ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 377 แท่นบูชาที่ล้มลง + 378 ของที่หมดอายุ

Now you are reading ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น Chapter 377 แท่นบูชาที่ล้มลง + 378 ของที่หมดอายุ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 377 แท่นบูชาที่ล้มลง + ตอนที่ 378 ของที่หมดอายุ

ตอนที่ 377 แท่นบูชาที่ล้มลง

สีหน้าของอู่เยวี่ยเย็นชามาก ขณะที่สีหน้าของเหอปี้อวิ๋นกลับซ่อนถึงความกังวลไว้ไม่มิด เธอเองก็สังเกตได้ถึงความผิดปกติของอู่เยวี่ย เมื่อก่อนอู่เยวี่ยจะเป็นคนร่าเริงสดใส รู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควรและก็เป็นเด็กดีมาก เรียกแม่ด้วยน้ำเสียงสดใสมาก แล้วนี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?

“คุณอู่คะ เยวี่ยเยวี่ยเธอ?”

เหอปี้อวิ๋นมองไปยังอู่เจิ้งซือด้วยความกลัว ในเวลาแบบนี้เธอไม่มีความคิดเห็นอะไร เธอจึงต้องหาที่พึ่งหลักเพื่อถามถึงเหตุผล

หัวคิ้วของอู่เจิ้งซือผูกแน่นเหมือนเดิม เขามั่นใจกับความคิดของตัวเองแล้ว สัปดาห์นี้เขาจะต้องไปหาเพื่อนสมัยเรียนที่โรงพยาบาลให้ได้ เรื่องของอู่เยวี่ยจะปล่อยไว้นานไม่ได้ ต้องรีบหาจิตแพทย์มารักษาอาการของอู่เยวี่ยให้เร็วที่สุด

“เยวี่ยเยวี่ย หนูไม่ต้องอ่านหนังสือแล้ว ออกไปเดินเล่นกับพ่อเถอะ” อู่เจิ้งซือพูดด้วยความอ่อนโยน  เขาไม่อยากให้ความรู้สึกอู่เยวี่ยถูกกระทบกระเทือนอีก

อู่เยวี่ยปฏิเสธออกไปทันทีโดยไม่คิด “พ่อคะ หนูอยากอ่านประวัติศาสตร์ มีบางเรื่องที่หนูยังจำได้ไม่หมด”

เหอปี้อวิ๋นหัวเราะและพูดขึ้น “เยวี่ยเยวี่ยอยากอ่านหนังสือก็ปล่อยให้ลูกอ่านสิ ออกไปตากลมเย็นๆ ด้านนอกจะมีประโยชน์อะไร”

เธอรู้สึกว่าอู่เจิ้งซือเริ่มไร้สาระมากขึ้น ฤดูหนาวตอนกลางคืนไม่อยู่ในบ้าน แต่กลับจะให้ออกไปตากลมด้านนอก เป็นเพราะกินอิ่มเกินไปหรือ!

“หุบปาก!”

อู่เจิ้งซือกดเสียงต่ำและตำหนิเธอ สายตาเย็นชาเป็นอย่างมาก เหอปี้อวิ๋นตกใจจนต้องหดคอ ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรงๆ ออกไป ฉับพลันเธอก็มีสีหน้าโกรธแค้นมาก

“เยวี่ยเยวี่ยไม่ต้องอ่านแล้ว พ่อเชื่อว่าความรู้ที่ลูกสั่งสมมา มันมากพอที่จะทำให้ลูกสอบได้ในวันพรุ่งนี้ ตอนนี้เราต้องออกไปเดินเล่นกัน ไปกันเถอะ!”

อู่เจิ้งซือเดินเข้าไปอยู่ตรงหน้าโต๊ะแล้วหยิบหนังสือในมือของอู่เยวี่ยออก เขาใช้น้ำเสียงที่ยากจะปฏิเสธได้ เขาดึงตัวอู่เยวี่ยออกไปด้านนอกด้วยแรงที่ใช้ถือว่ามีมากพอสมควร อู่เยวี่ยถูกเขาลากๆ ถูๆ ออกไป เธอจึงทำได้เพียงออกไปเดินเล่นพร้อมกับอู่เจิ้งซืออย่างไม่เต็มใจนัก

อู่เหมยได้แต่เบะปากมองและรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย หากว่าอู่เจิ้งซือสับสนเหมือนเหอปี้อวิ๋นบ้างคงจะดี แต่นั่นก็ไม่เป็นไร เพียงแค่ทุกๆ วันเธอคอยแต่งแต้มเรื่องราวให้กับอู่เยวี่ย ต่อให้ออกไปเดินเล่นทุกวันก็ไม่มีปประโยชน์

จะต้องมีสักวันที่ความมั่นใจของเธอจะถูกทำลายไปจนสิ้นซาก!

ตอนกลางคืนค่อยให้ฉิวฉิวไปฉีดพ่นน้ำหอมเพิ่มให้เธอ และพรุ่งนี้ต้องใส่ยาน้ำให้เธอด้วย อาการจะกำเริบหนึ่งครั้งในรอบหนึ่งเดือน มาตรงเวลาราวกับประจำเดือน หึๆ!

“ครูอู่กับอู่เยวี่ยก็มาเดินเล่นเหรอ!”

“สีหน้าของอู่เยวี่ยดูไม่ดีนัก ครูอู่ก็อย่าสร้างความกดดันอู่เยวี่ยมากเกินไปสิ ตอนสอบแค่พยายามทำเต็มที่ก็พอแล้ว!”

คนในสนามเห็นสองพ่อลูกอย่างอู่เจิ้งซือ น้อยครั้งมากที่จะเห็นเขาออกมาเดินเล่น หลายคนต่างพากันเข้ามาทักทายอย่างตื่นเต้น มีบางคนที่เป็นห่วงจากใจจริง แต่ส่วนมากก็มักจะเข้ามาพูดประชดประชัน คำพูดที่ออกมาจากปากต่างก็มีความหมายแอบแฝง

อู่เยวี่ยกัดริมฝีปากแน่น สีหน้าท่าทางเย็นชา ต่างไปจากเมื่อก่อนที่สดใสร่างเริงและอ่อนหวาน แต่ตอนนี้กลับพูดจาเย็นชาอย่างไม่เต็มอกเต็มใจ

ในสายตาของใครหลายคนเริ่มมองอู่เยวี่ยอย่างไม่ชอบใจ เมื่อก่อนเอาแต่คิดว่าเด็กคนนี้ปากหวาน หน้าตาก็ดีเรียนก็เก่ง แม้ว่าจะไม่ค่อยชอบการกระทำของเหอปี้อวิ๋น ที่เอาแต่กดขี่ข่มเหงลูกสาวอีกคน แต่กลับทำดีต่ออู่เยวี่ยอย่างไม่มีที่ติ

แต่ช่วงนี้เรื่องในตระกูลอู่เกิดขึ้นเยอะแยะไปหมด โดยเฉพาะยายเด็กอู่เยวี่ย ที่มีข้อบกพร่องในตัวมากถมไป และค่อยๆ ถูกขุดขึ้นมาให้เห็นทีละนิดทีละนิด ทั้งโกหกหลอกลวง เสแร้งแกล้งทำ และยังเห็นแก่ตัวอีก และที่สำคัญไปกว่านั้นคือมือไม้สกปรกแผนสูง ขนาดของของน้องสาวตัวเองยังกล้าขโมยไป และขโมยไปถึงสองครั้งด้วย

โถ่! ทำไมเมื่อก่อนถึงได้ดูไม่ออกนะ วันๆ เอาแต่ชื่นชมที่เหอปี้อวิ๋นพูดจาดีจนลูกสาวคนโตแทบลอยได้ ได้ความมั่นหน้ามาจากไหนหรือ!

…………………………………………………………………………………………..

ตอนที่ 378 ของที่หมดอายุ

แม้ว่าคนพวกนี้จะมองอู่เยวี่ยด้วยความเหยียดหยาม แต่อย่างน้อยก็ต้องรักษาหน้าตาภาพพจน์ไว้บ้าง แต่ทุกคนก็ทำได้เพียงตีวัวกระทบคราด และพูดประชดแค่ไม่กี่ประโยค แน่นอนว่าพวกเขาไม่กล้าพอที่จะพูดถึงอู่เยวี่ยในแง่ลบต่อหน้าของอู่เจิ้งซือ แต่พอกลับถึงบ้าน คนพวกนี้กลับพูดกับลูกหลานของตัวเองอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยบอกให้พวกเด็กอย่าไปข้องเกี่ยวกับอู่เยวี่ยมากนัก

ลูกหลานของพวกเขาจะคบค้ากับคนแผนสูงไม่ได้ เพราะจะทำให้เด็กๆ ของพวกเขากลายเป็นคนไม่ดีได้

อู่เจิ้งซือเองก็ยิ้มและพูดตอบโต้พอเป็นมารยาทกับคนพวกนี้ แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก แต่เขาเป็นคนที่คิดได้ลึกซึ้ง ใบหน้าไม่เคยแสดงออกให้คนภายนอกได้รู้ถึงความรู้สึกนึกคิด ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่

“ผมมักจะบอกลูกๆ และนักเรียนเสมอ ว่าคะแนนไม่ได้สำคัญมาก เพียงแค่พวกเขาทำเต็มที่ก็พอแล้ว ขอแค่พวกเขามีความสุขในการเรียน นั่นถึงจะเป็นสิ่งที่สำคัญ” อู่เจิ้งซือยิ้มและพูดออกไป

“ใช่ๆๆ สมแล้วที่ครูอู่เป็นถึงครูต้นแบบของเมือง หลักการคำสอนก็ทันสมัย” หลายๆ คนต่างพากันพยักหน้าเห็นด้วย

อู่เจิ้งซือจึงพูดต่อ “อู่เยวี่ยเองก็คาดหวังมากเกินไป ไม่ว่าจะทำอะไรก็หวังจะทำให้มันออกมาดีทุกอย่าง ที่ออกมาเดินเล่นก็เพราะผมเองที่ลากออกมาได้ ไม่อย่างนั้นคงเอาแต่อ่านหนังสือทั้งคืน”

“ตายจริง เด็กๆ ของพวกเราถ้าไม่เป็นเพราะพ่อแม่คอยจับตามองอยู่ ไม่มีทางที่จะยินยอมนั่งอ่านหนังสือเองหรอก เยวี่ยเยวี่ยนี่ช่างเป็นเด็กที่มีความคิดความอ่านจริงๆ ครูอู่ช่างโชคดีนัก!”

หลายๆ คนที่ได้ฟังต่างพากันอิจฉา บ้านไหนต่างก็มีลูกที่ดื้อรั้นกันทั้งนั้น แค่ได้รู้ว่าอู่เยวี่ยตั้งใจอ่านหนังสือด้วยตัวเอง ใครล่ะที่จะไม่เกิดความอิจฉา?

เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง แค่เรื่องที่เด็กๆ ตั้งใจอ่านหนังสือด้วยตัวเอง ก็ถือว่าเก่งกว่าเด็กบ้านอื่นมากแล้ว

แค่ครู่เดียวที่บรรยากาศได้เปลี่ยนไปเพราะอู่เจิ้งซืออย่างไม่รู้ตัว โดยเพราะเรื่องที่พูดคุยกันกลับถูกอู่เจิ้งซือดึงดูดไปในทางที่เขาจะสื่อถึง

อู่เจิ้งซือหัวเราะเบาๆ และพูดต่อ “แต่ผมเองก็หวังว่าเด็กๆ จะมีการพัฒนาความสามารถด้านอื่นๆ ด้วย อย่างเช่นด้านการวาดรูป เต้นรำหรือแม้แต่ร้องเพลง เรื่องคะแนนอย่างน้อยแค่อยู่ในระดับกลางๆ ขึ้นไปก็พอแล้ว โชคดีหน่อยที่ลูกๆ ทั้งสองคนไม่ได้ทำให้ผมกังวลมากนัก”

เขาพยายามพูด และเบี่ยงเบนประเด็นได้ “เมื่อก่อนผมเองก็กังวลลูกสาวคนเล็กมากเพราะคะแนนเธอแย่มาก แต่ในเทอมนี้กลับค่อยๆ พัฒนาขึ้นมาได้ ความสามารถด้านอื่นก็พัฒนาได้เป็นอย่างดี นอกจากเรียนวาดรูปแล้ว ช่วงนี้เธอเองก็ได้ลงเรียนเต้นรำแบบย้อนยุค ครูที่สอนก็บอกเองว่าพรสวรรค์ด้านการเต้นของเหมยเหมยดีกว่าการวาดรูปมาก หากไม่ใช่เพราะปีหน้าจะต้องเข้าแข่งขันที่เมืองหลวง ครูคงจะบังคับให้เหมยเหมยย้ายไปเรียนเต้นแทน”

“โอ้โห! อู่เหมยนี่เก่งจริงๆ วาดรูปก็เก่ง แถมยังเต้นได้ดีอีก รูปร่างก็สมส่วนดีมาก ครูอู่ อีกหน่อยเหมยเหมยคงกลายเป็นหญิงสาวที่มากพร้อมด้วยความสามารถแน่ๆ” มีคนพูดประจบ

ทุกคนที่ถูกอู่เจิ้งซือบ่ายเบี่ยงประเด็น จึงนึกไปถึงลูกสาวอีกคนของเขาแทน

การมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่นเริ่มจางไป แต่แทนที่ด้วยความอิจฉาริษยาและเกลียดชัง

คนตระกูลอู่นี่ช่างให้กำเนิดลูกได้ดีเสียจริง ลูกสองคนนับวันยิ่งพัฒนาได้ดีกว่ากันเรื่อยๆ คนโตคงไม่ต้องพูดถึงแล้ว เป็นแค่ของที่หมดอายุแล้ว

แต่การปรากฏตัวของลูกคนเล็กนี่สิ!

ดูท่าทีแล้วจะเหนือกว่าคนโตเป็นไหนๆ ดูจากคำพูดของอู่เจิ้งซือสิ ทั้งวาดรูป ทั้งเต้นรำ ทุกอย่างดีไปหมด แล้วคะแนนสอบก็เริ่มพัฒนาขึ้นมาอีก ท่าทางแบบนี้ยังจะมีที่ยืนให้กับลูกของบ้านอื่นอีกหรือ?

อู่เจิ้งซือสามารถกดดันคนพวกนี้ได้โดยใช้เพียงคำพูดที่เรียบง่าย แล้วใครจะกล้าพูดจาประชดประชันอีกล่ะ ทุกคนต่างพากันทยอยห่างออกไป

แต่เขากลับลืมลูกสาวข้างกายอย่างอู่เยวี่ยไป จิตใจของเด็กสาวเย็นชาและแข็งทื่อไปเสียยิ่งกว่าถูกแช่ไว้ในอุโมงค์น้ำแข็ง สีหน้าท่าทางก็เย็นชายิ่งกว่าเดิม ริมฝีปากถูกกัดจนเลือดไหลออกมา

แต่ไหนแต่ไรมาเธอคือความภาคภูมิใจของพ่อ พ่อออกไปไหนมักจะพูดถึงเธอเสมอ ไม่พูดถึงอู่เหมยแม้แต่คำเดียว

แต่ในตอนนี้ เธอเป็นเพียงความอับอายของพ่อ พ่ออายที่จะพูดถึงเธอ แต่กลับพูดถึงอู่เหมยแทน เพราะอู่เหมยในตอนนี้สามารถทำให้พ่อเชิดหน้าชูตาได้

…………………………………………………………………………………………..

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด