้นี้อีกแล้ว หากตายไปแล้วจริงๆ ยังจะสามารถพูดกับข้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

“อายุน้อยแต่คารมคมคายไม่น้อยเลยนี่ ช่างเถอะ ใครให้เจ้าเป็นผู้ถูกลิขิตกันล่ะ คิดไม่ถึงว่าจะฝึกถึงขั้น

หลิงเนี่ยนเฉกเช่นกัน”

คำที่เอ่ยออกมาจากด้านในประตูทำให้เจียงหลีสะเทือนไม่น้อย ตกใจยิ่งกว่าตอนที่เขาบอกว่าตัวเองเป็นผีเมื่อก่อนหน้านี้เสียอีก

“เจ้าเป็นใครกันแน่” นัยน์ตาของเจียงหลีดำดิ่ง กำไลข้อมือที่แอบซ่อนอยู่สามารถตกลงมาในฝ่ามือแล้วกลายเป็นจูเสียได้ทุกเมื่อ

แม้นางจะมีการฝึกพลังจิต แต่ตอนแรกที่เลือกฝึกเพราะนางต้องการพลังจิตเพื่อเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อ นางใช้พลังจิตน้อยครั้ง นอกจากลู่เจี้ยแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่านางฝึกฝนพลังจิตนี้

“อย่ากังวลไปเลยเจ้าเด็กน้อย เจ้าขี้ระแวงเช่นนี้ ข้าพูดอะไรไปเจ้าก็คงไม่เชื่อ มิสู้เข้ามาพิสูจน์เองไม่ดีกว่าหรือ” น้ำเสียงด้านในประตูฟังดูเป็นมิตร

เจียงหลีสบถเย็นชา “เจ้าให้ข้าเข้าไปข้าก็ต้องเข้าไปหรือ หากเจ้าวางกับดักข้าไว้ข้างในล่ะ”

“เจ้ามาที่แห่งนี้ ไม่ได้มาเพื่อเข้าไปในสุสานหรอกหรือ” เสียงจากด้านในประตูเอ่ยถาม

!

เจียงหลีสั่นสะท้านในใจ

ตอนนี้นางไม่ได้อยู่ในสุสานหรอกหรือ เหตุใดคนข้างในถึงยังเอ่ยว่า ‘เข้าไปในสุสาน’ อีก

ความอยากรู้อยากเห็นค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างแข็งแกร่งในใจของเจียงหลี นางขยับปลายเท้าแต่ก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม “สหายของข้าอีกสองคนล่ะ”

บัดนี้นางสงสัยเต็มประดาว่าคนข้างในประตูนั้นเป็นคนที่ทำให้นางแยกจากพวกลู่เสวียน

“พวกเขาหรือ ฮ่าๆ” คนด้านในประตูหัวเราะเสียงเบา “อยู่ในสุสานลวงด้านนอก ไม่เป็นอะไรหรอกน่า”

สุสานลวงอย่างนั้นหรือ

เจียงหลีเบิกตาค้าง มองแสงสว่างที่ลอดผ่านประตูสุสานด้วยความประหลาดใจ

“ข้าพูดอยู่ตั้งนานสองนาน ตกลงเจ้าจะเข้ามาหรือไม่” ขณะนี้ดูเหมือนน้ำเสียงของคนด้านในประตูชักจะหมดความอดทนเสียแล้ว

ดวงตาของเจียงหลีเป็นประกายวูบไหว นางกระตุกคิ้ว “เข้าก็เข้า! ใครกลัวกันเล่า” เมื่อพูดจบนางก็ก้าวเท้าอย่างไม่รีบร้อนแล้วมุ่งหน้าไปยังประตูสุสานที่เปิดค้างไว้

เมื่อก้าวข้ามธรณีประตู แสงอันเจิดจ้าก็เข้าห้อมล้อมนางเอาไว้ เมื่อแสงกระจายหายไปในขณะที่สายตาของเจียงหลีพร่ามัว หูของนางก็ได้ยินเสียงของนกร้อง

