ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 373 ความสับสนของอู่เจิ้งซือ + 374 ปลากินเบ็ดแล้ว

Now you are reading ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น Chapter 373 ความสับสนของอู่เจิ้งซือ + 374 ปลากินเบ็ดแล้ว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 373 ความสับสนของอู่เจิ้งซือ + ตอนที่ 374 ปลากินเบ็ดแล้ว

ตอนที่ 373 ความสับสนของอู่เจิ้งซือ

อู่เหมยจ้องมองปฏิกิริยาของอู่เจิ้งซืออยู่ตลอด แค่ดูจากสีหน้าก็เดาได้ว่าอู่เจิ้งซือเชื่อในคำพูดของเธอ

“พ่อคะ ลักษณะอาการของพี่กับคนในหนังสือตรงกันเลยใช่ไหมคะ?” อู่เหมยจงใจถามขึ้น

อู่เจิ้งซือไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาต้องการเวลาในการคิดทบทวน ป่วยทางจิตและโรคประสาทแม้ว่าจะมีแนวคิดที่แตกต่างกัน แต่คนทั่วไปมักจะถือว่าเป็นโรคชนิดเดียวกัน หากให้คนนอกรู้ว่าอู่เยวี่ยมีอาการป่วยทางจิต คนพวกนั้นจะต้องพูดไร้สาระไปทั่วเป็นแน่ และยังพูดในสิ่งที่ไม่น่าฟังด้วย

หากเป็นแบบนี้ แล้วอนาคตของอู่เยวี่ยจะเป็นเช่นไร?

แล้วไหนจะหน้าตาและชื่อเสียงของเธออีกล่ะ เรื่องราวเหล่านี้ต่างทำให้อู่เจิ้งซือคิดสงสัย เขาไม่ได้อยากให้คนอื่นเข้าใจผิดและมองว่าเขามีลูกสาวที่เป็นโรคประสาท

“เหมยเหมยลูกคิดมากเกินไป พี่สาวของลูกแค่กังวลเกินไปเท่านั้นเอง จะเป็นโรคทางจิตได้ยังไง คำพูดพวกนี้ต่อไปอย่าพูดอีกล่ะ” อู่เจิ้งซือพูดเสียงขรึม

ในขณะเดียวกันเขาก็ได้เตรียมใจเผื่อไว้แล้ว ว่าเขาจะลองพาอู่เยวี่ยไปตรวจที่โรงพยาบาลดูสักครั้ง เขามีเพื่อนสมัยเรียนคนหนึ่งทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลรัฐบาลแห่งแรกของเมือง ต้องให้เพื่อนคนนี้แนะนำจิตแพทย์ดีๆ สักคนให้แก่เขา เพื่อทำการทดสอบสภาพจิตใจของอู่เยวี่ย จะได้รู้ว่าเธอมีปัญหาทางด้านจิตใจจริงหรือไม่?

ไม่มีทางออกที่ดีไปมากกว่านี้ หากมีก็คงจะเป็นการรักษาให้เร็วที่สุด แน่นอนว่าคำพูดเหล่านี้จะบอกกับลูกสาวคนเล็กไม่ได้ อู่เหมยมักจะชอบเอาเรื่องภายในบ้านออกไปบอกกับคนนอก อีกทั้งไม่ใช่เรื่องดีอะไรด้วย เพราะงั้นต้องปิดบังลูกสาวคนเล็กไว้ก่อน

อู่เหมยนิ่งเงียบไป ดูเหมือนว่าในใจของอู่เจิ้งซือยังคงมีเยื่อใยต่ออู่เยวี่ยมาก อย่างน้อยเธอเคยเป็นมุกล้ำค่าในอุ้งมือที่เป็นความหวังของเขามาก่อน ในช่วงเวลาอันสั้นขนาดนี้อาจมีบ้างที่จะผิดหวังกับตัวอู่เยวี่ย แต่ถึงอย่างไรก็ไม่เคยคิดถึงจุดที่จะต้องทอดทิ้งเธอมาก่อน

และเช่นเดียวกันที่ทำให้อู่เจิ้งซือไม่ยอมรับว่าอู่เยวี่ยมีสภาวะป่วยทางจิต ทั้งที่เมื่อครู่สีหน้าท่าทางของเขาได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า เขาเชื่อประโยคบทความในหนังสือ

และแน่นอน อู่เยวี่ยเองก็รู้ว่าอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้เขาไม่ยอมรับความจริง คงกลัวว่าจะขายหน้า หากคนนอกรู้เรื่องนี้เข้าจะเอาแต่หัวเราะเยาะใส่เขาได้

อู่เหมยวิเคราะห์และแยกแยะความรู้สึกนึกคิดของอู่เจิ้งซือได้อย่างละเอียด ไม่ว่าจะมีความหงุดหงิดขนาดไหน แต่เป็นเธอเองที่ประมาทเกินไป เพิ่งจะผ่านไปได้แค่สองเดือนกว่า อู่เจิ้งซือผิดหวังมากขนาดไหน ก็ยังคงไม่ถึงขั้นที่เขาจะต้องละเลยต่ออู่เยวี่ยได้

หากต้องการให้อู่เจิ้งซือละเลยอู่เยวี่ยจริง เขาก็จะต้องรู้สึกผิดหวังกับลูกสาวคนนี้จนไม่เหลือความหวังใดๆ แต่ไม่เป็นไร เธอมีความอดทนมากพอ หากว่าเธอสามารถทำลายความน่าสงสัยในใจของอู่เจิ้งซือได้ จะต้องมีสักวันที่ผลผลิตจะงอกเงยออกดอกและผลิบานได้

เพียงแค่ทุกครั้งที่อู่เยวี่ยสอบแล้วเกิดเหตุการณ์เดิมๆ ขึ้นกับอู่เยวี่ย อู่เจิ้งซือเองก็คงไม่อยากจะเผชิญหน้ากับสถานการณ์แบบนี้ และหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องยึดหลักความเป็นจริง

อู่เหมยยิ้มและจงใจพูดขึ้น “หนูก็หวังว่าเป็นเพราะพี่แค่กังวลเกินไปนะคะ ต้องโทษแม่เลย ที่เอาแต่หวังให้พี่สอบได้ที่หนึ่ง นั่นเลยทำให้พี่มีความกดดันมากเกินไป”

อู่เจิ้งซือรู้สึกพึงพอใจมากที่อู่เหมยไม่ได้กัดประเด็นนี้ไว้แล้วไม่ปล่อย เขาพยักหน้าอย่างเห็นด้วย และพูดกับอู่เยวี่ย “เยวี่ยเยวี่ย น้องพูดถูก ต่อไปอย่าฟังคำแม่เยอะ พ่อไม่ได้หวังให้ลูกสอบได้ที่หนึ่ง แค่ลูกพยายามอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะได้ที่เท่าไหร่ พ่อก็ดีใจทั้งนั้นแหละ”

เหอปี้อวิ๋นที่ยืนอยู่ตรงระเบียงได้แต่เบะปากให้กับคำพูดของอู่เจิ้งซือ เธอมองว่าคำพูดของเขาไร้สาระ แค่พยายามให้เต็มที่อะไรกัน?

สอบไม่ได้ที่หนึ่งแล้วจะดีใจอะไร?

ทุกคนต่างจดจำแค่ที่หนึ่ง ใครเขาจะไปจำที่สองกับที่สามกันล่ะ?

เมื่อก่อนอู่เยวี่ยของเธอมักสอบได้ที่หนึ่งเสมอ ใครๆ ต่างก็พากันอิจฉาริษยาที่เธอมีลูกสาวแบบนี้ หากว่าต่อไปสอบไม่ได้ที่หนึ่ง แล้วจะมีใครมาอิจฉาริษยาเธออีกล่ะ?

ไม่ได้การแล้ว ต่อไปต้องหาวิธีคุยกับเยวี่ยเยวี่ยสองคนว่า อย่าไปฟังคำพูดของพ่อเขา อย่างไรก็จะต้องสอบให้ได้ที่หนึ่ง!

พื้นฐานของเยวี่ยเยวี่ยดี สอบให้ได้ที่หนึ่งไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เรื่องครั้งก่อนกับครั้งนี้ก็เป็นแค่อุบัติเหตุเท่านั้นเอง

…………………………………………………………………………………………..

ตอนที่ 374 ปลากินเบ็ดแล้ว

บรรยากาศมื้อเย็นของตระกูลอู่ในตอนนี้หดหู่ลงไปมาก และต่างก็ไม่มีใครพูดอะไร มีแค่เหอปี้อวิ๋นที่คอยแต่คีบผักให้อู่เยวี่ย “เยวี่ยเยวี่ยกินเยอะๆ หน่อย กินอิ่มถึงจะได้มีแรงอ่านหนังสือ”

มื้อเย็นวันนี้อุดมสมบูรณ์มาก ซุปไก่ กระดูกหมู ปลา ก็มีหมด อู่เหมยตาลุกวาวและสาวมือด้วยความว่องไวไปคีบน่องไก่อีกชิ้นหนึ่ง น่องแรกนั้นเป็นใครไปไม่ได้ที่แย่งไปนอกจากเหอปี้อวิ๋น และตอนนี้ก็วางพาดอยู่ในจานของอู่เยวี่ย และแน่นอนว่าอู่เยวี่ยไม่ได้มีความอยากอาหาร ข้าวที่กินเข้าไปแทบสามารถนับเม็ดข้าวได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกับข้าวที่กินเลย

“แม่คะ พี่ท้องเสียอยู่ กินของทอดมันๆ แบบนี้ระวังว่ากลางดึกจะท้องเสียหนักนะคะ” อู่เหมยพูดขึ้นอย่างไม่จริงใจ

เหอปี้อวิ๋นถึงกับเลิ่กลั่กไป และเกิดความหงุดหงิดเล็กน้อย ทำไมเธอถึงได้ลืมเรื่องแบบนี้ไปได้ล่ะ โชคดีที่ยายเด็กบ้านี่เตือนไว้ อู่เจิ้งซือจึงมองเธอด้วยสายตาไม่พอใจและตำหนิ “ผมว่าคุณนี่นับวันยิ่งเลอะเลือนนะ ขนาดอู่เหมยยังเข้าใจยิ่งกว่าตัวคุณเองเสียอีก”

ครั้งนี้เหอปี้อวิ๋นยอมโดนด่าด้วยความพ่ายแพ้แต่โดยดี เธอหันไปพูดกับอู่เยวี่ยด้วยเจตนา “เยวี่ยเยวี่ย เดี๋ยวแม่ไปต้มโจ๊กเปล่าๆ ให้ลูกนะ ครู่เดียวก็ได้กินแล้ว”

เหอปี้อวิ๋นที่พูดจบก็วางตะเกียบลง และรีบวิ่งออกไปยังระเบียงเพื่อทำอาหาร ข้าวของตัวเธอเองทานไปได้แค่ไม่กี่คำ อู่เหมยก้มหน้าลง แต่แววตากลับฉายแววเยาะเย้ย ช่างเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนจริงๆ หากวันใดวันหนึ่งอู่เยวี่ยอยากกินเลือดของผู้เป็นแม่ขึ้น เกรงว่าเธอคงจะยินยอมด้วยความเต็มใจ!

เหอะ! ต่อให้อู่เยวี่ยจะดื่มแค่น้ำเปล่า เพียงแค่เธอมองข้ามจุดเล็กๆ ไป อู่เยวี่ยก็สามารถท้องเสียข้ามวันข้ามคืนจนตายได้ เพราะงั้นแค่โจ๊กถ้วยเดียวจะมีประโยชน์อะไร!

แม้ว่าในใจจะรู้สึกไม่ดีนัก แต่ก็ไม่ได้มีผลต่อความอยากอาหารของอู่เหมย ทั้งบ้านมีเพียงแค่เธอคนเดียวที่กินอย่างสบายใจ และกินข้าวหมดติดกันจนถึงสามจาน กับข้าวก็ถูกเธอกินไปมากพอควร จนทำให้เรอออกมา

ช่วงนี้ต้องซ้อมเต้นทุกวัน ใช้พลังงานไปเยอะมาก จะต้องบำรุงกำลังถึงจะถูก อู่เจิ้งซือก็ได้แรงกระตุ้นจากอู่เหมย จึงทำให้รับรสอาหารดีขึ้นมาอย่างแปลกประหลาด และกินข้าวหมดไปหนึ่งจาน แต่ดูท่าทางแล้วเขาเหมือนจะหนักใจ ราวกับกำลังกังวลกับบางสิ่งบางอย่าง

เมื่อทานข้าวเสร็จ เดิมทีควรเป็นอู่เยวี่ยที่ต้องล้างจาน เหอปี้อวิ๋นจึงเดินเข้าไปยังห้องของอู่จิ้งซือด้วยความโกรธ ความหมายคือหากว่าอู่เจิ้งซือไม่อยู่ด้านนอก เธอจะเป็นคนช่วยล้าง และไม่ให้อู่เยวี่ยได้ล้าง

อันที่จริงหลายวันมานี้อู่เยวี่ยไม่ได้ล้างจานหรือซักผ้าเลย ทั้งหมดคือเหอปี้อวิ๋นที่เป็นคนทำ แม้ว่าอู่เจิ้งซือจะพูดหรือออกคำสั่งอย่างเข้มงวด แต่ความเป็นจริงเขาแทบจะไม่ได้ใส่ใจต่อเรื่องในบ้านนัก แต่กลับกันที่เน้นใส่ใจกับเรื่องของโรงเรียนเสียมากกว่า น้อยครั้งมากที่เขาจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในบ้าน มิเช่นนั้นเมื่อก่อนเหอปี้อวิ๋นคงจะไม่มีทางกำเริบได้ขนาดนั้น

แม้ว่าช่วงนี้อู่เจิ้งซือจะเริ่มสนใจขึ้นมาบ้าง แต่สุดท้ายก็เกินความสามารถที่จะทำได้ เขาจะเอาเวลาจากไหนมาสนใจว่าอู่เยวี่ยไม่ล้างจานไม่ซักผ้า และสำหรับเหอปี้อวิ๋นแล้วมันเป็นสิ่งที่ง่ายยิ่งกว่าอะไร

อู่เหมยรู้ดีและชัดเจน แต่เธอยังไม่ได้จะบอกออกไปในตอนนี้ เพราะตอนนี้อู่เจิ้งซือสงสารเอ็นดูอู่เยวี่ยมาก หากพูดออกไปก็เกรงว่าจะไม่มีผลอะไร เธอยังไม่รีบ รอให้ต่อไปมีโอกาสดีๆ แล้วค่อยพูดจะไม่ดีกว่าเหรอ

อู่เยวี่ยเองก็ไม่ได้เต็มใจที่จะทำงานบ้าน ยิ่งถูกเหอปี้อวิ๋นยุยงส่งเสริม เธอก็เลยตอบตกลงไปตามนั้น และเดินกลับไปยังห้องของตัวเอง ในจังหวะที่เดินผ่านตู้ลิ้นชัก มีหนังสือเล่มหนาๆ เล่มหนึ่งได้พาดผ่านม่านตาเธอไป ใจของอู่เยวี่ยรู้สึกเจ็บปวดที่ได้นึกถึงคำพูดของอู่เหมยก่อนหน้านี้

เธอเอาแต่มองซ้ายมองขวา อู่เหมยไม่ได้อยู่ในห้องรับแขก เธอจึงหยิบเอาหนังสือเล่มนั้นมาไว้ในมืออย่างไม่คิดไตร่ตรอง และรีบวิ่งกลับไปยังห้องของตัวเอง ทำตัวลับๆ ล่อๆ ราวกับพวกหัวขโมย

อู่เหมยยืนอยู่ตรงช่องประตูและเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างเป็นอย่างดี เธอหัวเราะร่าจนตาหยี ในที่สุดปลาก็กินเบ็ดเสียที เธอกำลังรออยู่พอดีเลย!

หนังสือเล่มนี้เธอตั้งใจหามาด้วยตัวเองเลย เหตุการณ์ในหนังสือเล่มนั้นตรงกับอู่เยวี่ยแทบทุกอย่าง และเธอก็ไม่เชื่อด้วยว่า ถ้าอู่เยวี่ยดูเสร็จจะไม่คิดมาก!

เพียงแค่ทำให้อู่เยวี่ยเชื่อบทความในหนังสือเล่มนี้ และเชื่อว่าตัวเธอเองมีอาการผิดปกติทางจิต แบบนั้นเธอก็ทำได้ตามจุดประสงค์หลักแล้ว ต่อให้ไปหรือไม่ไปโรงพยาบาลก็ไม่มีประโยชน์ใดๆ

…………………………………………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด