ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 191 น้ำเสียงไพเราะอันเป็นเอกลักษณ์ + 192 นางฟ้าตกสวรรค์
ตอนที่ 191 น้ำเสียงไพเราะอันเป็นเอกลักษณ์
เช้าวันนี้พระอาทิตย์ขึ้นช้ากว่าปกติ เมื่ออู่เยวี่ยเดินไปถึงหน้าประตูใหญ่ของอี้จง ถึงได้เห็นแสงสว่างของพระอาทิตย์ที่กำลังขึ้น แสงสว่างเจิดจ้าทอประกายกระทบพื้นดินและทอประกายแสงสว่างให้กับประชาชน ซึ่งหนึ่งในนั้นคืออู่เยวี่ย
สายลมที่พัดผ่าน ได้ทำให้เด็กนักเรียนรุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งเริ่มทยอยปิดจมูกกัน พวกเขาทอดสายตามองอู่เยวี่ยที่ยังไม่รู้เนื้อรู้ตัวอะไร พวกเขาหลีกเลี่ยงตีตัวออกห่าง
สยงมู่มู่เองก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมแห่งความปีติยินดีนั้น เขาจึงบีบจมูกอย่างเปิดเผยจนเกินเหตุและถามขึ้นอย่างแปลกใจ “ดูเหมือนกลิ่นเต่าของพี่สาวเธอจะกำเริบขึ้นเป็นพักๆ นะ ผ่านไปไม่กี่วันก็มีกลิ่นอีกแล้ว”
อู่เหมยส่งเสียงหึๆ ออกมาอย่างพึงพอใจ ซึ่งเป็นตัวเธอเองที่เป็นลานส่งคลื่นวิทยุ หากเมื่อไรอยากให้กลิ่นของอู่เยวี่ยกำเริบเธอก็ทำได้ในทุกเมื่อ แต่เรื่องนี้จะบอกกับสยงมู่มู่ไม่ได้ ให้เขาคิดว่าเป็นกลิ่นเต่าของอู่เยวี่ยนั่นแหละดีแล้ว
อู่เยวี่ยเริ่มสังเกตเห็นสายตาและการกระทำอันแสนคุ้นเคย ในใจเริ่มคิดหนัก หรือว่า…
“พี่หมิงต๋า บนตัวฉันมีกลิ่นอะไรไหมคะ?” อู่เยวี่ยถามออกไปอย่างร้อนรน
เหยียนหมิงต๋าใช้มือเกาท้ายทอยอย่างไร้เดียงสา เขายิ้มและพูด “หอมฉุยเลย กลิ่นตัวของอู่เยวี่ยต้องหอมมากแน่ๆ”
คนที่เดินผ่านไปมาชำเลืองมองยิ่งทำให้อู่เยวี่ยมีปฏิกริยามากขึ้น ใจเธอจึงเริ่มจมดิ่งลงไป ไม่ต้องถามเธอก็รู้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ต้องเป็นเพราะผมของเธอมีกลิ่นแปลกประหลาดอีกแน่ๆ มันเกิดขึ้นได้อย่างไรกัน?
ตื่นนอนตอนเช้าก็ไม่มีกลิ่นอะไรเลยนี่นา!
แต่ทำไมพอออกจากบ้านมาถึงได้มีกลิ่น?
อู่เยวี่ยแทบอยากจะร้องไห้ออกมา ในเวลาแบบนี้เธออยากจะหมุนตัวหนีกลับบ้านเป็นอย่างมาก แล้วไม่ต้องกลับมาโรงเรียนอีก แต่เธอก็ทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะสองวันนี้คือการสอบรายเดือนของเดือนนี้ เธอจะขาดสอบได้อย่างไรล่ะ?
เธอจะสอบให้ได้ที่หนึ่งของโรงเรียน!
ภายใต้ความวิตกกังวล อู่เยวี่ยได้วิ่งผ่านไปยังห้องสื่อสาร ที่ตรงนั้นมีก๊อกน้ำอยู่ เธอจึงเลือกที่จะใช้น้ำสระผมเพื่อให้กลิ่นเหม็นพวกนั้นหายไป ลุงยามที่ประจำอยู่ตรงป้อมยามกับเหยียนหมิงต๋าต่างพากันตกใจต่อการกระทำของอู่เยวี่ยที่สระผมด้วยน้ำเย็น
“เยวี่ยเยวี่ยเธอบ้าไปแล้วเหรอ ระวังจะไม่สบายนะ!” เหยียนหมิงต๋าพยายามจะหยุดการกระทำของเธอ
“พี่ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน ฉันจะสระผม”
อู่เยวี่ยไม่สนใจเขาเลย เอาแต่มองหาไปทั่วทุกทิศทางก็ไม่เจอแชมพู เธอจึงต้องเทผงซักฟอกไว้เต็มกำมือและใช้มือขยี้ผสมให้ผงละลายเข้ากับน้ำ สารละลายของผงซักฟอกละลายและเข้าตาเธอราวกับน้ำปูนขาว นั่นทำให้ดวงตาของเธอแดงก่ำ
อู่เหมยแอบชื่นชมต่อการกระทำแสนป่าเถื่อนของอู่เยวี่ย เธอรู้สึกสุขกายสบายใจไปทั่วทั้งร่างจึงได้หันกลับไปพูดกับสยงมู่มู่ “ไปกันเถอะ!”
เธอเหยียบจักรยานและปั่นออกไปอย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งฮัมเพลงไปด้วย “บนเส้นทางแสนคุ้นเคยที่ติดกับรั้วโรงเรียน ช่วงเวลาเช้าตรู่มานั่งอ่านหนังสืออยู่ใต้ต้นไม้ แสงของดวงอาทิตย์แรกขึ้นส่องกระทบเข้ากับใบหน้า และได้ส่องกระทบไปยังคนคนนั้นที่เธอเกลียดชัง โว้วๆๆ…”
สยงมู่มู่ฟังเพลงที่เธอร้องซึ่งร้องได้อย่างหมูหมากาไก่มาก แต่นั่นได้ทำให้เขาทำตัวไม่ถูก แต่จะว่าไปเสียงของอู่เหมยก็ไม่เลวนะ ทั้งหวานนุ่มและไพเราะ คล้ายๆ กับน้ำเสียงของเติ้งลี่จวิน ทำให้เขาใจเต้นแบบไม่ทันตั้งตัว
“เธอร้องเพลง ‘หวานปานน้ำผึ้ง’ ได้ไหม?”
“ร้องได้สิ เพลงของเติ้งลี่จวินฉันร้องได้หมด นายฟังนะฉันจะร้องให้นายฟังเอง!”
อู่เหมยรู้สึกอารมณ์ดีเป็นอย่างมาก เธอทดสอบเสียงของตัวเองและเริ่มร้องขึ้น เมื่อชาติก่อนเธออยู่บ้านหากไม่ทำกับข้าวหรืออาหารการกิน ก็มักจะเขียนๆ วาดๆ หรือไม่ก็จะร้องเพลง เธอทำกิจกรรมต่างๆ ได้ถือว่าหลากหลายไม่แพ้กัน อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการสร้างความสุขให้ตัวเองอย่างไรล่ะ!
สยงมู่มู่ได้ฟังอู่เหมยฮัมเพลงขึ้นไม่กี่ท่อน ก็รู้สึกได้ว่าน้ำเสียงของอู่เหมยหวานและไพเราะมาก เพียงแต่อู่เหมยไม่เคยเรียนเทคนิคเฉพาะด้านของการร้องหรือออกเสียง การเปลี่ยนลมหายใจมีบางจังหวะที่ยังจัดการได้ไม่ดีนัก ฟังแล้วให้ความรู้สึกแข็งกระด้างไปนิด แต่ที่ทำให้ใจของสยงมู่มู่เต้นไม่เป็นจังหวะคือเสียงของอู่เหมย เสียงหวานจนทำให้เขารู้สึกขนลุกชัน
น้ำเสียงไพเราะอันเป็นเอกลักษณ์แบบนี้ หากว่าได้ฝึกซ้อมดีๆ หน่อย แค่ร้องเพลงที่เป็นที่นิยมจนร้องติดปากก็ดังได้!
ขณะนี้มีคนเอาเพลงของเติ้งลี่จวินมาร้องใหม่เยอะมาก แต่พวกเขายังร้องได้ไม่เข้าถึงอารมณ์เท่าอู่เหมยเลย!
…………………………………………………………………………………………..
ตอนที่ 192 นางฟ้าตกสวรรค์
อู่เยวี่ยเอาแต่สระผมอยู่ภายใต้ก๊อกน้ำ ผงซักฟอกถุงเล็กที่มีอยู่เกินครึ่งถุงของลุงยามที่ยืนอยู่หน้าป้อมยามถูกอู่เยวี่ยใช้ไปเกือบหมด เสื้อผ้าของเธอเปียกชื้นไปหมดทำให้เธอหนาวจนตัวสั่น
“เยวี่ยเยวี่ยรีบเอานี่ไปเช็ดเร็ว พวกเราต้องรีบหน่อย ไม่อย่างนั้นจะสายแล้ว”
เหยียนหมิงต๋าหาผ้าเช็ดตัวผืนแห้งของคุณลุงมาแล้วให้อู่เยวี่ยรีบเช็ดผมให้แห้ง เขาไม่เข้าใจถึงการกระทำที่แปลกประหลาดของอู่เยวี่ย เธอเช็ดผมไปด้วยความสับสนและคิดไม่ตก อู่เยวี่ยที่ผมเปียกชื้นได้แต่วิ่งตามเหยียนหมิงต๋าเข้าไปในโรงเรียนอย่างเร่งรีบ
หลังจากที่อู่เหมยร้องเพลงหวานปานน้ำผึ้งจบ ก็ได้ร้องเพลงวันใดคุณจะกลับมา เพลงเรื่องราวในเมืองเล็ก รวมทั้งเพลงขอให้มีชีวิตยืนยาวและเพลงอื่นๆ อีกมาก เธอร้องมาตลอดระยะทางจนมาถึงโรงเรียน ยิ่งสยงมู่มู่ได้ฟังก็ยิ่งรู้สึกจริงจังมากขึ้น
“เหมยเหมย เสียงของเธอมันพิเศษมาก กระทั่งการผ่อนลมหายใจก็ยาว เธอมีพรสวรรค์ในด้านการร้องเพลงมาก บางทีเธอลองพยายามทางด้านนี้ดูก็น่าจะทำได้ดีนะ” สยงมู่มู่มีท่าทีจริงจังมาก
อู่เหมยรู้สึกไม่คุ้นชินกับสีหน้าจริงจังของสยงมู่มู่ เธอโบกมือไปมาให้เขาและปฏิเสธโดยทันที “ไม่ล่ะ ฉันชอบวาดรูป การร้องเพลงเป็นเรื่องสนุก และอีกอย่างคนที่ร้องได้ดีกว่าฉันก็มีอยู่เยอะมาก”
สถานที่อย่างวงการบันเทิงนั้นวุ่นวายเกินไป ต้องคนที่มีความคิดทัศนคติอย่างอู่เยวี่ยถึงจะเหมาะที่จะไปรวมอยู่ในสังคมแบบนั้น เธอเองควรจะหลีกเลี่ยง เพราะขนาดถูกคนกลั่นแกล้งจนตายก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองตายอย่างไร
ในหัวเริ่มปรากฏหน้าหนังสือพิมพ์ในชาติก่อนที่ตีพิมพ์ข่าวการตายของสยงมู่มู่ เธอจึงอดไม่ได้ที่จะพูดเกลี้ยกล่อม “อีกหน่อยนายก็อย่าได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับวงการนั้นเลย คนอีคิวต่ำอย่างนายเข้าไปแล้วคงจะมีผลลัพธ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร การเรียนของนายก็ดี สามารถเป็นนักวิทยาศาสตร์ได้เลยนะ ถึงแม้รายได้จะไม่มากเท่าไหร่ แต่ยังไงก็ปลอดภัย รับรองว่านายจะมีชีวิตอยู่ได้จนถึงร้อยปี”
พอพูดจบเธอก็ได้โบกมือให้กับสยงมู่มู่ สะบัดผมหางม้าแล้วมุ่งหน้าเดินไปยังตึกเรียนของเด็กประถม ทิ้งให้สยงมู่มู่มีสีหน้าสับสนและมึนงง
ยัยบ้านี่พูดอะไรอยู่กันแน่?
อะไรคือวงการนั้น?
กระทั่งบอกว่าเขาจะมีผลลัพธ์ที่ไม่ค่อยดีเท่าที่ควร?
เหอะ! เขาเป็นคนฉลาดขนาดนี้ ไม่ว่าไปที่ไหนก็เหมือนกับเพชรเม็ดงาม ทำไมจะต้องไปเป็นนักวิทยาศาสตร์ให้เหนื่อยด้วยล่ะ?
เขามีเป้าหมายที่แน่ชัดอยู่แล้วตั้งแต่แรก เขาอยากเป็นนักดนตรีต้นแบบที่มีชื่อเสียงของหวาเซี้ย ประเทศใหญ่ๆ แบบนี้แต่ไม่มีแม้แต่นักร้องต้นแบบเลย โดยทั่วไปมีแต่นักร้องที่นำเพลงยอดนิยมของต่างประเทศเข้ามาร้องใหม่ เป็นที่อับอายขายขี้หน้าชะมัดเลย!
“ตอนเย็นเลิกเรียนแล้วอย่าลืมไปจ่ายค่าเรียนที่ห้องเรียนเยาวชนล่ะ!” สยงมู่มู่พูดขึ้นเตือนเสียงดัง
“รู้แล้ว นายก็ตั้งใจสอบเถอะ ถ้าจะให้ดีที่สุดก็สอบให้ได้ที่หนึ่งล่ะ!” อู่เหมยไม่ได้หันกลับไปมอง
สยงมู่มู่ช่างน่าโมโหจริงๆ หากว่าเขาเต็มใจที่จะสอบให้ได้ที่หนึ่ง เธอจำเป็นจะต้องลงทุนลงแรงทำอะไรแบบนี้ด้วยหรือ?
อู่เยวี่ยที่วิ่งมาถึงห้องเรียนด้วยสภาพเหงื่อไหลโชกไปทั่วใบหน้า นักเรียนคนอื่นๆ ได้มาถึงกันหมดแล้วเหลือเพียงแค่เธอกับเหยียนหมิงต๋า แต่ครูก็ไม่ได้ตำหนิอะไรเธอ เพียงแค่มองเธอด้วยความไม่พอใจแค่แวบเดียวเท่านั้น
“คาบแรกเราจะสอบภาษาและวรรณคดี นักเรียนคนไหนที่จะเข้าห้องน้ำให้รีบไปตอนนี้”
นักเรียนทุกคนต่างทยอยกันไปเข้าห้องน้ำ กลิ่นเหม็นที่อยู่บนหัวของอู่เยวี่ยถูกตัวเธอเองสระทิ้งไปครึ่งค่อนแล้ว ซึ่งรวมกับฉี่ที่ฉิวฉิวราดใส่แค่ครึ่งหนึ่งจึงทำให้กลิ่นไม่ได้รุนแรงเท่ากับตอนแรก หากไม่ตั้งใจดมกลิ่นก็จะไม่รู้ถึงกลิ่นเหม็นๆ นี้
แต่สระผมในน้ำเย็นเป็นเวลานาน พร้อมทั้งเหงื่อท่วมตัวจากการวิ่งเมื่อครู่ พออู่เยวี่ยหยุดอยู่นิ่งๆ กลับรู้สึกหนาวเป็นอย่างมาก อาการปวดหัวจึงเริ่มกำเริบขึ้นมา และไหนจะช่วงท้องทำไมถึงได้รู้สึกปวดขนาดนี้
แย่แล้ว คงจะไม่ได้เป็นหวัดเพราะความเย็นหรอกใช่ไหม?
อู่เยวี่ยรีบวิ่งไปยังห้องน้ำ หลังจากที่เธอออกไปได้สักพักหนึ่ง นักเรียนหญิงที่อยู่ด้านข้างก็รู้สึกโล่งใจและเริ่มคุยกัน “กลิ่นบนตัวของอู่เยวี่ยเหม็นมาก พวกเราช่างโชคร้ายเสียจริงที่นั่งรวมกับเธอ แล้วเราจะสอบกันได้ยังไงล่ะ?”
“นั่นสิ แต่ก่อนทำไมไม่เคยรู้เลยว่าอู่เยวี่ยมีกลิ่นเต่า ถ้ารู้ตั้งแต่แรก ต่อให้ทำร้ายฉันจนตายฉันก็ไม่ยอมมานั่งข้างๆ เธอหรอก”
เสียงคุยกันของนักเรียนหญิงไม่กี่คนนั้นไม่ได้เบาเลย คนที่อยู่ใกล้ๆ ก็ได้ยินชัดหมดและมีสีหน้าท่าทางที่แปลกประหลาด โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียนชาย
เหมือนกับว่าที่ผ่านมาเธอเป็นดั่งบัวหิมะผู้สูงส่งที่สะอาดบริสุทธิ์ไม่มีผู้ใดกล้ารุกราน แต่เพียงเวลานี้ราวกับเธอได้ตกลงมาจากภูเขาหิมะหรือพื้นที่ราบสูง และกลายเป็นดอกโบตั๋นเหม็นๆ ที่เอาแต่ส่งกลิ่นเหม็น
สถานการณ์ราวกับตอนนี้มีบางสิ่งกำลังจะแตกหักดัง ‘แก็กๆ’ ขึ้นมา
…………………………………………………………………………………………..
Comments