ในสุสานจะมีนกได้อย่างไร เจียงหลีนึกแปลกใจ

จากนั้นก็ได้กลิ่นหญ้าอ่อนๆ และกลิ่นดินโคลนลอยเข้าจมูกของนาง

สายตาค่อยๆ คมชัดขึ้นจนในที่สุดเจียงหลีก็เห็นภาพตรงหน้าชัดเจน “ที่นี่…เป็นไปได้อย่างไร” หลังจากที่มองภาพชัดเจนแล้วนางก็ตกใจ

สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามิใช่สุสานแต่อย่างใด แต่กลับเป็นดินแดนแห่งหมู่วิหคและมวลบุบผา

ใต้ฝ่าเท้านางเหยียบผืนหญ้าเขียวขจี ไม่ไกลนักมีดอกไม้บานหลากสีสันสลับทับซ้อน ส่วนลึกของพุ่มดอกไม้ยังมีลำธารน้ำไหลสายเล็กๆ ในบางครั้งมีวิหคน้อยขนสีสดใสบินมาหยุดกินน้ำริมลำธาร ทั้งในทุ่งดอกไม้ยังมีผีเสื้อโบยบิน ช่างเป็นบรรยากาศที่สงบร่มเย็นยิ่งนัก

อีกด้านมีกระท่อมไม้ไผ่หลังหนึ่งล้อมรอบด้วยรั้วไม้ สวยงามเงียบสงบตัดขาดจากโลกภายนอก

ที่แห่งนี้มีตรงไหนที่เรียกว่าสุสานบ้าง เห็นได้ชัดว่าตัดขาดจากโลกภายนอกเยี่ยงนี้ เจียงหลีอุทานในใจ

“ข้าเข้ามาแล้ว เจ้าอยู่ตรงไหน” เจียงหลีเก็บซ่อนความตะลึงในใจแล้วเอ่ยถามเสียงดัง เจ้าของเสียงของผู้ที่อยู่ด้านหลังประตูไปไหนเสียแล้ว

แต่ทว่า หลังจากที่นางเหยียบเข้ามาที่นี่ เสียงของคนที่สนทนากับนางตลอดนั้นกลับหายไป

เจียงหลีขมวดคิ้วมุ่น ขยับเข้าไปใกล้กระท่อมไม้ไผ่อย่างระมัดระวัง โลกในนี้ไม่ใหญ่นัก เว้นเสียแต่ทิวทัศน์ระยะใกล้แล้ว ทิวทัศน์ข้างนอกที่ไกลออกไปปกคลุมไปด้วยหมอกจนมองเห็นไม่ชัดเจน และเห็นเพียงภูเขาลอยเลื่อนหลบซ่อนอยู่ท่ามกลางม่านหมอก

เมื่อนางเข้ามาใกล้ก็หยุดเดินอยู่ตรงหน้ารั้วแล้วตะโกนเรียก “เจ้าอยู่ไหน”

เมื่อสิ้นเสียงแต่ก็ยังคงไม่มีการตอบกลับมา

ความแปลกประหลาดเยี่ยงนี้ทำให้เจียงหลีขมวดคิ้วมุ่น “ข้าเข้ามาแล้ว แต่เจ้ากลับมัวหลบซ่อนอยู่ทำไม”

“ข้าอยู่ที่นี่มาโดยตลอด เจ้ามองไม่เห็นข้ากลับโทษข้าอย่างนั้นรึ” เสียงนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง

เจียงหลีหันขวับมองไปข้างหลังอย่างระแวง

เมื่อครู่นี้นางรู้สึกเหมือนเสียงจะดังมาจากข้างหลังของนาง แต่ทว่าข้างหลังนางกลับว่างเปล่าไม่มีใครสักคน สายตาของนางสอดส่องอยู่ตลอดแล้วเอ่ยเสียงถาม “ข้าอยู่ที่นี่ ไม่เห็นใครสักคน อีกอย่างที่นี่คือที่ไหน”

“เข้ามา” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง

ครืด!

เมื่อสิ้นเสียง ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก

เจียงหลีหรี่ตาจ้องประตูเล็กๆ ที่เปิดออก นางค่อยๆ เลื่อนสายตาขึ้นมองกระท่อมไม้ไผ่

เจียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปในประตูเล็กแล้วยืนในลานของกระท่อมไม้ไผ่

“ข้ารอเจ้าอยู่ในกระท่อม เพียงแต่เจ้ากับข้าถูกคั่นด้วยพลังของหยินและหยาง ไม่มีสิ่งใดมาต้อนรับเจ้าหรอกนะ” เสียงนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง

คราวนี้เจียงหลีสังเกตเห็นว่าดูเหมือนเสียงจะมาจากทุกทิศทาง

หลังจากสำรวจรอบๆ อย่างระมัดระวัง เจียงหลีจึงเดินเข้าไปในกระท่อม

นางเหยียบบันไดไม้ไผ่จนมันเกิดเสียง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ ทุกอย่างสมจริงเยี่ยงนี้ทำให้นางไม่อยากเชื่อสายตาของตนเอง

สิ่งเดียวที่ทำให้นางคิดไม่ตกก็คือ เมื่อครู่นี้เห็นได้ชัดว่านางอยู่บนทางเดินในสุสาน

“ที่เจ้าบอกว่าสุสานลวง หมายความว่าอย่างไร” เจียงหลียืนตรงทางเข้า แต่จู่ๆ กลับหยุดเดินแล้วเอ่ยถาม

“สุสานลวง” เสียงนั้นเรียบนิ่งลง ก่อนจะเอ่ยตอบ “แน่นอน มีไว้เพื่อสร้างความสับสนให้กับผู้คน และแน่นอน เพื่อให้สมจริงจึงวางลูกเล่นกลไกบางอย่างในสุสาน แต่ของดีจริงๆ กลับอยู่ที่กระท่อมไม้ไผ่แห่งนี้ต่างหากเล่า เจ้าไม่ตื่นเต้นสักนิดเลยหรือ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ราชินีพลิกสวรรค์ 348 สุสานโบราณของจริง!

Now you are reading ราชินีพลิกสวรรค์ Chapter 348 สุสานโบราณของจริง! at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เจียงหลีแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา จู่ๆ นางก็ย่อตัวลงนั่งขัดสมาธิบนทางเดินในสุสาน จากนั้นจึงจดจ่อไปที่ประตูสุสานบานนั้นแล้วขมวดคิ้ว

“ประตูสุสานที่ปิดถึงจะเป็นเรื่องปกติ แต่ประตูบานนี้กลับเปิดออกมาให้ท่าเรียกแขกเยี่ยงนี้ ข้าจะเข้าไปดีหรือเปล่าน้า”

เจียงหลียกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคาง ดวงตาคู่งามหรี่ลงแสดงถึงความเกียจคร้านออกมา

ภายใต้ท่าทีที่ดูเหมือนสบายๆ แต่นางกลับกำลังพิจารณาอย่างรวดเร็ว

เพราะเหตุใดนางถึงได้แยกกับพวกลู่เสวียน หรือถูกสุ่มให้มาอยู่ที่ไหนสักแห่งในสุสาน แล้วลู่เสวียนกับเหวินเหรินชิ่งชิ่งล่ะ ได้แยกจากกันหรือไม่

ประตูด้านหน้าถึงได้เปิดออกอย่างผิดปกติเหมือนกำลังเสนอเชิญชวน

ด้านหลังประตูจะเป็นอะไร

เจียงหลีหรี่สายตาครุ่นคิดราวกับกำลังนอนหลับก็มิปาน นางนั่งเงียบๆ อยู่เช่นนี้โดยไม่รีบร้อนเสมือนไร้ความกังวลใดๆ เพราะการเสียเวลาจะทำให้นางคว้าน้ำเหลวจากการฝึกประสบการณ์ครั้งนี้

นางนั่งอยู่เช่นนี้ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่จนกระทั่งเจียงหลีรู้สึกง่วงเหงาหาวนอนจริงๆ ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังขึ้นมา

“ยังไม่เข้ามาอีกรึ!”

หืม อะไรน่ะ

เจียงหลีลืมตาโพลง สายตาอันแหลมคมทอดมองออกไป

“ใครน่ะ” นางลุกยืนขึ้นมองด้านหลังประตูที่เปิดออก นึกไม่ถึงว่าในสุสานโบราณมีคนอยู่ หรือว่าจะเป็นคนของตระกูลไป๋เซี่ยง

เสียงของคนแปลกหน้าทำให้เจียงหลีคาดเดาในใจ

นางจ้องประตูบานนั้นเขม็ง มีแสงสว่างลอดมาจากด้านหลังประตู ทำให้รู้สึกถึงแสงสว่างจากด้านนอก

“เข้ามาสิ” เสียงจากด้านในประตูเร่งเร้าอีกครั้ง

เจียงหลียังคงไม่ขยับกาย “เสียงใครที่แกล้งหลอกผีอยู่ในนั้น ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!”

“เหอะๆๆ”

เสียงหัวเราะดังลอดมาจากด้านในประตู และประโยคต่อมาก็ทำให้เจียงหลีรู้สึกขนลุก

“ข้าอยู่ในสุสานมาตั้งหลายปี ไม่ต้องแกล้งข้าก็เป็นผีอยู่แล้ว”

ฉิบหาย!

เจียงหลีเบิกตาโตและกลั้นหายใจ

แม้ว่านางจะเคยผ่านความตายมาแล้วแต่ถึงอย่างไรตอนนี้นางก็คือคนเป็นที่มีชีวิต จู่ๆ นางก็แสยะยิ้ม สายตาเฉียบคมจ้องไปที่ประตูบานนั้น “มาไม้นี้อีกแล้ว หากตายไปแล้วจริงๆ ยังจะสามารถพูดกับข้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”

“อายุน้อยแต่คารมคมคายไม่น้อยเลยนี่ ช่างเถอะ ใครให้เจ้าเป็นผู้ถูกลิขิตกันล่ะ คิดไม่ถึงว่าจะฝึกถึงขั้น

หลิงเนี่ยนเฉกเช่นกัน”

คำที่เอ่ยออกมาจากด้านในประตูทำให้เจียงหลีสะเทือนไม่น้อย ตกใจยิ่งกว่าตอนที่เขาบอกว่าตัวเองเป็นผีเมื่อก่อนหน้านี้เสียอีก

“เจ้าเป็นใครกันแน่” นัยน์ตาของเจียงหลีดำดิ่ง กำไลข้อมือที่แอบซ่อนอยู่สามารถตกลงมาในฝ่ามือแล้วกลายเป็นจูเสียได้ทุกเมื่อ

แม้นางจะมีการฝึกพลังจิต แต่ตอนแรกที่เลือกฝึกเพราะนางต้องการพลังจิตเพื่อเสี่ยวหมีเจี้ยจื่อ นางใช้พลังจิตน้อยครั้ง นอกจากลู่เจี้ยแล้วก็ไม่มีใครรู้ว่านางฝึกฝนพลังจิตนี้

“อย่ากังวลไปเลยเจ้าเด็กน้อย เจ้าขี้ระแวงเช่นนี้ ข้าพูดอะไรไปเจ้าก็คงไม่เชื่อ มิสู้เข้ามาพิสูจน์เองไม่ดีกว่าหรือ” น้ำเสียงด้านในประตูฟังดูเป็นมิตร

เจียงหลีสบถเย็นชา “เจ้าให้ข้าเข้าไปข้าก็ต้องเข้าไปหรือ หากเจ้าวางกับดักข้าไว้ข้างในล่ะ”

“เจ้ามาที่แห่งนี้ ไม่ได้มาเพื่อเข้าไปในสุสานหรอกหรือ” เสียงจากด้านในประตูเอ่ยถาม

!

เจียงหลีสั่นสะท้านในใจ

ตอนนี้นางไม่ได้อยู่ในสุสานหรอกหรือ เหตุใดคนข้างในถึงยังเอ่ยว่า ‘เข้าไปในสุสาน’ อีก

ความอยากรู้อยากเห็นค่อยๆ เกิดขึ้นอย่างแข็งแกร่งในใจของเจียงหลี นางขยับปลายเท้าแต่ก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม “สหายของข้าอีกสองคนล่ะ”

บัดนี้นางสงสัยเต็มประดาว่าคนข้างในประตูนั้นเป็นคนที่ทำให้นางแยกจากพวกลู่เสวียน

“พวกเขาหรือ ฮ่าๆ” คนด้านในประตูหัวเราะเสียงเบา “อยู่ในสุสานลวงด้านนอก ไม่เป็นอะไรหรอกน่า”

สุสานลวงอย่างนั้นหรือ

เจียงหลีเบิกตาค้าง มองแสงสว่างที่ลอดผ่านประตูสุสานด้วยความประหลาดใจ

“ข้าพูดอยู่ตั้งนานสองนาน ตกลงเจ้าจะเข้ามาหรือไม่” ขณะนี้ดูเหมือนน้ำเสียงของคนด้านในประตูชักจะหมดความอดทนเสียแล้ว

ดวงตาของเจียงหลีเป็นประกายวูบไหว นางกระตุกคิ้ว “เข้าก็เข้า! ใครกลัวกันเล่า” เมื่อพูดจบนางก็ก้าวเท้าอย่างไม่รีบร้อนแล้วมุ่งหน้าไปยังประตูสุสานที่เปิดค้างไว้

เมื่อก้าวข้ามธรณีประตู แสงอันเจิดจ้าก็เข้าห้อมล้อมนางเอาไว้ เมื่อแสงกระจายหายไปในขณะที่สายตาของเจียงหลีพร่ามัว หูของนางก็ได้ยินเสียงของนกร้อง

ในสุสานจะมีนกได้อย่างไร เจียงหลีนึกแปลกใจ

จากนั้นก็ได้กลิ่นหญ้าอ่อนๆ และกลิ่นดินโคลนลอยเข้าจมูกของนาง

สายตาค่อยๆ คมชัดขึ้นจนในที่สุดเจียงหลีก็เห็นภาพตรงหน้าชัดเจน “ที่นี่…เป็นไปได้อย่างไร” หลังจากที่มองภาพชัดเจนแล้วนางก็ตกใจ

สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามิใช่สุสานแต่อย่างใด แต่กลับเป็นดินแดนแห่งหมู่วิหคและมวลบุบผา

ใต้ฝ่าเท้านางเหยียบผืนหญ้าเขียวขจี ไม่ไกลนักมีดอกไม้บานหลากสีสันสลับทับซ้อน ส่วนลึกของพุ่มดอกไม้ยังมีลำธารน้ำไหลสายเล็กๆ ในบางครั้งมีวิหคน้อยขนสีสดใสบินมาหยุดกินน้ำริมลำธาร ทั้งในทุ่งดอกไม้ยังมีผีเสื้อโบยบิน ช่างเป็นบรรยากาศที่สงบร่มเย็นยิ่งนัก

อีกด้านมีกระท่อมไม้ไผ่หลังหนึ่งล้อมรอบด้วยรั้วไม้ สวยงามเงียบสงบตัดขาดจากโลกภายนอก

ที่แห่งนี้มีตรงไหนที่เรียกว่าสุสานบ้าง เห็นได้ชัดว่าตัดขาดจากโลกภายนอกเยี่ยงนี้ เจียงหลีอุทานในใจ

“ข้าเข้ามาแล้ว เจ้าอยู่ตรงไหน” เจียงหลีเก็บซ่อนความตะลึงในใจแล้วเอ่ยถามเสียงดัง เจ้าของเสียงของผู้ที่อยู่ด้านหลังประตูไปไหนเสียแล้ว

แต่ทว่า หลังจากที่นางเหยียบเข้ามาที่นี่ เสียงของคนที่สนทนากับนางตลอดนั้นกลับหายไป

เจียงหลีขมวดคิ้วมุ่น ขยับเข้าไปใกล้กระท่อมไม้ไผ่อย่างระมัดระวัง โลกในนี้ไม่ใหญ่นัก เว้นเสียแต่ทิวทัศน์ระยะใกล้แล้ว ทิวทัศน์ข้างนอกที่ไกลออกไปปกคลุมไปด้วยหมอกจนมองเห็นไม่ชัดเจน และเห็นเพียงภูเขาลอยเลื่อนหลบซ่อนอยู่ท่ามกลางม่านหมอก

เมื่อนางเข้ามาใกล้ก็หยุดเดินอยู่ตรงหน้ารั้วแล้วตะโกนเรียก “เจ้าอยู่ไหน”

เมื่อสิ้นเสียงแต่ก็ยังคงไม่มีการตอบกลับมา

ความแปลกประหลาดเยี่ยงนี้ทำให้เจียงหลีขมวดคิ้วมุ่น “ข้าเข้ามาแล้ว แต่เจ้ากลับมัวหลบซ่อนอยู่ทำไม”

“ข้าอยู่ที่นี่มาโดยตลอด เจ้ามองไม่เห็นข้ากลับโทษข้าอย่างนั้นรึ” เสียงนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง

เจียงหลีหันขวับมองไปข้างหลังอย่างระแวง

เมื่อครู่นี้นางรู้สึกเหมือนเสียงจะดังมาจากข้างหลังของนาง แต่ทว่าข้างหลังนางกลับว่างเปล่าไม่มีใครสักคน สายตาของนางสอดส่องอยู่ตลอดแล้วเอ่ยเสียงถาม “ข้าอยู่ที่นี่ ไม่เห็นใครสักคน อีกอย่างที่นี่คือที่ไหน”

“เข้ามา” เสียงนั้นดังขึ้นอีกครั้ง

ครืด!

เมื่อสิ้นเสียง ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก

เจียงหลีหรี่ตาจ้องประตูเล็กๆ ที่เปิดออก นางค่อยๆ เลื่อนสายตาขึ้นมองกระท่อมไม้ไผ่

เจียงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินเข้าไปในประตูเล็กแล้วยืนในลานของกระท่อมไม้ไผ่

“ข้ารอเจ้าอยู่ในกระท่อม เพียงแต่เจ้ากับข้าถูกคั่นด้วยพลังของหยินและหยาง ไม่มีสิ่งใดมาต้อนรับเจ้าหรอกนะ” เสียงนั้นปรากฏขึ้นอีกครั้ง

คราวนี้เจียงหลีสังเกตเห็นว่าดูเหมือนเสียงจะมาจากทุกทิศทาง

หลังจากสำรวจรอบๆ อย่างระมัดระวัง เจียงหลีจึงเดินเข้าไปในกระท่อม

นางเหยียบบันไดไม้ไผ่จนมันเกิดเสียง ‘เอี๊ยดอ๊าด’ ทุกอย่างสมจริงเยี่ยงนี้ทำให้นางไม่อยากเชื่อสายตาของตนเอง

สิ่งเดียวที่ทำให้นางคิดไม่ตกก็คือ เมื่อครู่นี้เห็นได้ชัดว่านางอยู่บนทางเดินในสุสาน

“ที่เจ้าบอกว่าสุสานลวง หมายความว่าอย่างไร” เจียงหลียืนตรงทางเข้า แต่จู่ๆ กลับหยุดเดินแล้วเอ่ยถาม

“สุสานลวง” เสียงนั้นเรียบนิ่งลง ก่อนจะเอ่ยตอบ “แน่นอน มีไว้เพื่อสร้างความสับสนให้กับผู้คน และแน่นอน เพื่อให้สมจริงจึงวางลูกเล่นกลไกบางอย่างในสุสาน แต่ของดีจริงๆ กลับอยู่ที่กระท่อมไม้ไผ่แห่งนี้ต่างหากเล่า เจ้าไม่ตื่นเต้นสักนิดเลยหรือ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+