ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 1868 พ่อผู้น่าสงสาร + 1869 สายขาดสะบั้น
ตอนที่ 1868 พ่อผู้น่าสงสาร
ไปเรียนติดต่อกันไม่กี่วันเหมยเหมยก็กลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิม แค่ตอนพักเที่ยงจะมานอนกลางวันที่หอพัก ส่วนสวีจื่อเซวียนไม่มาเรียนเลย ไม่รู้ว่าเธอเป็นอย่างไรบ้าง ตามกฎของมหาวิทยาลัยแล้วหากขาดเรียนติดต่อกันเกินหนึ่งสัปดาห์จะถือว่าเป็นการลาออกโดยอัตโนมัติ
“นี่ก็สี่วันแล้วนะ สวีจื่อเซวียนไม่คิดจะมาเรียนแล้วจริง ๆเหรอเนี่ย!” ฉีฉีเก๋อพูดด้วยความเป็นกังวล
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนยัดหมูตุ๋นน้ำแดงชิ้นหนึ่งเข้าปากกินอย่างเอร็ดอร่อย อิงจวี้กังเคยพูดไว้ว่าเธอควรจะกินตามที่ใจเธออยากกิน ควรปฏิบัติกับปากตัวเองอย่างยุติธรรม คนธรรมดาอย่างเราถือเรื่องกินเป็นสิ่งสำคัญเทียมฟ้าเชียวนะ!
เมื่อก่อนเธอนี่โง่จริง ๆ มัวแต่กินผักกินหญ้าไปทำไมนะ!
ไม่ผอมลงไม่ว่า ยังเป็นการทรมานตัวเองเสียเปล่า ๆอีก!
“เธอจะไปสนทำไมว่าเขาจะลาหรือไม่ลาออก กินข้าวของเธอไปเถอะ” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนกินหมูตุ๋นน้ำแดงไปอีกชิ้น ขยับชามข้าวของฉีฉีเก๋อพร้อมเร่งให้เธอกินข้าว
ฉีฉีเก๋อถอนหายใจอย่างนึกเสียดาย และไม่พูดอะไรอีก
วันที่หกสวีจื่อเซวียนก็ยังไม่มาเรียนอีกตามเคย แต่ผู้เป็นพ่อของเธอกลับมาหาด้วยใจที่ร้อนรน ตะลอนเดินทางมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ไม่เหลือเค้าเดิมของความสุภาพและใจเย็น แลดูเป็นกังวลเอามาก
ตอนที่พ่อสวีมาหา สวีจื่อเซวียนก็ไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัย เขาจึงมุ่งหน้าไปที่สำนักทะเบียน พอได้รับหนังสือลาออกของสวีจื่อเซวียนก็โกรธจนดวงตาแดงก่ำ
ที่แท้หัวหน้าสำนักทะเบียนก็เป็นคนโทรไปหาเขา เธอไม่อยากจะให้เด็กที่มีพรสวรรค์ต้องมาเสื่อมเสียแบบนี้
ตอนที่พ่อสวีได้รับโทรศัพท์ยังไม่อยากจะเชื่อหูของตัวเองเลย ลูกสาวที่เป็นความภาคภูมิใจของเขา ลูกรักที่แต่ไหนแต่ไรมาไม่เคยต้องกังวลใจในเรื่องการเรียนเลย แต่ตอนนี้กลับต้องการลาออก?
นี่มันเหมือนฟ้าผ่าตอนกลางวันชัด ๆ พ่อผู้น่าสงสารคนนี้แทบจะล้มทั้งยืน เดิมทีช่วงเปิดเทอมเป็นช่วงเวลาที่ยุ่งมากที่สุด แต่เขากลับต้องทำเรื่องลาหยุดเพื่อมาจัดการธุระอย่างปฏิเสธไม่ได้
เขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าลูกสาวที่เขาคอยอบรมสั่งสอนเลี้ยงดูอย่างประคบประหงมจะเป็นฝ่ายลาออกเอง เธอต้องมีเหตุผลอื่นแน่นอน!
แต่เมื่อได้เห็นหนังสือลาออกที่สวีจื่อเซวียนเขียนด้วยลายมือตัวเอง ชายผู้นี้ก็ไม่อาจควบคุมความโกรธของตัวเองได้อีกต่อไป เส้นเอ็นบนหน้าผากปูดโปน โกรธจนหน้าม่วง หัวหน้าสำนักทะเบียนกลัวว่าเขาจะโกรธจนเป็นอะไรไปจึงพูดปลอบใจอยู่ข้าง ๆ แต่นั่นก็ไม่เป็นผล
“สวีจื่อเซวียนอยู่ไหน? ผมจะไปหาเธอ!”
“สวีจื่อเซวียนไม่เข้าเรียนติดต่อกันมาหกวันแล้วค่ะ ตามกฎของมหาวิทยาลัยหากไม่มาเรียนติดต่อกันครบเจ็ดวันก็จะถือเป็นการลาออกอัตโนมัติ คุณพ่อสวีลองเกลี้ยกล่อมลูกสาวดูนะคะ อย่ามองว่าอนาคตเป็นแค่เรื่องล้อเล่นเลยค่ะ!”
พ่อสวีโค้งตัวลาหัวหน้าสำนักทะเบียนแล้วถือหนังสือลาออกฉบับนั้นมุ่งหน้าไปยังหอพักของพวกเหมยเหมย ตอนเที่ยงทุกคนพักผ่อนอยู่ในหอจึงได้ยินประกาศจากเสียงตามสายว่าจะมีคนขึ้นมาพบพวกเธอ เพียงไม่นานพวกเหมยเหมยก็เจอกับพ่อสวี
“พวกเธอรู้ไหมว่าสวีจื่อเซวียนอยู่ที่ไหน?”
พอพ่อสวีเห็นพวกเธอก็เอ่ยถามขึ้นด้วยท่าทีอิดโรย ปากแห้งจนหนังลอก ผมเผ้ายุ่งเหยิง นอกจากนั้นตามตัวยังมีกลิ่นเหงื่อด้วย ดูเหมือนว่าพอพ่อสวีลงจากรถไฟก็รีบตรงมาที่นี่เลย แม้แต่น้ำสักอึกก็ยังไม่ทันได้ดื่ม
และความจริงก็เป็นเช่นนั้น รถไฟจากบ้านเกิดของสวีจื่อเซวียนถึงเมืองหลวงใช้เวลาสามวันสามคืน พ่อสวีกินหมั่นโถวและน้ำเปล่าบนรถไฟมาสามวัน ลงรถไฟมาก็ต่อรถโดยสารอีกตั้งหลายสาย อากาศร้อนจัดทำให้กระหายน้ำแทบตายอยู่แล้ว
แต่เขาไม่มีกะจิตกะใจหาน้ำดื่มหรอก ตอนนี้เขาอยากจะเจอหน้าลูกสาวแล้วถามให้มันชัดเจนไปเลยว่าจริง ๆแล้วมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ถังม่านลี่และสีอันน่าพากันปิดจมูก หนำซ้ำสีอันน่ายังบ่นอุบอิบขึ้นว่า “เหม็นจังเลย…”
พ่อสวีก้าวถอยหลังอย่างเก้อเขินพลางทำตัวไม่ถูก เขาไม่ได้อาบน้ำมาสามวันสามคืนแล้ว ไหนจะเหงื่อที่ออกเต็มตัวอีก กลิ่นกายแรงไม่น้อย
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนจ้องสีอันน่าตาเขม็ง ด่าว่า “เธอขี้เธอเยี่ยวนี่หอมนักหรือไง? เมื่อกี้ก็ตดซะเหม็นเชียว ฉันยังไม่ว่าอะไรเลย!”
สีอันน่าหน้าถอดสี ใจอยากจะตอกกลับด้วยความโมโห แต่ก็เกรงกลัวเหมยเหมยจึงได้แต่ปิดปากเงียบอย่างไม่สบอารมณ์ แอบแช่งให้เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนอ้วนเป็นหมูจนไม่มีใครแต่งงานด้วยไปตลอดชีวิต
…………………………………………………………………..
ตอนที่ 1869 สายขาดสะบั้น
แม้ว่าพ่อสวีจะพยายามแสดงท่าทีให้ดูปกติ แต่ความกังวลในใจของเขากลับเผยให้เห็นผ่านทางสายตา เหมยเหมยลอบถอนหายใจ ต้องมาเจอลูกสาวที่ต่อต้านพ่ออย่างสวีจื่อเซวียน นับว่าพ่อสวีน่าสงสารไม่น้อย
“คุณลุงคะ ดื่มน้ำก่อนนะคะ แล้วอีกสักพักหนูจะพาคุณลุงไปหาสวีจื่อเซวียน”
ฉีฉีเก๋อยื่นแก้วชาใบใหญ่ของเธอให้ซึ่งเธอชงไว้แต่แรกแล้ว พ่อสวีส่งยิ้มให้เธอเป็นการขอบคุณ พลันรับแก้วชามากรอกเข้าปากอึกใหญ่ เป็นความกระหายที่มีมากจริง ๆ
เขาดื่มชาในแก้วใบใหญ่หมดรวดเดียว พ่อสวีคืนแก้วชาให้ฉีฉีเก๋ออย่างนึกเกรงใจ ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้าง แต่ดวงตายังแดงก่ำบ่งบอกได้ว่าชายผู้นี้ไม่ได้นอนมาหลายคืนแล้ว
และพร้อมล้มลงไปกองกับพื้นได้ทุกเวลา
เหมยเหมยถอนหายใจ พ่อสวีคนนี้ดูน่าสงสารจริง ๆจนเธอใจแข็งไม่ลง
“เราไปตามหาด้วยกันเถอะค่ะ”
ทั้งสามคนพาพ่อสวีที่รู้สึกซาบซึ้งใจออกไปจากหอพัก ช่วงบ่ายเป็นการบรรยายทฤษฎีเหมาเจ๋อตง[1] ไม่เข้าฟังก็ได้
พอเดินผ่านสหกรณ์โรงเรียนเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนก็ควักเงินออกมาซื้อน้ำโค้กเย็น ๆหนึ่งขวดและขนมปังสับปะรดยื่นให้พ่อสวี “กินไปด้วยคุยไปด้วยนะคะ สวีจื่อเซวียนไม่ได้พักในมหาวิทยาลัย มันค่อนข้างไกลค่ะ”
พ่อสวีรับน้ำโค้กและขนมปังไว้แต่ไม่มีอารมณ์กิน ถามด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เกิดอะไรขึ้นกับจื่อเซวียน? พวกเธอบอกลุงได้ไหม?”
ตลอดสามวันสามคืนมานี้เขาข่มตาหลับไม่ได้เลย เอาแต่คิดถึงเรื่องนี้อยู่ตลอด เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าลูกสาวเขาจะไม่อยากเรียนแล้ว น่าจะมีเรื่องที่ปิดบังเอาไว้อยู่สินะ?
“คุณลุงกินโค้กกับขนมปังก่อนสิคะ ถ้ากินเสร็จหนูถึงจะบอก” เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนพูด
พ่อสวีขบฟันแน่น กินโค้กกับขนมปังหมดอย่างรวดเร็ว ท่าทางการกินออกจะน่าเกลียดไปหน่อย เขาเช็ดปากพลางมองเหริ่นเชี่ยนเชี่ยนอย่างมีหวัง
เหริ่นเชี่ยเชี่ยนมองเหมยเหมยอย่างลำบากใจ เธอไม่รู้เลยว่าควรจะเอ่ยปากพูดอย่างไรดี และเธอก็กลัวว่าพ่อสวีจะรับเรื่องกระทบกระเทือนจิตใจแบบนี้ไม่ไหว!
เหมยเหมยส่ายหน้าให้เธอเล็กน้อยเพื่อไม่ให้เธอพูดอะไร ตอนนี้ดูเหมือนพ่อสวีจะเหมือนสายที่ตึงมาก หากใช้แรงเพียงนิดเดียวก็ขาดสะบั้นได้แล้ว พวกเธอรับผิดชอบเรื่องพวกนี้ไม่ไหวหรอก
พ่อสวีขอร้องอ้อนวอนอีกครั้ง เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนอ้ำ ๆอึ้ง ๆบอกแค่ว่าหากเจอสวีจื่อเซวียนแล้วก็จะรู้ทุกอย่างเอง ความเป็นจริงคือเธอไม่อยากพูด พ่อสวีจึงคิดไปต่าง ๆนา ๆ ซ้ำยังเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับสวีจื่อเซวียนจนแผ่นหลังของเขาค่อย ๆงองุ้มลง
“พวกเธอต่างก็เป็นเด็กดี หรือเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับจื่อเซวียนเหรอ? พวกเธอไม่กล้าพูดสินะ?” พ่อสวีมีสีหน้าหม่นหมอง นัยน์ตาฉายแววผิดหวัง
ฉีฉีเก๋อเห็นเข้าก็ทำใจไม่ได้จึงพลั้งปากพูดไปว่า “ฉวีจื่อเซวียนไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ เธอก็แค่คบหาดูใจกับอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเรา ตอนนี้อยากแต่งงานกับอาจารย์เจียงเลยไม่อยากเรียนหนังสือแล้ว”
สีหน้าของพ่อสวีเปลี่ยนไปมาก คว้ามือของฉีฉีเก๋อมาจับไว้แน่น ตะเบ็งเสียงถาม “จื่อเซวียนคบหากับใครนะ?”
ฉีฉีเก๋อรู้สึกกลัวขึ้นมาจึงตอบออกไปด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “ก็อาจารย์เจียง อาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเราไงคะ อาจารย์แม่หย่ากับอาจารย์เจียงก็เพราะเรื่องนี้แหละค่ะ…”
“เธอบอกว่าจื่อเซวียนกับอาจารย์ที่ปรึกษาของพวกเธอคบหากัน แล้วยังเข้าไปเป็นมือที่สามของครอบครัวคนอื่นด้วยงั้นเหรอ?” พ่อสวีถามย้ำทีละคำทีละประโยค
เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนเกิดอาการร้อนรนเป็นอย่างมาก โบกไม้โบกมือส่งสัญญาณให้เธอเพื่อไม่ให้เธอพูดต่อ
แต่ฉีฉีเก๋อถูกพ่อสวีที่หน้าตาดุดันจับไว้แน่นจึงรู้สึกกลัวสุดขีด ไหนเล่าจะมีอารมณ์มาสนใจท่าทางบอกใบ้ของเหริ่นเชี่ยนเชี่ยน เธอได้แต่พยักหน้าด้วยท่าทีลุกลี้ลุกลน เหริ่นเชี่ยนเชี่ยนสะบัดหน้าด้วยความโกรธ ยัยโง่เอ้ย!
“ตุ้บ”
การพยักหน้าของฉีฉีเก๋อทำให้สายที่ตึงแน่นมาเป็นเวลาสามวันสามคืนของพ่อสวีขาดสะบั้นลง เขาทนต่อไปไม่ไหวเป็นลมล้มสลบไป ใบหน้าซีดเซียวจนหน้าตกใจ
“คุณลุง…คุณลุงอย่าทำให้หนูตกใจสิคะ เหมยเหมย เชี่ยเชี่ยน…ทำไงดีล่ะ?”
ฉีฉีเก๋อตกใจเป็นอย่างมากและไม่กล้าแตะต้องพ่อสวี ร้อนรนจนน้ำตาไหลพราก
………………………………………………………………………….
[1] นิยมเรียกอีกอย่างว่า ท่านประธานเหมา เป็นนักปฏิวัติลัทธิคอมมิวนิสต์ชาวจีนที่กลายเป็นบิดาผู้ก่อตั้งสาธารณรัฐประชาชนจีน (PRC)
Comments