ลิขิตกลกาล 136 บทเสริมของมู่เสวี่ยและหรงซู่ (2)

Now you are reading ลิขิตกลกาล Chapter 136 บทเสริมของมู่เสวี่ยและหรงซู่ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“อืม” หนานกงมู่เสวี่ยตอบรับอย่างไร้อารมณ์ “อย่าลืมคำพูดที่ท่านพูดไว้ก็แล้วกัน”

 

 

“ข้าไม่ลืมอย่างแน่นอน เรื่องที่ข้ารับปากเจ้าไว้ ข้าเคยผิดนัดเสียเมื่อไหร่?”

 

 

“แล้วพบกันพบใหม่!” หนานกงมู่เสวี่ยไล่เขาออกจากห้องของนางด้วยการ ปิดประตูใส่ดัง ‘ปั้ง’

 

 

เช่นนั้นท่านต้องเรียนให้เสร็จเร็วๆ ถึงจะดี..หนานกงมู่เสวี่ยยืนพิงประตู ร่างกายน้อยๆ นั่งขดตัวเป็นก้อนกลมและพูดกับตัวเองในใจว่า หนานกงซู่ ท่านจะต้องรีบเรียนให้จบไวๆ! หากท่านเรียนไม่จบสักที นางคง…เฮอะ คอยดูเถอะ

 

 

หนึ่งเดือนต่อจากนั้น หนานกงซู่ก็เก็บสัมภาระทั้งหมดและแวะมาที่จวนของเหิงชินอ๋องอีกครั้งหนึ่งเพื่อบอกลาหนานกงมู่เสวี่ย

 

 

หนานกงมู่เสวี่ยซบอยู่ในอกของบิดาตนเอง ให้ร่างน้อยๆ ของนางหันหลังให้กับทุกคนเพื่อไม่ให้เห็นหนานกงซู่อีก

 

 

เมื่อหนานกงซู่เห็นหนานกงมู่เสวี่ยเป็นเช่นนี้ก็หมดปัญญา เขาเองไม่เคยคิดเลยว่าเรื่องการบอกลา…จะเป็นเรื่องที่น่าเจ็บปวดเช่นนี้ แต่หากเขาครั้งนี้เขาไม่มาหานาง เขาก็ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้พบนางอีกทีเมื่อไหร่

 

 

“เช่นนั้น…ลาก่อน” หนานกงซู่ถอนหายใจ แล้วหันหลังจากไป

 

 

สุดท้าย ตอนที่หนานกงซู่เดินออกมาจากจวนอ๋องแล้ว หนานกงมู่เสวี่ยก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป นางร้องไห้โฮออกมา น้ำมูกน้ำตาไหลหลั่งราวกับนางกลับไปเป็นเด็กสามขวบในตอนนั้นอีกครั้ง

 

 

น่าเสียดายที่ครั้งนี้ไม่มีเด็กที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับนางให้นางยืมเสื้อผ้าเช็ดน้ำมูกและน้ำลายอีกต่อไปแล้ว

 

 

หนานกงมู่เสวี่ยร้องไห้อย่างหนัก นางไม่เข้าใจว่าทำไมนางถึงเศร้าใจเช่นนี้ เพราะเดี๋ยวหนานกงซู่ก็ต้องกลับมา มิใช่การร่ำลาอย่างถาวรเสียหน่อย แต่อย่างไรแล้วนางก็เสียใจอยู่ดี!

 

 

ความรู้สึกเช่นนี้เหมือนกับความรู้สึกตอนที่ปลาคาร์ปที่นางเลี้ยงตายไม่มีผิด! หนานกงมู่เสวี่ยแอบคิดในใจ แต่หนานกงซู่มิใช่ปลาคาร์ปเสียหน่อย เขาไม่มีทางตาย!

 

 

หนานกงมู่เสวี่ยพยายามให้กำลังใจตัวเอง ช่างเถิด ให้เขาไปตามทางของเขา! ถึงอย่างไรวันหน้าบักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นก็มีโอกาสจะรับลูกศิษย์อีกมิใช่หรือ? เมื่อถึงเวลานั้น…นางก็จะเป็นยอดฝีมือหญิงท่องยุทธภพ!

 

 

“เสวี่ยเอ๋อร์ ไม่ร้องแล้วหรือ?” เหิงชินอ๋องลองเอ่ยปากถาม “เจ้าเด็กนั่นมีอะไรดีถึงทำให้เสี่ยวมู่เสวี่ยของเราเสียใจได้ถึงขนาดต้องเสียน้ำตา! คนที่ทำให้เสี่ยวมู่เสวี่ยต้องร้องไห้ไปแล้วก็ดีเหมือนกัน! อีกอย่างต่อไปพ่อก็จะอยู่เป็นเพื่อนเล่นกับเจ้าดีหรือไม่?”

 

 

หนานกงมู่เสวี่ยใช้แขนเสื้อเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าตัวเอง แล้วฝืนยิ้มพร้อมเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านพ่อๆ ลูกหิวแล้วเจ้าค่ะ ลูกอยากกินขนมแป้งทอดน้ำตาล เมื่อกี้นี้ลูกเห็นอาซู่พกขนมแป้งทอดน้ำตาลตั้งมากมายไปกินระหว่างทาง ลูกก็เลยรู้สึกเศร้าเจ้าค่ะ!”

 

 

“ท่านพ่อๆ ลูกก็อยากกินขนมแป้งทอดน้ำตาล!”

 

 

เหิงชินอ๋องทำหน้าเอือมระอามองไปยังลูกสาวของตัวเองที่ร้องไห้โฮเพราะขนมแป้งทอดน้ำตาลชิ้นหนึ่ง ตอนนั้นเขาพลันไม่รู้ว่าจะเอ่ยว่าอะไรดี เพราะตอนที่นางอ้าปากตะเบ็งเสียงร้องไห้นั้น เขาก็เห็นฟันผุๆ ของนางได้อย่างชัดเจน!

 

 

“มู่เสวี่ย…” เหิงชินอ๋องทำน้ำเสียงอ่อนโยน “ตอนนี้ฟันของเจ้า… หมอหลวงก็บอกเอาไว้แล้วว่าช่วงนี้เจ้าต้องพยายามไม่กินขนมหวาน! ห้ามกินอยากกินของหวานบ่อยๆ อีก!

 

 

หนานกงมู่เสวี่ยทำหูทวนลม ไม่ยอมหยุดร้องไห้ฟังคำพูดของเหิงชินอ๋อง เนื่องจากตอนนี้นางโศกเศร้าถึงเพียงนี้แล้ว! แต่ท่านพ่อของนางกลับไม่ยอมให้นางกินขนมแป้งทอดน้ำตาลสักชิ้น! นางก็ต้องร้องไห้มากขึ้นกว่าเดิมอยู่แล้ว!

 

 

“เอาล่ะๆๆ” สุดท้ายเมื่อเหิงชินอ๋องเห็นหนานกงมู่เสวี่ยร้องไห้จนเสียงแหบแห้งจนเริ่มไอ แต่กลับยังไม่ยอมหยุดร้อง เขาเลยต้องเป็นฝ่ายยอมแพ้

 

 

“กินได้แค่ชิ้นเดียวนะ! และเมื่อกินเสร็จแล้วจะต้องรีบไปบ้วนปาดแปรงฟัน เข้าใจหรือไม่?”

 

 

“อืม” หนานกงมู่เสวี่ยหยุดร้องไห้ทันทีแล้วพยักหน้า “ลูกเข้าใจแล้ว”

 

 

เหิงชินอ๋องจึงวางนางลงอย่างเหลืออดแล้วเรียกสาวใช้เข้ามา “เอาเสี่ยวจวิ้นจู่ไปกินข้าวเถิดแล้วจับดูไว้ดีๆ ก็พอ”

 

 

หนานกงมู่เสวี่ยจูงมือสาวใช้คนนั้นอย่างพออกพอใจแล้วเดินไปยังห้องครัวอย่างร่าเริง หากดูจากตอนนี้ การร่ำลาของหนานกงซู่ก็ถือเป็นเรื่องที่ไม่เลวเลยทีเดียว เพราะทำให้นางมีโอกาสได้กินขนมแป้งทอดน้ำตาลด้วย!

 

 

 ……

 

 

“จวิ้นจู่ เหนื่อยแล้วหรือเพคะ? สาวใช้ที่เก็บที่นอนให้หนานกงมู่เสวี่ยที่อยู่ด้านข้างเห็นท่าทางดังนั้นก็รีบถาม  “หรือว่า จวิ้นจู่หิวแล้ว!” เฮ้อ ช่วงนี้จวิ้นจู่ก็มิรู้เป็นอะไร อาหารมื้อเย็นก็กินไปนิดเดียวเท่านั้น ตอนนี้จวิ้นจู่อยู่ในวัยที่กำลังเจริญเติบโตด้วย! หากวันหนึ่งๆ กินน้อยขนาดนี้ ต่อไปร่างกายของนางจะทนไหวได้อย่างไร?

 

 

“อืม เริ่มหิวนิดหน่อยแล้ว” หนานมู่เสวี่ยวางพู่กันที่กำลังวาดรูปเล่นลง “ข้าหิวแล้ว”

 

 

เมื่อสาวใช้ได้ยินคำพูดดังนี้ ใบหน้าของนางก็ปรากฏรอยยิ้มอย่างเบิกบานใจแล้วเอ่ยว่า “บ่าวจะรีบไปยกมาให้จวิ้นจู่เดี๋ยวนี้เลยเจ้าค่ะ”

 

 

หนานกงมู่เสวี่ยรอเป็นเวลานาน ในที่สุดก็หิวจนเริ่มทนไม่ไหว สุดท้ายในขณะที่ท้องของหนานกงมู่เสวี่ยร้องแล้วร้องอีกไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบนั้น นางก็ทนไม่ได้จึงวิ่งไปยังอีกด้านหนึ่งแล้วหยิบผ้าคลุมผืนเล็กของตัวเองขึ้นมาคลุมตัวเองไว้แล้วเดินออกไปข้างนอก

 

 

“หนาวจัง!” หนานกงมู่เสวี่ยถูมือ แล้ววิ่งไปทางห้องครัว หากรู้แต่แรกว่าด้านนอกหนาวขนาดนี้ นางคงอยู่รอในห้องต่อจะดีกว่า เฮ้อ!

 

 

น่าเสียดายที่นางออกมาแล้ว แถมยังเดินมาได้ครึ่งทางแล้ว ดังนั้นรีบเดินต่อไปให้ถึงจะดีกว่า

 

 

“กลิ่นอะไรน่ะ?” จมูกของหนานกงมู่เสวี่ยสูดกลิ่นฟุดฟิด ทำไมถึงได้กลิ่นว่ามีของบางอย่างไหม้? หรือว่าอาหารไหม้หมดแล้ว?

 

 

 

 

 

 

“อ๊า!” เสียงกรีดร้องเล็กแหลมทำลายความเงียบสงบยามค่ำคืนสิ้น “ช่วยด้วย! ใครก็ได้ช่วยด้วย!”

 

 

ฝีเท้าของหนานกงมู่เสวี่ยหยุดชะงัก สายตาทั้งคู่ของนางเหม่อลอยไปที่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตรงหน้า

 

 

ไฟ ไฟไหม้รุนแรงมาก! เป็นไฟที่ทำให้ท้องฟ้านี้สว่างไสว

 

 

“จวิ้นจู่ตื่นแล้ว  จวิ้นจู่ตื่นแล้ว!”

 

 

“ท่านพ่อ ท่านแม่”  หนานกงมู่เสวี่ยมองไปยังกลุ่มคนด้านหน้าด้วยความสับสน นี่นางกำลังฝันไปหรือ? นางจำได้ว่า…ตอนนี้ยังเป็นตอนกลางคืนอยู่ชัดๆ

 

 

“รีบไปนอนซะ อย่ามาเพ่นพ่าน!” คนที่เอ่ยขึ้นของแม่ของนางแท้ๆ ของนางที่มีแซ่เดิมว่าสวี่ “เจ้าเด็กโง่ ไม่มีธุระอะไรแล้วจะมาวิ่งเล่นอะไรตรงนี้?”

 

 

วิ่งเล่น?

 

 

หนานกงมู่เสวี่ยพิจารณาคำสองคำนี้ นั่นก็หมายความว่า นี่ไม่ใช่ความฝัน? เช่นนั้นนางก็จำได้ว่าทิศทางที่มีเปลวไฟลุกโชนอยู่…มาจากจวนอันผิงอ๋อง!

 

 

พวกอันผิงอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง! แล้วอาซู่ล่ะเป็นอย่างไรบ้าง! แค่กๆ แค่กๆ” เมื่อหนานกงมู่เสวี่ยเริ่มเข้าใจเหตุการณ์ตรงหน้าจึงรีบเอ่ยปากถามอย่างรีบร้อน คิดไม่ถึงว่าตอนที่เอ่ยปากถามไปเช่นนี้ นางจะรู้สึกเหมือนว่าคอของนางเหือดแห้งราวกับกาน้ำร้อนที่ถูกต้มจนน้ำระเหยไป คอของนางแห้งเสียจนทำให้นางรู้สึกเจ็บปวดยามจะเอ่ยปาก

 

 

แม่นางแซ่สวี่หลบสายตาหนานกงมู่เสวี่ยที่กำลังไล่ถามนาง แล้วดึงตัวนางซุกไว้ในผ้าคลุม “มู่เสวี่ย ตอนนี้ไม่ใช่สถานการณ์ที่เจ้าจะช่วยได้ ตอนนี้ร่างกายของเจ้าต่างหากเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด หมอหลวงบอกว่าวันนั้นเจ้าตากลมจนเป็นไข้ ตอนนี้เจ้าต้องรักษาตัวให้ดี”

 

 

หนานกงมู่เสวี่ยไม่เอ่ยอะไร วันนั้นนางเป็นลมล้มฟุบไป ราวกับ…เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นราวกับไม่ใช่เรื่องบังเอิญ

 

 

“ท่านแม่ ลูกเข้าใจแล้ว” หนานกงมู่เสวี่ยนอนอย่างว่าง่ายแล้วยิ้มขึ้นมา เป็นรอยยิ้มอันบริสุทธิ์เช่นเดิมของนาง “เช่นนั้นข้าขอนอนก่อน ท่านกับคนอื่นๆ ออกไปเถิดเพคะ มิเช่นนั้นข้าคงนอนไม่หลับ”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด