ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 622 การล้างแค้นของลูกผู้ชาย สิบปีก็ไม่นับว่าสาย + บทที่ 623 ให้หมาอย่างพวกมันฟัดกันเอง
บทที่ 622 การล้างแค้นของลูกผู้ชาย สิบปีก็ไม่นับว่าสาย
เหอปี้อวิ๋นพยายามที่จะพูดแก้ตัวให้กับตัวเองบ้าง แต่จะหาช่องว่างจากไหนให้เธอได้พูดกันล่ะ คนรอบข้างต่างพูดโยนกันไปมา ด่าทอเหอปี้อวิ๋นจนทำให้เธอแทบจะหมดแรงหายใจ
“เธอยังมีหน้ามาทวงบุญคุณกับคนอื่นเขาอีกหรอ? หากเป็นฉัน มีพวกชั่วช้าสามานย์ที่ไหนมาขโมยลูกไป ทั้งยังใจร้ายทารุณใส่เธอด้วยอีก คนอย่างฉันเนี่ยแหละจะเอามีดไปไล่แทงพวกมันทั้งตระกูล!”
“ใช่ๆ ลูกเป็นดั่งชีวิตของพ่อแม่ พวกคนที่ขโมยลูกหลานของคนอื่นไปจะต้องถูกฟ้าผ่าและไม่ได้ตายดี!”
“เห็นแก่ที่เธอเป็นผู้หญิง มิเช่นนั้นฉันคงได้ต่อยแกให้ล้มหน้าหงายไปแล้ว สิ่งที่คนอย่างฉันเกลียดที่สุดในชีวิตคือพวกพ่อค้ามนุษย์ ยิ่งเป็นหญิงค้ามนุษย์ฉันจะต่อยให้ร่วงไปทีละคนเลย!”
……
คนรอบข้างยิ่งพูดยิ่งเกิดอารมณ์โมโห มองเหอปี้อวิ๋นสองแม่ลูกอย่างโกรธเคือง ราวกับมองพวกเธอเป็นดั่งหนูเน่าเหม็น
“ไม่ใช่ฉันที่ขโมย ฉันไม่ได้ขโมยเด็ก ลูกของฉันต่างหากที่ถูกแม่ของมันทำให้ตาย ฉันต่างหากที่เป็นผู้ถูกกระทำ!”
เหอปี้อวิ๋นพูดเสียงดังเพื่อแก้ตัว สติสัมปชัญญะของเธอเริ่มลดน้อยลง สายตาเริ่มแสดงออกถึงความบ้าคลั่ง ใบหน้าบิดเบี้ยว ในจังหวะเดียวกันมือของเธอก็ยื่นออกไปเพื่อจะจับตัวเหมยเหมย
เหยียนหมิงซุ่นดึงเหมยเหมยถอยหลังได้ไม่กี่ก้าว พูดเสียงดังขึ้นว่า “เมื่อครู่ผมลืมพูดอย่างหนึ่ง ผู้หญิงคนนี้มีสภาพจิตไม่ปกติ พออาการกำเริบก็จะฆ่าคน สามีของเธอเองยังเคยถูกตีหัวแบะไปตั้งสองครั้ง!”
พูดยังไม่ทันจบ คนรอบข้างต่างพากันถอยกรูออกห่างจนไม่เหลือแม้แต่คนเดียว ต่างพึมพำกันว่าซวยแล้ว!
คนสติฟั่นเฟืองใครจะกล้าเข้าไปแหย่ หากไม่ใช่ว่าเกินจะทนไหว!
“ฉันไม่ได้บ้า ฉันเป็นคนปกติ ฉันไม่ได้ป่วยอะไร เยวี่ยเยวี่ยรีบบอกทุกคนไปสิ แม่ไม่ได้มีปัญหาทางจิต รีบพูดสิ!”
เหอปี้อวิ๋นตะโกนอย่างร้อนรน ทั้งยังให้อู่เยวี่ยช่วยอธิบาย ท่าทางกระวนกระวายยิ่งทำให้เธอดูเหมือนไม่ปกติ!
ไม่ว่าเธอจะตะโกนพูดเสียงดังสักแค่ไหน ก็ไม่มีใครเชื่อเธออีก!
คนบ้าที่ไหนจะยอมรับว่าตัวเองมีปัญหาทางจิตล่ะ?
ไม่ต่างจากฆาตกรฆ่าคน ก็ไม่ทางยอมรับว่าตัวเองเป็นฆาตกร!
อู่เยวี่ยหัวคิ้วผูกกันแน่น ในใจรู้สึกเบื่อหน่ายนัก แม่ของเธอช่างไม่ได้ช่วยรักษาหน้าตาอะไรกับเธอเลย อะไรก็พึ่งพาไม่ได้ ช่างน่ารำคาญ!
“แม่หยุดตะโกนได้แล้ว รีบไปเอาบัตรคิวเถอะค่ะ!” อู่เยวี่ยมีน้ำเสียงหนักขึ้นเล็กน้อย เหอปี้อวิ๋นจึงนิ่งงันไปเมื่อเห็นใบหน้าไร้ความพึงพอใจของลูกสาว ในใจเต้นไม่เป็นจังหวะ จึงหันไปส่งยิ้มให้อู่เยวี่ยเพื่อเอาใจ
“เยวี่ยเยวี่ยอย่าโกรธเลยนะ แม่จะไปเอาบัตรคิวให้ลูกเดี๋ยวนี้แหละจ้ะ เอ่อใช่ แล้วลูกเอาเงินมาจากไหนเยอะแยะ?”
“แม่จะถามให้มากความไปทำไม คุณย่าให้หนูมา!” อู่เยวี่ยเกิดความรำคาญใจ
เหอปี้อวิ๋นรู้สึกใจชื้นและถามอย่างมีหวัง “เยวี่ยเยวี่ยพูดกับคุณย่าของหนูได้ไหมว่าบอกให้พ่อกลับมารับเราสองคนแม่ลูกกลับไป?”
ไม่กี่วันมานี้คุณยายเหอเอาแต่ตามหาผู้ชายมาให้เธอ หากไม่ใช่พวกชายอัปลักษณ์ก็เป็นชายแก่ๆ รูปร่างสูงใหญ่กำยำทั้งดูห่ามและไร้การศึกษา ไม่เข้าตาเธอเลยแม้แต่คนเดียว เธออยากจะใช้ชีวิตร่วมกับอู่เจิ้งซือมากกว่า ต่อให้อู่เจิ้งซือจะไม่มีหน้าที่การงานใดๆ แต่เขาก็มีรูปลักษณ์สง่าผ่าเผย เฉลียวฉลาดดูมีความสามารถ อีกทั้งเขายังมีบุพการีที่ยังได้รับเงินเกษียณอายุ ชีวิตความเป็นอยู่คงไม่ได้แย่นัก
อู่เยวี่ยยิ้มเยาะอย่างขอไปที เธอจ้องเหอปี้อวิ๋นอย่างหัวเสียและพูดประชดขึ้น “แม่ตีพ่อไปตั้งสองครั้ง แม่ยังคิดว่าคุณย่าจะยอมให้แม่กลับไปงั้นหรือ?”
เหอปี้อวิ๋นถูกขัดจนหน้าขาวซีด ก้มหน้าลงอย่างกลัดกลุ้มใจ ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าลูกสาว สายตาของลูกสาวมีแต่ความผิดหวังและเย็นชา ใช่ว่าเธอจะไม่รับรู้
เธอรู้ดีว่าตัวเธอทำให้ลูกสาวต้องได้รับความทุกข์ใจ หากเยวี่ยเยวี่ยจะเกลียดเธอก็ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ทุกครั้งที่เห็นถึงความเย็นชาของอู่เยวี่ย ใจของเหอปี้อวิ๋นกลับรู้สึกเจ็บปวด
อู่เยวี่ยไม่ได้มีอารมณ์มากพอที่จะใส่ใจต่อหัวใจอันเปราะบางของเหอปิ้อวิ๋น กลับตระกูลอู่? เธอเองก็อยากกลับไป แต่กลับไปได้งั้นหรือ?
ตอนนี้คุณปู่เกลียดแม่เธอเป็นไหนๆ แม้กระทั่งลากเธอไปด้วยยังลำบาก ในเวลานี้ท่านไม่ยอมอนุญาตให้เธอกลับไปเป็นแน่ เธอจะต้องอดทนรอ!
สิ่งที่ต้องทำในตอนนี้คือการรักษาหูให้หายดี ต่อให้ตอนนี้จะผ่าตัดไม่ได้ แต่เธอสามารถทำให้คุณหมอช่วยรักษาอาการของเธอให้คงที่ได้ เพื่อไม่ให้อาการทางหูต้องแย่มากไปกว่านี้ อีกหน่อยถ้าเธอมีเงินค่อยรักษาให้หาย
การล้างแค้นของลูกผู้ชาย สิบปีก็ไม่นับว่าสายไป
คนอย่างอู่เยวี่ยอดทนได้!
………………………………………………………….
บทที่ 623 ให้หมาอย่างพวกมันฟัดกันเอง
เหยียนหมิงซุ่นจูงมือเหมยเหมยเดินออกมาจากโรงพยาบาล แสงแดดระย้าทอประกายสอดส่องไปบนเรือนร่าง เพียงครู่เดียวก็สามารถชำระล้างเรื่องเลวร้ายออกไปจนหมด
“ตอนนี้ยังไม่ถึงบ่ายสองเลย อยากไปเดินเล่นที่ตลาดหนานสุ่ยไหม?”
เหยียนหมิงซุ่นยกข้อมือขึ้นดูนาฬิกา เมื่อเหลือบเห็นยัยตัวแสบที่ถูกแสงแดดส่องกระทบจนต้องทำตาหยี จึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไปแล้วบีบแก้มเหมยเหมย จากนั้นก็ยกขึ้นเพื่อบังแดดที่แยงตาให้เธอ
“ได้สิคะ ฉันรับปากกับพี่ชายไว้ว่าจะหามีดล้ำค่ามาให้เขาหนะ!”
เหมยเหมยตกปากรับคำอย่างยินดี เธอล้วงตัวฉิวฉิวที่หลับปุ๋ยออกมาจากกระเป๋า ช่วงนี้ตัวของคุณชายกลมขึ้นมาไม่น้อย วันๆ เอาแต่กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน แถมยังได้เข้าไปเล่นที่สวนใหญ่เขตราชการ คงจะเจอกับกระรอกตัวเมียสวยๆ ที่นั่นจึงทำให้ดีใจจนออกนอกหน้า
ฉิวฉิวสะบัดหางไปมา มันไม่ได้มีใจอยากไปที่ตลาดหนานสุ่ยนัก ครั้งก่อนเตียงเก่าๆ หลังนั้นได้ให้พละกำลังอันล้นเหลือของมันหลับไหลไปเกินกว่าครึ่งเดือน หนำซ้ำช่องว่างของหลุมพลังก็ฟื้นคืนกลับมามากถึงหกสิบเปอร์เซ็นต์ หากต้องการจะเพิ่มพลังขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น มันจะต้องตามหาของล้ำค่าที่ให้พลังได้มากกว่านี้
ของล้ำค่าประเภทนี้ใช่ว่าจะเจอได้ด้วยการร้องขอแต่อย่างใด ซึ่งในเวลาอันสั้นเช่นนี้ไม่มีทางหาเจอได้!
เพราะงั้นคุณชายฉิวจึงไม่ได้รู้สึกยินดีนัก แม้ว่ากระเป๋าหน้าท้องของมันจะฟื้นคืนพลังมาได้แค่หกในสิบ แต่ของล้ำค่าธรรมดาก่อนหน้าที่เก็บไว้นั้นยังมีมากเหลือที่จะเอาออกมา
ของล้ำค่าธรรมดาในสายตาของคุณชายฉิวแท้จริงไม่ได้เป็นสิ่งธรรมดาเลยสักนิด ของเล่นเก่าๆที่มันเลือกแบบส่งๆยังสามารถทำให้ดวงตาคนทั้งโลกหลุดล่วงออกมาได้ คงไม่ต้องบอกว่าเป็นของล้ำค่าที่ทำให้มนุษย์โลกตกตะลึงได้ขนาดไหน แต่สำหรับคุณชายฉิวแล้ว มองว่ามันเป็นเพียงแค่ของล้ำค่าธรรมดาๆ ที่ไม่เข้าตามันเลยสักนิด!
มันยังรู้สึกรังเกียจที่จะต้องยัดใส่กระเป๋าหน้าท้องเลย!
“พี่หมิงซุ่น ฉันมีเรื่องหนึ่งจะบอกพี่ด้วย อู่เยวี่ยเธอหลอกเอาเงินของเหยียนหมิงต๋าไป ฉันสงสัยว่าเงินค่ารักษาพยาบาลก็เป็นเหยียนหมิงต๋าที่ให้มา!”
เหมยเหมยที่นั่งพูดคุยอยู่ท้ายรถก็อดไม่ได้ที่จะฟ้องเรื่องนี้ออกไป ในเมื่ออู่เยวี่ยช่วยเหอปี้อวิ๋นสาดโคลนใส่เธอ!
เหอะ หูหนวกแล้วยังไม่สำเหนียกที่จะอยู่อย่างสงบอีก!
นอกจากเรื่องเงินแล้ว เหมยเหมยยังได้ฟ้องเรื่องข้าวเที่ยงด้วย เหยียนหมิงซุ่นคิ้วผูกแน่นเป็นปม เรื่องเงินเขาไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร แต่เรื่องที่เหยียนหมิงต๋าพูดขอเงินจากเหยียนเต๋อเต๋อนั้นทำให้เขาเริ่มเกิดความสงสัย
แต่เขาก็นึกไม่ถึงว่าน้องชายผู้โง่เขลาของตนนั้น นอกจากจะเป็นเรื่องเงินแล้ว ยังรับที่จะเป็นฝ่ายเลี้ยงมื้อเที่ยงด้วย!
ไม่แปลกเลยที่ช่วงนี้คุณยายเหยียนจะบอกว่าเขาดูเจริญอาหาร จำนวนเม็ดข้าวในบ้านหมดไปอย่างรวดเร็ว ทำให้คุณยายเหยียนชื่นชมอยู่ไม่น้อย!
เหยียนหมิงซุ่นหัวเราะเยาะไปที เดิมทีเขาไม่อยากเข้าไปวุ่นวายกับเรื่องไม่เป็นเรื่องแบบนี้สักเท่าไหร่ แต่ท่าทีเมื่อครู่ของเหมยเหมยทำให้เขารู้สึกโกรธเคือง เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเธอพูดจาไม่เคยคิดจะให้ร้ายต่อใคร!
“ไม่เป็นไรนะ ไว้พี่จะให้ถานซูฟางเข้ามาจัดการเรื่องนี้”
เหยียนหมิงซุ่นมุมปากยกยิ้มขึ้นอย่างสุขใจ เรื่องจัดการอู่เยวี่ยไม่จำเป็นต้องให้ถึงมือเขาและเหมยเหมยหรอก เพราะยังมีถานซูฟางหนิ!
เกลียดกันทั้งคู่แบบนั้น ให้พวกเขาคอยแก่งแย่งกัดกันเองเถอะ!
เหมยเหมยยกยิ้มจนตาโค้งและพยักหน้ารับคำ “นั่นสิ ให้หมาอย่างพวกมันฟัดกันเอง พวกเรารอดูละครสนุกๆ อยู่ตรงนี้ดีกว่า!”
“เด็กดี!”
เหยียนหมิงซุ่นได้ทีก็ยกมือขึ้นหยิกหยอกแก้มกลมๆบนใบหน้ารูปไข่ของเหมยเหมย เขารู้สึกพึงพอใจมากอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ จึงได้กำชับว่า “เหมยเหมยต่อไปต้องกินเยอะๆ นะ พี่ว่าเธอดูผอมลงไปมาก”
เหมยเหมยตกปากรับคำอย่างไม่มั่นใจนัก เธอตั้งใจเอาไว้อย่างแน่วแน่ที่จะไม่เชื่อฟังเหยียนหมิงซุ่น เรื่องอื่นเธอพร้อมจะรับฟังเสมอ แต่เรื่องนี้เธอยืนหยัดที่จะเชื่อในตัวของเธอเอง!
ต่อให้สาวงามไซซี[1]ยังอยู่บนโลกนี้ ต่อให้อ้วนจนตัวกลมดิก เธอก็ยังน่าเกลียดยิ่งกว่าสาวงามไซซีเป็นแน่!
สตรีที่อ้วนท้วมไม่มีวันได้ดี [2]!
“พี่หมิงซุ่น คุณยายของพี่สุขภาพดีขึ้นบ้างหรือยังคะ?” เหมยเหมยเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็ว เธอไม่ต้องการให้เหยียนหมิงซุ่นจับตามองเรื่องอาหารการกินของเธอ
“หมอกู้กำลังบำบัดโดยการใช้ยาน่ะ คงไม่เร็วขนาดนั้น แต่หมอกู้บอกว่าถ้าหาโสมพันปีได้ ร่างกายของคุณยายต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน ขอบใจเหมยเหมยมากนะ!”
เหยียนหมิงซุ่นรู้ดีว่าการที่ตระกูลจ้าวส่งโสมมาให้ เหมยเหมยต้องเป็นหนึ่งในแรงหนุนแน่ เพราะตระกูลจ้าวมีหลากหลายวิธีที่จะตอบแทนเขาได้ ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องเสียดายยกโสมดีๆ ให้กับเขา!
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกค่ะ เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันนี่คะ!” เหมยเหมยพูดขึ้นพร้อมทั้งยิ้มตาหยี สามารถช่วยเหลือเหยียนหมิงซุ่นได้ เธอเองก็มีความสุข!
…………………………………………………………………………………………..
[1] ไซ-ซี อ่านตามสำเนียงแต้จิ๋ว จีนกลางออกเสียงว่า ซี-ซือ เธอเป็นหนึ่งในสี่ของหญิงงามในแผ่นดินจีน เธอได้รับฉายานามว่า ‘มัจฉาจมวารี’ ความงดงามของเธอได้ทำให้แม้แต่ฝูงปลายังต้องจมสู่ใต้น้ำ
[2] เพราะน้ำหนักตัวที่มากเกินทำให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ จนต้องดูถูกตัวเอง เปรียบดั่งความสดใสในวัยเยาว์ได้เหือดหายมลายไป
Comments