ลิขิตกลกาล 73 ของขวัญ
เมื่อหรงซู่เห็นซูเหลียนอวิ้นอธิบายเหตุผลอย่างขึงขังจริงจังเช่นนี้ก็หัวเราะแล้วเอ่ยว่า “ดูท่าเจ้าคงไม่เป็นอะไรแล้ว ข้าคงกังวลมากเกินไป ข้ายังหวังว่าคืนนี้เจ้าจะไม่กินเลยสักคำ จากนั้นกระต่ายทั้งตัวนี้จะได้เป็นของข้า” ระหว่างพูดไปน้ำเสียงก็เริ่มเสียดาย
“ท่านคิดมากเกินไปแล้ว…” เศร้าครู่เดียวก็พอแล้ว จะยังคิดมากอยู่ทำไม หรืออีกอย่างหนึ่ง ตายก็ตายไปแล้ว…สู้เอาเวลามาคิดว่าจะกินอย่างไรให้อร่อยดีกว่า
ซูเหลียนอวิ้นยังคงฉีกเนื้อกระต่ายกินต่อไป เพียงครู่เดียว กระต่ายที่ดูอวบอ้วนอยู่เมื่อครู่เหลือแต่เพียงโครงกระดูก
เมื่อดื่มกินจนอิ่มหนำแล้ว ซูเหลียนอวิ้นก็ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อดี จึงเริ่มเดินวนอยู่รอบกระท่อมไม้ไผ่ ทว่าในขณะที่กำลังจะลุกขึ้น นางก็เหลือบไปเห็นกระบี่เหยี่ยนชิงที่วางอยู่บนโต๊ะหิน
ภายใต้แสงจันทราสาดส่อง กระบี่ล้ำค่านี้ดูนุ่มนวลวิบวับ แต่มิได้ดูคมปลาบเท่าตอนกลางวัน ชั่งเป็นกระบี่ชั้นยอดเล่มหนึ่ง ซูเหลียนอวิ้นคว้ากระบี่เข้ามาอยู่ในมือแล้วลองกวัดแกว่งไปมา แต่น่าเสียดาย…
“ท่านอาจารย์เจ้าคะ ท่านอาจารย์!”
“อะไรกัน? เกิดอะไรขึ้น! หมาป่ามาหรือ? ถึงตะโกนได้น่าตกอกตกใจเช่นนี้…” หรงซู่เดินออกมาจากกระท่อมอย่างไม่มีทางเลือก ในอกยังคงอุ้มของจำพวกขวดและกระถางอยู่
“ท่านอาจารย์ ข้าใกล้จะต้องปักปิ่นแล้ว” ซูเหลียนอวิ้นพยายามทำตาปริบๆ เพื่อให้เขาเห็นได้อย่างชัดเจน
“อื้ม แล้วอย่างไรต่อ?” หรงซู่ใช้สีหน้าแล้วอย่างไร เกี่ยวอะไรกับข้า มองไปยังนาง
จากนั้นจึงวางขวดและถังเหล่านั้นไว้บนโต๊ะ เขาเดินลงมาแล้วยื่นมือไปดึงมือซ้ายของซูเหลียนอวิ้นเข้ามา ใช้แสงของเปลวเทียนส่องดูรอยแผลข่วนอย่างละเอียด
ซูเหลียนอวิ้นยื่นมือขวาไปข้างหน้าอย่างใสซื่อแล้วเอ่ยต่อว่า “ท่านอาจารย์เจ้าคะ กระบี่ของท่านเล่มนี้เยี่ยมมากและงามมากเช่นกัน!
“ไร้สาระ! เจ้าก็ดูสิว่าเจ้าของมันคือใคร จะไม่ดีได้อย่างไร”
“ท่านอาจารย์เจ้าคะ…” เมื่อซูเหลียนอวิ้นเห็นว่าหรงซู่ไม่ยอมใส่ใจบทสนทนาของตนก็ก้มหน้ามองพื้น “ท่านอาจารย์ ข้าก็อยากมีกระบี่สักเล่ม หรือไม่ก็เป็นอาวุธติดมือสักชิ้นหนึ่งก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นกระบี่ก็ได้!”
“อื้ม” หรงซู่ไม่แม้แต่จะเหลือบตาขึ้นมามอง
“อื้ม?” ซูเหลียนอวิ้นไม่พอใจคำตอบนี้เป็นอย่างมาก “อื้ม หมายความว่าอย่างไร? ท่านอาจารย์เจ้าคะ เมื่อชาติที่แล้วตอนข้าปักปิ่นท่านก็ไม่ได้ให้ของขวัญอะไรข้าเลย!”
“ไร้สาระ! เจ้าเรียนวิชาตัวเบาแล้วหรือยัง? เจ้าฝึกสำเร็จในฝันร้ายของเจ้าใช่หรือไม่?” หรงซู่เอ่ยขึ้น น้ำหนักมือของเขาพลันหนักขึ้นตามไปด้วยแล้วเอ่ยต่อว่า “วิชาที่อาจารย์สอนแก่เจ้ายังไม่มีค่ามากพอหรือ? สายตาของเจ้าชั่งตื้นเขินนัก วันๆ มัวแต่สนใจวัตถุสามัญเหล่านั้น”
“เจ็บๆๆ! นั่นเป็นเพราะข้าเป็นคนธรรมดาสามัญนี่เจ้าคะ คนธรรมดาสามัญย่อมชอบของสามัญ”
หรงซู่ “…”
“ดูแล้วเจ้ายังไม่เข้าใจถึงแก่นแท้ในวิชาที่ข้าสอน เงินทองเป็นของนอกกาย! เด็กน้อยอย่างเจ้าถึงได้พร่ำร้องหาแต่เงิน รสนิยมต่ำเหลือทน!”
“ท่านอาจารย์แล้วตอนที่ท่านตะโกนร้องขายยาให้แก่ชาวบ้าน ท่านไม่ได้พูดเช่นนี้นี่เจ้าคะ หากมีผู้ให้เงินท่านขาดไปแม้แต่เหรียญเดียวท่านก็คงจะไม่ยอมอย่างแน่นอน” ซูเหลียนอวิ้นวางกระบี่เหยี่ยนชิงลงแล้วยื่นมือขวาของตนออกไป จากนั้นจึงพูดขัดคอต่อไปว่า
“อีกอย่างตัวท่านเอง เสื้อตัวนี้ของท่าน…ดูแล้วคงจะเป็นผ้าต่วน[1]เย่ว์หัวกระมัง? ราคาก็คงไม่ต่ำกว่าสองพันตำลึงต่อหนึ่งพับ ท่านอาจารย์ดูถูกเงินเป็นที่สุด แต่สิ่งที่ท่านสวมใส่อยู่ในตอนนี้ก็นับว่าเป็นเงินเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงมิอาจให้วัตถุนอกกายเหล่านั้นมาแปดเปื้อนความบริสุทธิ์และความสูงส่งเหนือวัตถุอย่างท่านอาจารย์ได้ เช่นนั้นท่านอาจารย์มอบเสื้อตัวนี้ให้ข้าเถิดเจ้าค่ะ ข้าไม่รังเกียจของนอกกาย”
หรงซู่ฟังคำพูดประชดประชันต่างๆ ของซูเหลียนอวิ้นแล้วก็มิได้แสดงท่าทีอะไรออกไป เพียงทายาให้นางต่ออย่างระมัดระวัง จากนั้นจึงบิดแก้มของนางแล้วเอ่ยว่า “ข้าไม่ได้เจอเจ้าเพียงไม่กี่วัน ความสามารถในการประชดประชันของอวิ้นเอ๋อร์ร้ายกาจมากทีเดียว หุบปากไปซะเดี๋ยวนี้!”
“วางใจเถิด” หรงซู่ก้มหน้าก้มตาเก็บยาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะแล้วเอ่ยต่อขึ้น “อีกไม่นานเจ้าก็จะมีกระบี่ชั้นยอดของตัวเองแล้ว ในพิธีปักปิ่นของเจ้าวันนั้น”
“จริงหรือเจ้าคะ?” ซูเหลียนอวิ้นเบิกตากลมทั้งสองข้าง เพราะนางไม่ได้คาดหวังว่านางจะได้อะไรจากหรงซู่ จากคำพูดของหรงซู่แล้ว วิชาต่างๆ ที่เขาสอนให้นางนั้น คุณค่าของมันมีค่ามากกว่ากระบี่ชั้นยอดเล่มใดๆ ทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่นางจะอยากได้ของอะไรจากเขา เมื่อครู่ที่นางเอ่ยปากก็เพียงพลั้งปากพูดไปก็เท่านั้น คิดไม่ถึงว่าจะได้ของขวัญจริงๆ?
“อืม” หรงซู่พยักหน้า
“ท่านอาจารย์เจ้าคะ โชคหล่นทับท่านหรือ? ถึงได้ใจกว้างเพียงนี้” เพราะฐานะด้านเงินทองของหรงซู่นั้น…
หรงซู่เหล่ตามองนาง “ข้าบอกหรือว่าข้าจะเป็นคนให้เจ้า?”
“เช่นนั้นใครจะให้ข้าเล่า?” ซูเหลียนอวิ้นเลิกคิ้วขึ้น เพราะพิธีปักปิ่นบ้านไหนที่เขาให้กระบี่เป็นของขวัญกันหรือ? แม้ว่านางจะเป็นคนของตระกูลแม่ทัพก็ตาม แต่ของเช่นกระบี่…แถมนางยังเป็นสตรีนางหนึ่ง
บางทีคนผู้นั้นอาจจะรู้ว่านางมีความสนใจในด้านนี้ก็ได้?
“คือ…” หรงซู่อ้าปากจะเอื้อนเอ่ย ทว่าคล้ายคิดสิ่งใดขึ้นมาได้ จึงเปลี่ยนคำพูดไปจากเดิมแล้วเอ่ยว่า “เป็นคนที่เจ้ารู้จัก มอบให้เจ้า”
“ท่านอาจารย์วาจาของท่าน พูดก็เหมือนไม่ได้พูด” ซูเหลียนอวิ้นมีสีหน้าไร้อารมณ์ “หากเป็นคนที่ข้าไม่รู้จัก แล้วจู่ๆ ยื่นมือมอบกระบี่ชั้นยอดเล่มหนึ่งให้ข้า คนผู้นั้น หากมิใช่เป็นคนที่อยู่ในตระกูลที่ร่ำรวยมากๆ ก็คงจะเป็นคนที่สมองมีปัญหาแน่”
“ทำไมถึงไม่คิดว่าคนผู้นั้นแอบชอบเจ้าเล่า? ดังนั้นจึงพยายามเอาอกเอาใจเจ้า?”
ซูเหลียนอวิ้นได้ยินดังนั้นก็ผงะถอยไปด้านหลัง แล้วใช้สายตาราวกับมองตัวประหลาดจ้องมองหรงซู่ “ท่านอาจารย์ ท่านสบายดีใช่หรือไม่?”
ชอบนางหรือ? เอ่อ ก็ได้ ก็พอเป็นไปได้ แอบชอบธิดาของแม่ทัพผู้ปกป้องแผ่นดิน พอเข้าใจได้
ซูเหลียนอวิ้นคิดว่า นางในตอนนี้ แม้มิได้ไล่ตามต้วนเฉินเซวียนต้อยๆ ไปทั่วเมืองจนได้ชื่อว่าไม่ห่วงชื่อเสียงตัวเอง แต่ตัวนางไม่ว่าจะในสายตาของคุณชายตระกูลไหน ก็คงไม่มีทางมีอะไรดีอย่างแน่นอน
เพราะจะมีตระกูลใดเต็มใจหรือเตรียมจะยอมรับสตรีที่ก้าวร้าวโผงผาง จิตใจโหดเ**้ยมและชอบลงไม้ลงมือมาเป็นนายหญิงของบ้าน? แถมคนผู้นี้ยังทำให้พระสนมผู้เป็นที่โปรดปรานที่สุดอย่างหยางกุ้ยเหรินไม่พอใจอีกด้วย
แม้ว่าช่วงนี้ซูเหลียนอวิ้นจะไม่ค่อยได้ออกจากเรือน แต่นางอ้างอิงเอาจากข่าวลือต่างๆ ในเมืองหลวงของเมื่อชาติที่แล้ว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานฉลองวสันตฤดู สุดท้ายแล้วข่าวลือจะต้องถูกปล่อยออกมาว่านางเป็นสตรีที่ก้าวร้าวโหดเ**้ยมและชอบลงไม้ลงมืออย่างแน่นอน ทั้งยังได้ภาพลักษณ์ของสตรีที่ไม่มีใจเมตตาผู้อื่นอีกด้วย
เป็นเพราะตระกูลหยางไม่มีทางปล่อยนางเอาไว้อย่างแน่นอน หากไม่พูดสาดโคลนให้นางสักหน่อย คงถือว่าไม่ให้ความสำคัญกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในงานฉลองวสันตฤดูคืนนั้น
หากกล่าวเช่นนี้แล้วยังมีคนชอบนางอยู่อีก ซูเหลียนอวิ้นคงต้องเอ่ยปากชมคนผู้นั้นสักประโยค พี่ชายช่างมีรสนิยมดียิ่ง! สตรีที่อ่อนโยนบอบบางราวกับดอกต้นผักไหมมีอยู่ทั่วเมืองกลับมิชอบ แต่กลับ…ชอบดอกไม้อย่างนาง…
ถึงอย่างไรในชาตินี้ นางก็มิเคยมีความคิดว่าจะแต่งงานกับผู้ใด นางเพียงคิดว่าจะอยู่เป็นเพื่อนคนในครอบครัวและเสพสุขอยู่ในช่วงเวลาดีๆ เช่นนี้ เรื่องการแต่งงานอะไรนั่น อย่าเพิ่งไปคิดถึงมันเลย
เมื่อหรงซู่เห็นซูเหลียนอวิ้นตกอยู่ในภวังค์เช่นนั้นก็แอบถอนหายใจ จากนั้นก็นึกคำพูดใดไม่ออกอีก จึงทำได้เพียงแอบถอนใจให้คนผู้หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “อาจารย์คงพูดได้เพียงเท่านี้ เพราะหากไม่ถึงเวลา ก็มิอาจล่วงรู้ลิขิตฟ้าได้”
——
[1] ผ้าต่วนเย่ว์หัว เป็นผ้าต่วนชนิดหนึ่งของมณฑลเสฉวน
Comments