ราชินีพลิกสวรรค์ 399 นี่กลับกลายเป็นโอกาส

Now you are reading ราชินีพลิกสวรรค์ Chapter 399 นี่กลับกลายเป็นโอกาส at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ฆ่าหรือ

ทันใดนั้น คนผอมและคนอ้วนทั้งสองก็ได้ยินว่าหันอวี้วางแผนที่จะฆ่าพวกเขาเพื่อเอาใจธิดาสวรรค์องค์ใหม่ ทันใดนั้นเข่าของพวกเขาก็อ่อนแรงและคุกเข่าลงบนพื้นเพื่อขอความเมตตา

“ธิดาสวรรค์ ไว้ชีวิตพวกข้าด้วยเถิด พวกข้าไม่รู้ว่ามันเป็นสัตว์เลี้ยงของธิดาสวรรค์”

“จริงด้วย ธิดาสวรรค์ พวกเราไม่ได้รังแกมัน แต่มันกลับทำร้ายมือข้าจนบาดเจ็บ”

เพื่อพิสูจน์ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงชายร่างผอมยื่นมือเปื้อนเลือดต่อหน้าเจียงหลีเพื่อให้นางเห็นอย่างชัดเจน

แต่ทว่าสายตาของเจียงหลีกลับไม่แยแส ดวงตาของนางกวาดไปทั่วหลังมือที่บาดเจ็บ นางปลอบประโลมเจ้าเปี๊ยกในอ้อมแขนอย่างอ่อนโยนและพูดอย่างเย็นชา “ถ้าเจ้าไม่ทำให้มันโกรธมันจะทำร้ายเจ้าได้อย่างไร แส่หาเรื่องเอง แล้วยังเรียกร้องให้ได้รับความเห็นอกเห็นใจอีกหรือ”

“เปล่าขอรับ!” คนผอมเผยสีหน้าหวาดผวา

เจียงหลีขี้เกียจเกินกว่าจะเข้าไปพัวพันกับพวกเขาอีกโดยหันไปมองหันอวี้ นางแค่วางแผนตัดมือของพวกเขาออก แต่หันอวี้เสนอให้ฆ่าดังนั้นทำไมนางจักต้องเกรงใจด้วยเล่า

ถึงอย่างไรสำนักพรตเสวียนหมิงก็ไม่ใช่สิ่งดีอะไร

เส้นทางฝึกฝนอันโหดร้าย มีใครมือไม่เปื้อนเลือดบ้าง หากหัวใจแม่พระท่วมท้นแล้วเหตุใดถึงได้มาเหยียบบนเส้นทางฝึกฝนด้วย

หันอวี้เข้าใจและยิ้มอย่างประจบสอพลอเจียงหลี เมื่อเขาหันไปมองเจตนาฆ่าก็สะท้อนอยู่ในดวงตาแล้วและมีสีหน้าเย็นเยียบ

“หันอวี้ เจ้าต้องการฆ่าพวกเราเพื่อสตรีคนหนึ่งจริงๆ!?” เมื่อเห็นว่าการขอความเมตตาล้มเหลวชายร่างอ้วนก็ลุกขึ้นด้วยความโกรธ เขาคิดจะสู้กันสักตั้ง

พยายามสู้ดีกว่ารอโดนเชือด

ชายร่างผอมยังลุกขึ้นยืนและต้องการต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับชายอ้วน

ความขุ่นเคืองของทั้งสองทำให้เกิดเสียงหัวเราะที่ดูถูกเหยียดหยามของหันอวี้ “เจ้าทำให้ธิดาสวรรค์ขุ่นเคือง ดูหมิ่นธิดาสวรรค์ ตามกฎของสำนักพรตนี้ เจ้าควรถูกฆ่าทิ้ง ตอนนี้ยังคิดที่จะขัดขืนอีกหรือ”

ทันใดนั้นรอยยิ้มหายไปและดวงตาเฉียบคมของเขาจ้องมองไปที่พวกเขาสองคน “พวกเจ้าก่อกบฏ” หลังจากพูดเช่นนั้นแสงสีทองข้างหลังเขาแขนของเขากลายเป็นปีก จากนั้นเขาก็โจมตีคนอ้วนและผอมทั้งสอง

ตามธรรมชาติแล้วทั้งสองคนอ้วนและผอมจะไม่นั่งรอความตาย พวกเขาก้าวถอยหลังเล็กน้อยและต่อสู้กับหันอวี้ในที่โล่ง

พลังการต่อสู้ของหันอวี้นั้นเหนือกว่าทั้งสอง แต่การโต้กลับก่อนที่คนอ้วนและคนผอมทั้งสองจะตายก็รุนแรงมากเช่นกันพอๆ กับหันอวี้

เจียงหลีอุ้มเจ้าเปี๊ยกถอยห่างออกไปสองสามก้าวเพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ได้รับผลกระทบจากพลังวิญญาณ

เมื่อมองสามคนที่กำลังต่อสู้กัน เจียงหลีไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางมากนัก นางหรี่ตามองราวกับดูละครฉากหนึ่ง

โชคดีที่สถานที่แห่งนี้ค่อนข้างห่างไกลและการต่อสู้ไม่ได้รบกวนผู้อื่น

หลังจากผ่านไปหนึ่งร้อยกระบวนท่า หันอวี้ก็ฆ่าชายร่างผอมก่อน จากนั้นก็ฆ่าชายร่างท้วม การกระทำลื่นเหมือนสายน้ำโดยไม่มีความลังเลใดๆ

หลังจากฆ่าทั้งสองคน หันอวี้ก็ ‘ถุย’ น้ำลายใส่ศพทั้งสองด้วยความรังเกียจและหันไปขอเจียงหลีชื่นชมผลงาน

เพียงแต่ก่อนที่เขาจะเอ่ยออกมา เจียงหลีกล่าวติดตลกว่า “มิตรภาพในสำนักพรตเสวียนหมิงช่างเป็นการเปิดหูเปิดตาสำหรับข้าจริงๆ”

เมื่อสิ้นเสียงนางก็หันหลังจากไป

ดวงตาของหันอวี้วูบไหว เขาทำตั้งมากมายเพื่อให้เจียงหลีพอใจ เพื่อวันหนึ่งเขาอาจสามารถใกล้ชิดหญิงงาม แล้วตอนนี้เขาจะปล่อยนางไปง่ายๆ ได้อย่างไร “ธิดาสวรรค์ดึกมาแล้ว ให้ข้าไปส่งท่านเถิด”

ทันทีที่เขาพูดสิ่งนี้เจียงหลีก็รู้สึกเจ็บปวดที่ฝ่ามือของนาง

นางเลิกคิ้วขมวดคิ้วเบาๆ และมองไปที่เจ้าเปี๊ยกในอ้อมแขนของนาง แต่เจ้าเปี๊ยกบางตัวกลับดูเฉยเมยและหันหน้าไปทางอื่น

“ไม่จำเป็นหรอก นี่ก็ดึกมากแล้ว ชายหญิงผู้ไม่มีพันธะอยู่ด้วยกัน หากท่านประมุขรู้เข้าเกรงว่าจะไม่ดี” เจียงหลีพยายามพูดหลีกเลี่ยง

เมื่อเอ่ยถึง ‘ท่านประมุข’ หันอวี้ก็หยุดฝีเท้าเดินตามทันที สายตาของเขาเผยความเกรงกลัวออกมา ในที่สุดเขาทำได้เพียงปัดเป่าความคิดที่จะส่งเจียงหลี เขาหัวเราะเบาๆ “ธิดาสวรรค์ ข้าขอส่งท่านเพียงเท่านี้”

เงาร่างด้านหลังที่น่าหลงใหลของเจียงหลีค่อยๆ ละลายไปในยามค่ำคืนต่อหน้าหันอวี้

ตลอดจนนางหายลับไปแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้าของหันอวี้จางลง เขาสบถในใจ ธิดาสวรรค์ สักวันข้าจะทำให้เจ้าคุกเข่าอ้อนวอนขอความเมตตาข้า!

ระหว่างทางเดินกลับ เจียงหลีทิ้งเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ออกจากสมอง นางจับอุ้งเท้าสีชมพูฟูฟ่องของเจ้าเปียกและขู่อย่างโหดเหี้ยม “ต่อไปถ้าเจ้าข่วนข้าอีก ข้าจะถอนเล็บเจ้าทิ้งเสียให้หมด!”

เจ้าเปี๊ยกเหลือบมองนางอย่างเกียจคร้านด้วยสีหน้าดูถูก เจียงหลีรู้สึกมันเขี้ยวและคิดในใจว่าต้องหาโอกาสขู่มันบ้าง ไม่เช่นนั้นมันก็จะไม่รู้ว่าใครที่เป็นเจ้านายกันแน่!

เรื่องเมื่อครู่นี้มาขัดจังหวะจึงทำให้ความอึดอัดใจก่อนหน้านี้หายไป

คืนนี้ไร้คำพูดใดๆ อีก แต่เจ้าเปี๊ยกไม่ต้องการให้จับมันนอนกอด มันเพียงต้องการขดตัวอยู่ที่มุมตรงเท้าของนางและนอนคนเดียว

เมื่อฟ้าสาง ก็มีคนมาเคาะประตูห้องเจียงหลี

เจียงหลีเปิดประตูด้วยความงุนงง นางแปลกใจเมื่อเห็นชิงหว่านและซู่ซินผู้หยิ่งผยองและความงัวเงียหายไปเป็นปลิดทิ้ง

“ท่านประมุขส่งคนมาเรียกพวกเราไปพบ” ชิงหว่านเอ่ยกับเจียงหลีด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

เจียงหลีรู้สึกฉงน “หืม มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ทำไมข้าไม่รู้”

ซู่ซินสบถอย่างเย็นชา ส่วนชิงหว่านยิ้มกระอักกระอ่วนและอธิบายว่า “ครึ่งชั่วยามก่อนมีสาวใช้มาแจ้งแล้ว”

ครึ่งชั่วยามก่อนหน้านี้หรือ

แล้วทำไมนางเพิ่งมารู้เอาป่านนี้

“รีบไปสิ มัวยืนบื้ออะไรอยู่ เดี๋ยวก็โดนท่านประมุขตำหนิหรอก” ซู่ซินสบถแล้วหันไปก้าวเดินฉับๆ

ดวงตาของเจียงหลีหรี่ลงและนางรู้สึกโดยสัญชาตญาณว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับซู่ซิน

“เจ้ารีบล้างหน้าสิ มาข้าช่วยเจ้าเอง” ชิงหว่านดึงแขนเสื้อเจียงหลีแล้วกระซิบ

“เจ้าไม่กลัวไปสายรึ” เจียงหลีถามนางอย่างสงสัย

ชิงหว่านพยักหน้าอย่างจริงใจ “กลัว แต่ถ้าเราสองคนไปสายพร้อมกัน หากท่านประมุขจะลงโทษ โทษก็คงเบาลงมาหน่อย”

เจียงหลีถูกนางผลักเข้าไปในห้องด้วยความรู้สึกงงเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าชิงหว่านไม่ต้องรอนางก็ได้ ตัวเองจะได้ไม่ต้องไปสาย

“ทำไมสาวใช้ถึงไม่มาเคาะห้องข้า” เจียงหลีเอ่ยถาม

ชิงหว่านยิ้มอย่างกระอักกระอ่วน ก้มหน้าและพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ถูกซู่ซินขวางเอาไว้”

ที่แท้ก็เป็นนางนี่เอง!

แสงเย็นเยียบวูบวาบไปทั่วดวงตาของเจียงหลี หลังจากเตรียมตัวอย่างรวดเร็ว เจียงหลีและชิงหว่านก็มุ่งหน้าไปยังวิหารหลวงซึ่งเป็นที่ประทับของประมุขสำนักพรตเสวียนหมิง

เมื่อมาถึงวิหารหลวงก็พบว่าซู่ซินยืนอยู่ในนั้นแล้ว เมื่อเห็นทั้งสองจูงมือกันเข้ามาดวงตาของนางก็เป็นประกายเยือกเย็นแล้วสบถออกมา

เจียงหลีเลิกสนใจนางชั่วคราว นางช้อนสายตามองที่ประทับของท่านประมุขในวิหารหลวง

อืม ยังดีที่ประมุขยังมาไม่ถึง พวกนางก็ไม่ถือว่ามาสาย

พวกนางทั้งสามยืนกลางวิหารหลวง ผ่านไปครู่หนึ่งสีหน้าของเจียงหลีก็ผ่อนคลายลง แต่สีหน้าของซู่ซินกลับดูย่ำแย่ แม้กระทั่งกับชิงหว่านยังเย็นชาเรียบนิ่งมากขึ้น

เจียงหลีหัวเราะไร้เสียงอย่างเย็นชา เกรงว่าซู่ซินคนนี้คงแกล้งพวกนางไม่ได้ผลจึงได้รู้สึกไม่พอใจเยี่ยงนี้

แน่นอน นางไม่พอใจแต่เจียงหลีพอใจเป็นอย่างยิ่ง

เสียงฝีเท้าก้าวเข้ามา ทั้งสามคนจึงเก็บซ่อนความคิดแล้วเงยหน้ามองขึ้นไป

ใบหน้าที่เต็มไปด้วยฝุ่นแป้งปรากฏต่อหน้าของเจียงหลีอีกครั้ง เขานั่งอยู่บนเบาะอย่างเกียจคร้านสายตาของเขาก็กวาดไปที่ทั้งสามคน

ไม่รู้เพราะเหตุใด เจียงหลีรู้สึกเสมอว่าการจ้องมองของเขาอยู่ที่นางเป็นเวลานาน ก่อนที่นางจะมองเห็นได้ชัดเจนขึ้น สายตาของผู้เป็นประมุขก็ถูกถอนออกไปเสียก่อน

“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พวกเจ้าต้องออกไปฝึกประสบการณ์” ทันใดนั้นท่านประมุขก็เอ่ยขึ้น

ฝึกประสบการณ์!

เจียงหลีหรี่ตา นี่กลับกลายเป็นโอกาสที่ดี

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด