ลิขิตกลกาล 138 บทเสริมของมู่เสวี่ยและหรงซู่ (4)

Now you are reading ลิขิตกลกาล Chapter 138 บทเสริมของมู่เสวี่ยและหรงซู่ (4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“พวกเขาสบายดี” หนานกงมู่เสวี่ยเงยหน้าขึ้นด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ “ท่านพ่อกับท่านแม่ของท่านบอกว่าอยากให้ท่านตั้งใจเล่าเรียนอยู่ที่นี่ หากไม่มีธุระสำคัญก็มิต้องกลับลงมา มิเช่นนั้นเรียนครึ่งๆ กลางๆ จะไม่ได้เรื่อง ถึงเวลานั้นหากท่านขายหน้าผู้อื่น พวกเขาก็มีส่วนขายหน้าด้วยเช่นกัน!”

 

 

อาซู่ให้อภัยข้าเถิด หนานกงมู่เสวี่ยถอนใจ มือน้อยๆ ของนางกำไว้แน่น ให้อภัยนางเถิด นางรู้สึกหวาดกลัวมากก็เท่านั้น…

 

 

“เช่นนี้เอง” หนานกงซู่พยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม “เช่นนั้นก็ดี ในเมื่อพูดเช่นนี้แล้วข้าก็ต้องเร่งฝึกซ้อมมากขึ้นหน่อยแล้ว”

 

 

ใบหน้าของหนานกงมู่เสวี่ยยังคงมีรอยยิ้มปรากฏอยู่ดังเดิม นางไม่เอ่ยอะไร อาซู่ หากท่านสามารถ…ไม่รับรู้ไปตลอดก็คงจะดี

 

 

สิบปีต่อมา

 

 

“ท่านอาจารย์!” หนานกงมู่เสวี่ยขวางทางของนักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นเอาไว้ “ท่านอาจารย์ ลูกศิษย์อย่างพวกเรามีเรื่องราวอีกตั้งมากมายที่ยังไม่ได้เรียนนะเจ้าคะ! ท่านอย่าไล่พวกเราไปจากที่นี่อย่างนี้!” นางไม่อยากลงจากภูเขา! นางอุตส่าห์ปิดบังความลับมาตั้งสิบปี นางมิอาจยอมให้เขารู้เรื่องราวนั้นได้!

 

 

“อาเสวี่ย” นักบวชเต๋าหลิงอวิ๋นถอนใจ “ผ่านมาสิบปีแล้ว เขาควรรู้ได้แล้ว”

 

 

สิบปีมานี้ หนานกงซู่มิเคยลงจากภูเขาเลยแม้แต่ครั้งเดียว ไม่ว่าจะเป็นออกไปซื้อของหรือว่าอะไรก็ตาม เวลาที่หนานกงซู่จะลงจากเขาทีไรก็มักจะถูกหนานกงมู่เสวี่ยหละนักกบวชเต๋าหลิงอวิ๋นขัดขวางไว้ทุกครั้ง

 

 

เนื่องจากเวลาที่หนานกงซู่เห็นหนานกงมู่เสวี่ยร้องไห้ เขาก็อับจนหนทาง สุดท้ายแล้วเขาก็ต้องยกมือยอมแพ้แล้วรับปากว่าจะไม่ลงไป

 

 

แม้ว่าเขาจะเคยสงสัยและเอ่ยถามมาก่อน แต่…เพราะนางคือหนานกงมู่เสวี่ย คนที่หนานกงซู่เชื่อถือมากที่สุด นางไม่ให้ไป เขาก็ไม่ไป

 

 

 

 

 

 

“แต่…” ในใจของหนานกงมู่เสวี่ยพยายามขัดขืน “ท่านอาจารย์ ไม่มีหนทางอื่นแล้วหรือเจ้าคะ?” เสียงของหนานกงมู่เสวี่ยเบาลง น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยการขอร้อง

 

 

และความหวังสุดท้าย

 

 

นางรู้ดีว่านางมิอาจปิดบังไปได้ตลอดชีวิต ทว่า…ช่วยต่อเวลาให้นานมากขึ้นกว่านี้ได้หรือไม่? นางกลัวอย่างยิ่ง…

 

 

นิสัยของหนานกงซู่ใช่ว่านางจะไม่รู้ หากเขารู้เรื่องนี้เข้าล่ะก็…

 

 

“อาเสวี่ย เหตุใดเจ้าไม่ทำให้เขาเชื่อเจ้าเล่า? เพราะเรื่องเรื่องนั้น…ก็โทษเจ้ามิได้”

 

 

“ข้า…” หนานกงมู่เสวี่ยไร้คำพูด เวลาผ่านไปเนิ่นนาน นางจึงเอ่ยขึ้นว่า “ได้…”

 

 

นางยินดีจะพนันสักตั้ง พนันด้วยความสัมพันธ์สิบปีที่ผ่านมา ได้หรือไม่…อาซู่ ท่านจะโทษข้าหรือไม่? หนานกงมู่เสวี่ยแอบถอนใจ ข้าไม่อยากเสียท่านไปจริงๆ

 

 

ด้านล่างเขา หนานกงซู่กลับไปถึงสถานที่เก่าแต่แรกแล้ว แต่กลับเห็นจวนที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้งหมดรวมทั้งบรรดาคนรับใช้แปลกหน้า…ตอนนั้นเขาพลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีเกิดขึ้น

 

 

“พี่ชาย ขอถามท่านสักหน่อย” หนานกงซู่ยื่นมือออกไปดึงคนที่เดินออกมาจากประตูจวน “ข้าขอถามว่า จวนอันผิงอ๋องย้ายไปแล้วหรือ? เมื่อก่อน…ที่นี่คือจวนอันผิงอ๋องมิใช่หรือ?”

 

 

ชายผู้นั้นเดิมทีตอนที่ถูกรั้งเอาไว้ก็รู้สึกไม่ชอบใจเท่าไหร่นัก แต่เมื่อมองเห็นใบหน้าซื่อๆ ของหนานกงซู่แล้วแถมยังดูสุภาพนุ่มนวลจึงหันกลับไปตอบอย่างเหลืออด “น้องชาย เจ้าคงเพิ่งจะเข้าเมืองหลวงมาสิท่า? แต่เจ้าก็ไม่ควรจะไม่รู้นี่ เจ้าไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นกับจวนอันผิงอ๋องเมื่อสิบปีที่แล้วเลยหรือ?”

 

 

“เรื่องใดกัน…?” นิ้วชี้ของหนานกงซู่หดกลับ น้ำเสียงของเขาสั่นเครือออกมาเล็กน้อย

 

 

“ก็เรื่องราวของพรรคพวกของรัชทายาทเมื่อสิบปีก่อนนั่นไง!” คนผู้นั้นเบาเสียงลง “คนของจวนอันผิงอ๋อง…ไม่มีเหลืออีกแล้ว! ว่ากันว่าเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อครั้งนั้นเผาไหม้จนไม่เหลือแม้กระทั่งหมาแมวสักตัว ดังนั้นมิต้องเอ่ยถึงคน! จวนอ๋องของราชสำนักก็หายไปเช่นนี้!”

 

 

 

 

 

 

หนานกงซู่ไม่รู้ว่าตนกลับขึ้นไปบนเขาได้อย่างไร เขารู้เพียงว่าระหว่างทาง คำพูดของคนผู้นั้นดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่ในหูของเขามิอาจหยุดยั้งได้

 

 

“อาซู่…” หนานกงมู่เสวี่ยเห็นเงาของหนานกงซู่สั่นไหวจึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปพยุงเขาไว้ “ท่าน…”

 

 

“เจ้ารู้แต่แรกแล้วใช่หรือไม่” น้ำเสียงของหนานกงซู่เอ่ยขึ้นอย่างสงบนิ่งไม่มีความโกรธแฝงอยู่แม้แต่น้อย “เจ้ารู้แต่แรกแล้ว แต่เจ้ากลับหลอกข้ามาสิบปี!”

 

 

“ข้า ข้ามิได้ตั้งใจ!” เสียงของหนานกงมู่เสวี่ยสั่นเครือ หนานกงซู่ตอนนี้เหมือนคนที่นางไม่เคยเห็นมาก่อน สายตาที่เขาใช้มองนาง…ราวกับว่านางเป็นสิ่งของสกปรกอย่างไรอย่างนั้น

 

 

“ข้า ข้าแค่มิรู้ว่า…ควรจะเอ่ยกับท่านเช่นไร” เวลาสิบปี นางคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าจะสารภาพความจริงกับหนานกงซู่ ทว่าทุกครั้งที่คำพูดมาจ่อที่ปากของนางก็มักจะถูกนางกล้ำกลืนลงไป นางไม่กล้าพนัน นางคิดว่าให้วันเวลาผ่านไปเช่นนี้จะดีกว่า…เพราะกว่าวันนั้นจะมาถึง อย่างก็คง…คงจะอีกนาน

 

 

แต่อันที่จริงแล้วไม่นานนัก เพียงพริบตาเดียว เวลานี้ก็มาถึงแล้ว

 

 

“อันที่จริงพูดเรื่องนี้ไปก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว”

 

 

หนานกงมู่เสวี่ยฟังคำพูดของหนานกงซู่ ในใจของนางจึงอดไม่ได้ที่จะมีความหวังขึ้นมา ความหมายของอาซู่…หรือว่าเขาไม่ต้องการจะไล่ถามอะไรจากนางแล้ว?

 

 

“ถึงอย่างไรพูดตอนนี้ก็สายไปเสียแล้วมิใช่หรือ” หนานกงซู่ยิ้มเย้ยหยันอย่างเย็นชา “เป็นข้าที่โง่เอง ถึงโดนเจ้าหลอกมาถึงสิบปี”

 

 

“เจ้ากลัวอะไร? กลัวว่าข้าจะโกรธเจ้างั้นรึ? หนานกง เจ้ารู้หรือไม่ว่าตอนนี้ข้าคิดอะไรอยู่?”

 

 

“บิดามารดาขอข้าที่ตายไปเมื่อสิบปีก่อน ข้าในฐานะที่เป็นลูกชาย ข้ากลับเพิ่งจะรู้ตอนนี้ อีกอย่างข้าในวันนี้ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าหลุมศพของพวกเขาอยู่ที่ไหน อีกอย่างเหตุการณ์สุดท้าย…”

 

 

 

 

 

 

“หนานกง หากวันนั้นเจ้าบอกข้าตั้งแต่วันที่ขึ้นเขามาหาข้า ข้าคิดว่าเหตุการณ์ตอนสุดท้าย ข้าจะยังกลับไปทัน เจ้าว่าถูกหรือไม่?”

 

 

น้ำตาของหนานกงมู่เสวี่ยค่อยๆ ไหลออกมาแล้วมองไปยังหนานกงซู่ นางไม่กล้าเอื้อนเอ่ย เพราะตอนนี้นางรู้สึกว่า…นางมิอาจเอ่ยถ้อยคำใดๆ ออกมาได้เลยแม้แต่คำเดียว

 

 

หนานกงซู่กล่าวมิผิด เหตุการณ์ตอนสุดท้าย พิธีฝังศพและส่งวิญญานในตอนนั้น นางล้วนรับรู้ทั้งสิ้น ทว่า…นางกลับเลือกที่จะปิดบังและไม่พูดเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดกับเขา

 

 

“ให้เจ้า” หนานกงซู่หยิบปิ่นปักผมออกมาจากอก จากนั้นเขาก็โยนมันทิ้งลงกับพื้น

 

 

ฝีมือในการทำปิ่นอันนั้นไม่ค่อยประณีตนักทั้งยังเรียบง่ายไร้การออกแบบ ทว่ากลับเห็นได้อย่างชัดเจนว่าผู้ทำมันขึ้นมานั้นต้องทุ่มเทแรงกายแรงใจมากขนาดไหน

 

 

“ข้ามอบให้เจ้า” หนานกงซู่มองไปยังปิ่นปักผมที่หักเป็นสองท่อนบนพื้น “ถือว่าเป็นของตอบแทนสำหรับการกระทำของเจ้า? และเรื่องราวน่าตื่นตะลึงที่เจ้ามอบให้ข้าแล้วกัน”

 

 

หนานกงมู่เสวี่ยก้มตัวลงไปเก็บปิ่นปักผมสองท่อนนี้ขึ้นมา สุดท้ายจึงอดไม่ได้ที่จะร้องไห้โฮออกมา

 

 

“หนานกงมู่เสวี่ย น้ำตาของเจ้าตอนนี้มันไม่มีค่าอะไรแล้ว” หนานกงซู่เอ่ยขึ้นอย่างแผ่วเบาราวกับลมพัดก็สามารถทำให้มันหายไปในอากาศได้ “อีกเรื่องหนึ่งคือ ต่อจากนี้ไปพวกเราสองคนอย่าได้มาเจอกันอีกเลยจะดีกว่า”

 

 

เพราะหากเจอกันอีกครั้งก็คงกลายเป็นศัตรูกันไปแล้ว เช่นนั้นจะเจอกันอีกทำไมเล่า? หากให้นับว่าเป็นศัตรูเขาคงทำใจคิดแค้นไม่ได้ เช่นนั้นก็เป็นเพียงแค่…คนสวนทางกันก็พอ

 

 

ต่อจากนี้ไปเจ้ากับข้าไม่มีสิ่งใดข้องเกี่ยว ถือว่าเป็นการชดเชยความสัมพันธ์สิบปีที่ผ่านมานี้ก็แล้วกัน

 

 

    ……

 

 

“หนานกงซู่ เหตุใดท่านถึงใจร้ายนัก” หนานกงมู่เสวี่ยนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งแล้วมองไปยังปิ่นปักผมที่อยู่ในมือ แล้วรวบรวมสมาธิพูดกับตัวเอง “อาซู่ ข้าผิดไปแล้ว…ข้ายอมรับผิดยังมิพอหรือ?” นางเพียงแค่…หากย้อนเวลากลับไปได้ อาซู่ข้าไม่มีทางปิดบังท่านอย่างแน่นอน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด