ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 1354 ใครมีเงินมากกว่ากัน + 1355 มาครบแล้ว

Now you are reading ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น Chapter 1354 ใครมีเงินมากกว่ากัน + 1355 มาครบแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 1354 ใครมีเงินมากกว่ากัน

น้าฟางกระโดดลงมาขวางหน้าเหมยเหมย ยืดหลังตรงและตวาดใส่ “เบิกตาของคุณให้กว้างแล้วมองดูดี ๆสิว่าคุณหนูของพวกเราขาดแคลนเงินร้อยหยวนนี้หรือไง? ไม่อย่างนั้นฉันจะให้คุณสองร้อยหยวนแล้วรบกวนคุณไปนอนตรงระเบียงทางเดินแล้วกัน”

พูดไปน้าฟางก็ควานหาเงินสองร้อยหยวนใบใหม่เอี่ยมออกมาจากกระเป๋า สะบัดไปมาต่อหน้าสาวอ้วนอย่างกระหยิ่มใจ

สาวอ้วนหน้าถอดสี ตั้งแต่เล็กจนโตเธอถูกเลี้ยงมาในครอบครัวที่ฐานะดีมาก ไม่เคยมีใครกล้าเอาเงินมาฟาดหน้าเธอแบบนี้มาก่อน แต่ตอนนี้ยายแก่นี่กลับ…

“คุณมีสิทธิ์อะไรมาบอกให้ฉันไปนอนที่ระเบียงทางเดิน? นี่มันชักจะมากเกินไปแล้วนะ!”

ถึงแม้ว่าสาวอ้วนจะโมโหมาก และถึงแม้เธอจะเป็นคุณหนูดื้อรั้นเอาแต่ใจ แต่อันที่จริงเธอก็พอจะมองคนออก เธอตามติดทำธุรกิจกับพ่อแม่มาตั้งแต่ยังเด็ก จึงพอจะรู้วิธีการรับมือกับคนแต่ละประเภทได้อยู่บ้าง ตอนนี้เหมยเหมยดูไม่ใช่คนที่จะรังแกได้ง่าย ๆ และคนที่จ้างมาทำงานก็ดูน่าเกรงขามกว่าคนของเธอมาก สาวอ้วนหดตัวลงและน้ำเสียงก็เบาลงเช่นกัน

น้าฟางส่งเสียงยิ้มเยาะ “งั้นเมื่อครู่เธอมีสิทธิ์อะไรมาขอให้คุณหนูของฉันเอาเตียงชั้นบนให้เธอ? เธอมีอำนาจบาตรใหญ่มาจากไหนเหรอ? อวดเงินหนึ่งร้อยหยวนของเธองั้นหรือ? หนึ่งร้อยหยวนก็ยังมีหน้าหยิบออกมาอวด!”

น้าฟางพูดไปก็ไม่ได้มองสาวอ้วนที่โกรธจนเดี๋ยวหน้าแดงเดี๋ยวหน้าขาวเลยด้วยซ้ำราวกับแม่ไก่ที่เพิ่งออกไข่ หันมาขยิบตาใส่เหมยเหมยอย่างลำพองใจ เหมยเหมยมุมปากกระตุกช่างเหนื่อยใจเสียจริง

ดีเสียจริงใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เธอทำให้เพื่อนร่วมห้องขุ่นเคืองไปแล้วสองคน ทั้งห้องมีเพียงเจ็ดคนเท่านั้น นอกจากเธอแล้วยังมีอีกหกคน ผิดใจไปแล้วสอง ฉีฉีเก๋อถือว่าไม่เลว ไม่รู้ว่าอีกสามคนที่เหลือจะเข้ากันได้ดีหรือเปล่า

น้าฟางยัดเงินสองร้อยหยวนกลับเข้ากระเป๋า นี่คือเงินที่เธอและสามีเพิ่งถอนออกมาจากธนาคาร อีกครู่จะส่งกลับบ้านเกิด คนแก่และเด็กที่บ้านกำลังรอเงินไว้ใช้จ่ายอยู่นะ!

“เอ่อ…ไม่งั้นมาแลกเตียงกับฉันไหมล่ะ ฉันก็เป็นเตียงบนอยู่ติดริมหน้าต่างด้วย” อยู่ดี ๆ ถังม่านลี่เอ่ยพลางจ้องไปที่แบงค์ร้อยหยวนในมือของสาวอ้วนอย่างกระหาย

สาวอ้วนกำลังกังวลอยู่พอดี พอเห็นว่ามีคนเต็มใจที่จะเปลี่ยนด้วย ไหนเลยจะไม่ยอมจึงยื่นเงินหนึ่งร้อยหยวนให้แก่ถังม่านลี่ทันที และขอให้พี่เลี้ยงของเธอช่วยจัดเตียงโดยเร็ว ถังม่านลี่ได้เงินหนึ่งร้อยหยวนก็อารมณ์ดีเป็นพิเศษ ฮัมเพลงเสียงเบาแล้วหอบผ้าปูที่นอนของตัวเองลงมาเปลี่ยนเป็นเตียงชั้นล่างของเหมยเหมย

“อันที่จริงฉันค่อนข้างที่จะชอบเตียงล่างกำลังกังวลอยู่เลยว่าจะไม่มีใครเปลี่ยนกับฉัน เพื่อนคนนี้มาช่วยคลายความกังวลของฉันพอดี” ถังม่านลี่แก้ตัว บางทีเธออาจจะไม่ต้องการใครคิดว่าเธอเปลี่ยนเตียงเพื่อเงินล่ะมั้ง

เหมยเหมยและฉีฉีเก๋อทำเพียงแค่กระตุกยิ้มที่มุมปาก สีหน้าดูแคลนเล็กน้อย

นี่มันช่างเหมือนผู้หญิงขายบริการที่บอกว่าตัวเองยังบริสุทธิ์อยู่แท้ ๆเลย!

น้าฟางหลุบตาลงเบะปาก เธอไม่อยากสร้างความเดือดร้อนให้คุณหนูอีก ไม่งั้นคนอารมณ์ร้อนอย่างเธอคงจะสวนกลับไปสักประโยคว่า “แน่จริงก็อย่าเอาเงินสิ!”

เป็นคนบ้านเดียวกันกับคนเช่นนี้ช่างทำให้คนจ่าวจวงอย่างพวกเขาขายหน้าเสียจริง!

ทำไมคนแบบนี้ถึงสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้นะ?

คนคุมสอบตาถั่วหรือไง?

“ฉันชื่อเหริ่นเชี่ยนเชี่ยน เป็นคนเมืองหลวง” สาวอ้วนนั่งเบื่อ ๆจึงเริ่มเปิดบทสนทนาด้วยตัวเอง ถึงแม้ว่าเธอจะพยายามอย่างมากที่จะพูดสำเนียงเมืองหลวง แต่ก็ยังปกปิดสำเนียงอีสานไว้ไม่ได้มักจะหลุดพูดออกมาอยู่เสมอ ดังนั้นเธอจะต้องไม่ใช่คนเมืองหลวงแท้ ๆอย่างแน่นอน

น่าจะย้ายมาเมืองหลวงได้ไม่กี่ปีสำเนียงเลยยังไม่เปลี่ยน!

ถังม่านลี่และเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดคุยถูกคอกันเป็นอย่างมาก ทัศนคติเข้ากันได้ดีจนเห็นได้ชัด บางครั้งก็ประจบนาฬิกาและเสื้อผ้าของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนรวมไปถึงเครื่องประดับ เหมยเหมยกลับไม่รู้สึกอะไร แต่คนตรงไปตรงมาอย่างฉีฉีเก๋อกลับมุ่นคิ้วแน่น ทนไม่ไหวจนวิ่งออกไปอยู่หลายรอบ

ไม่อย่างนั้นเธอคงอกแตกตายได้!

หลังจากนั้นเพื่อนร่วมห้องที่เหลืออีกสามคนก็ทยอยตามมาติด ๆ มีคนหนึ่งชื่อสีอันน่าเป็นคนกว่างโจว นอกจากนี้ยังมีคนชื่อสวีจื่อเซวียนเป็นสาวหูหนาน คนสุดท้ายที่มาสายคือเจิ้งเสวี่ยซานเป็นคนหนานจิง

…………………………………………..

ตอนที่ 1355 มาครบแล้ว

ทั้งเจ็ดคนในหอพักมากันครบหมดแล้ว สีอันน่าหน้าตาสะสวย รูปร่างปานกลาง หุ่นก็ไม่เลว เพียงแต่ผิวค่อนข้างคล้ำ ดูท่าไม่เหมือนจะผูกมิตรยาก แต่ทันทีที่เธอเปิดปากพูดเหมยเหมยและฉีฉีเก๋อต่างก็ขมวดคิ้วกันอย่างพร้อมเพรียง

เสียงจะลากยาวเอื่อยไปถึงไหน น้ำเสียงสะบัดสะบิ้งเกินไป!

อีกทั้งยังจงใจพูดเสียงสะบัดสะบิ้งฟังไม่เป็นธรรมชาติเสียเลยสักนิด เธอเพิ่งพูดเพียงไม่กี่ประโยค เหมยเหมยก็สังเกตเห็นว่าฉีฉีเก๋อถู ๆบิด ๆตัวเองไปมาอยู่หลายครั้ง ในที่สุดก็ทนไม่ไหวจนวิ่งออกไปสูดอากาศข้างนอก

สีอันน่ามีพ่อของเธอมาส่ง พ่อของเธอไม่สูงนัก ตัวผอมบางผิวคล้ำ ดูฉลาดเฉียบเฉลียว แถมยังปฎิบัติต่อพวกเหมยเหมยอย่างสุภาพมาก ถึงแม้จะแค่พูดจาด้วยคำพูดสุภาพแต่นั่นก็แสดงให้เห็นว่าผู้ชายคนนี้วางตัวเก่ง

สวีจื่อเซวียนน่าจะสวยที่สุดเป็นอันดับสองในเจ็ดคน ดูท่าทางเป็นคนเก็บตัวสำรวม เธอเองก็มีพ่อมาส่งเช่นกัน พ่อของเธอสวมแว่นตา ดูภูมิฐานสุภาพ สไตล์การพูดก็ดูมีความรู้มาก

เพียงแต่สวีจื่อเซวียนไม่สนใจใครเลยสักนิดแค่เดินตรงเข้ามาแล้วพยักหน้าทักทายพวกเขาเท่านั้น หลังจากนั้นก็เงียบกริบ เอาแต่ก้มหน้าก้มตาจัดเตียง แต่พ่อของเธอพูดคุยกับพ่อของสีอันน่าและน้าฟางอยู่หลายประโยค

จึงได้รู้ว่าพ่อของสีอันน่าเปิดบริษัท พ่อของสวีจื่อเซวียนเป็นครูโรงเรียนมัธยม เดิมทีเวลานี้ควรเป็นช่วงเวลาที่ยุ่งที่สุด แต่เพราะว่าคุณพ่อสวีหวังว่าจะได้มามหาวิทยาลัยที่เมืองหลวง ดังนั้นจึงขอลางานมาส่งลูกสาวรายงานตัวโดยเฉพาะ ถือโอกาสเติมเต็มความเสียใจในวัยรุ่น

เจิ้งเสวี่ยซานเป็นคนสุดท้ายที่มาถึง ถือว่าเป็นเด็กสาวหน้าตาสะสวยแต่ไม่สะดุดตา ไม่สวยเท่าสวีจื่อเซวียน ไม่มีความสดใสเท่าถังม่านลี่ ถ้าไม่แต่งตัวล่ะก็เจิ้งเสวี่ยซานก็แค่ดูดีในระดับปานกลาง

แต่ผู้หญิงคนนี้แต่งตัวเก่งมาก อีกทั้งยังแต่งหน้าเบา ๆ และมีเครื่องประดับมาช่วยเพิ่มสีสัน ซึ่งยุคนี้ส่วนมากยังคงเป็นสีขาวสีเทาและสีน้ำเงิน อย่างเธอเขาเรียกว่ามีความงามแค่ห้าส่วนและอาจจะเพิ่มได้เป็นเจ็ดหรือแปดส่วนหากเพิ่มเติมแต่ง

ถึงอย่างไรนักศึกษาชายหลายคนคิดว่าหากมีแฟนสาวที่แต่งตัวทันสมัย ถือเป็นเรื่องเชิดหน้าชูตาอีกเรื่องหนึ่ง

นิสัยของเจิ้งเสวี่ยซานอ่อนโยนมาก พูดจาเนิบนาบ มีมนุษยสัมพันธ์ดีมาก ฟังแล้วรู้สึกสบายใจ ขนาดสวีจื่อเซวียนที่มีนิสัยเงียบ ๆยังคุยด้วยสองสามประโยค ไม่ต้องพูดถึงพวกฉีฉีเก๋อและเหริ่นเขี่ยนเชี่ยนเลย ไม่นานก็พูดคุยกับเจิ้งเสวี่ยซานอย่างถูกคอ

“ฉันเป็นคนหนานจิง ปีนี้อายุยี่สิบเอ็ดปีแล้ว น่าจะอายุเยอะที่สุดในห้องนี้ พวกเธอเรียกฉันว่าพี่สาวก็ได้นะ” เจิ้งเสวี่ยซานพูดยิ้ม ๆ สายตาหันไปมองเหมยเหมยที่ไม่พูดไม่จาแล้วก็รีบหันกลับมาอย่างรวดเร็ว

“เธออายุเยอะขนาดนี้แล้วเหรอ งั้นก็ต้องเรียกเธอว่าพี่ใหญ่แล้วล่ะ” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูดอย่างแปลกใจ แต่จู่ ๆก็แสดงท่าทีดีอกดีใจ เอาแต่เรียกพี่ใหญ่อย่างมีความสุข

เหมยเหมยสังเกตเห็นว่าตอนที่เจิ้งเสวี่ยซานได้ยินคำว่า ‘พี่ใหญ่’ ใบหน้าของเธอเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติแล้วยิ้มอย่างอ่อนโยนอีกครั้ง เหมยเหมยพลันไม่ชอบในทันที เธอยอมทะเลาะกับเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนโต้ง ๆไปเลยดีกว่า และไม่อยากผูกมิตรกับคนหน้าไหว้หลังหลอกอย่างเจิ้งเสวี่ยซาน

“เหมยเหมย เตียงปูเสร็จแล้ว อย่างนั้นพวกเรากลับบ้านกันก่อนเถอะ”

น้าฟางกระโดดลงจากเตียงอย่างคล่องแคล่ว เตียงถูกเธอจัดวางอย่างสวยงาม ไม่เพียงแต่แขวนม่านผ้าโปร่ง แต่ยังตกแต่งล้อมรอบด้วยผ้าลายดอกไม้ แบบนี้คนข้างนอกก็จะมองไม่เห็นว่าคนในกำลังทำอะไรอยู่

เหมยเหมยกำลังจะพยักหน้า พ่อสีก็พูดด้วยเสียงอันดังขึ้นว่า “ในเมื่ออยู่ห่างไกลกันนับพันลี้ยังมีวาสนาได้มาพบกัน มือกลางวันอาเลี้ยงเอง วันหลังก็รบกวนทุกคนช่วยดูแลอันน่าของเราหน่อยนะ”

เดิมทีเหมยเหมยคิดว่าจะไปทานอาหารด้วยกันสักมื้อคงไม่เห็นเป็นไร แต่เมื่อเธอได้ยินว่าช่วยดูแลเขาหน่อยก็เกิดอาการไม่พอใจ มีใครบ้างไม่ใช่แก้วตาดวงใจของพ่อแม่ มีสิทธิ์อะไรมาให้คนอื่นเป็นสาวรับใช้ลูกตัวเอง!

…………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด