ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น 632 กำจัดลูกศิษย์ก่อนค่อยว่ากัน + บทที่ 633 รางวัลรองชนะเลิศที่ได้มาจากกลุ่มภายในอย่างหน้าไม่อาย

Now you are reading ลิขิตรัก ย้อนรอยแค้น Chapter 632 กำจัดลูกศิษย์ก่อนค่อยว่ากัน + บทที่ 633 รางวัลรองชนะเลิศที่ได้มาจากกลุ่มภายในอย่างหน้าไม่อาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 632 กำจัดลูกศิษย์ก่อนค่อยว่ากัน

วันถัดมาเป็นวันหยุดสุดสัปดาห์ จ้าวเสวียกงสามพี่น้องต่างพากันไปร่วมชมการแข่งขันของเหมยเหมย สถานที่จัดการแข่งขันอยู่ในมหาลัยหนึ่งในเมืองหลวง ตัวแทนทั่วทุกเมืองทุกมณฑลล้วนมารวมตัวกันอยู่ที่นี่ทั้งหมด ผู้คนล้นหลามมากหน้าหลายตา มีผู้ปกครองบางคนที่ไม่ค่อยวางใจนัก จึงตั้งใจตามมาเฝ้าดูด้วย

นอกจากครูบาอาจารย์และผู้ปกครองแล้วนั้น ยังมีนักข่าวอีกจำนวนไม่น้อย มีทั้งจากวารสารสังคม สถานีโทรทัศน์ เป็นเพราะนี่คือการแข่งขันระดับประเทศ เป็นเรื่องธรรมดาที่จะถูกจับตามองมากเป็นพิเศษ ในช่วงหัวค่ำยังมีงานแถลงข่าวอีกด้วย!

ไกลสุดลูกหูลูกตาตรงประตูทางเข้าสนามแข่ง เหมยเหมยมองเห็นโอหยางซานซานพร้อมคุณหญิงผู้เป็นแม่ หวงอวี้เหลียนยังคงปรากฏตัวด้วยท่าทีสง่าผ่าเผยสูงส่งดั่งผู้ลากมากดี โอหยางซานซานก็สวมใส่ชุดเดรสสีชมพูหวานแหววราวกับตุ๊กตา ชมพูไปตั้งแต่หัวจรดเท้า

ข้างกายพวกเขามีชายวัยกลางคนที่อาจมีอายุราวๆ สี่สิบกว่าๆ สวมชุดสูทและรองเท้าหนัง ผมเผ้าที่ถูกเซ็ทมาจนมันวับเป็นเงาสะท้อน ซึ่งกำลังพูดคุยหัวเราะกับหวงอวี้เหลียนอย่างออกรสออกชาติ และวางตัวด้วยท่าทีน้อมนอบ

“เหมยเหมย ชายผู้นั้นคือหร่วนหวาไฉ่”

จ้าวเสวียกงชี้ไปด้านหน้า เหมยเหมยจึงมองตามมือของเขาไป เหยียนซินหย่าเคยบอกว่าหร่วนหวาไฉ่และเจิ้งซื่อหลินมีอายุตามความเป็นจริงต่างจากคุณตาไม่มากเท่าไหร่ เป็นเพราะคุณตามีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย อีกทั้งยังมีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศ ฐานะในวงการวาดภาพก็ไม่เบา ในปีนั้นมีคนที่อายุมากกว่าคุณตาอยู่จำนวนมาก ซึ่งทุกคนต่างแก่งแย่งเพื่อยกย่องให้ได้คุณตาเป็นอาจารย์ของตน แต่คุณตากลับปฏิเสธพวกเขาไปทั้งหมด

เหตุผลที่คุณตาปฏิเสธถือว่าน่าสนใจไม่น้อย ท่านพูดเพียงแค่รู้สึกไม่สบายใจที่จะให้คนที่อายุมากกว่าตนมากระทำพิธีรีตองต่างๆ และร้องขอเช่นนี้ !

อีกอย่างทั้งชีวิตของคุณตา มีเพียงแค่สามคนเท่านั้นที่ท่านรับไว้เป็นลูกศิษย์ สองในสามคนนั้นเป็นสัตว์ชั้นต่ำที่ทำตัวหน้าเนื้อใจเสือ ส่วนอีกคนเป็นศิษย์คนหนึ่งที่คุณตาภาคภูมิใจมาก เพียงแต่ในปีนั้นไม่ต้องการจะร่วมกระทำกรรมชั่วกับหร่วนหวาไฉ่ จึงถูกกดขี่ข่มเหง หลังจากที่คุณตาเสียชีวิตไป เขาก็หายตัวไปอย่างไร้ล่องลอย เป็นหรือตายก็ไม่มีใครรู้

จ้าวอิงหัวเคยให้คนไปสืบหาเบาะแสของคนคนนี้ ทราบเพียงแค่เขาถูกส่งตัวไปอยู่ที่หลิ่งหนาน[1] แต่กลับหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย หลายสิบปีมานี้ไม่มีข่าวคราวใดๆเลย เกรงว่าเขาจะพบพานแต่เหตุอันเป็นทุกข์

พูดตามหลักแล้วตอนนี้อายุของหร่วนหวาไฉ่คงเกินครึ่งร้อยแล้ว แต่มองเขาในตอนนี้มากสุดมีอายุเพียงแค่สี่สิบต้นๆ แสงสีแดงเต็มทั่วบนใบหน้าเป็นสง่าราศี ดูก็รู้ว่าหลายปีมานี้ใช้ชีวิตได้สุขสบายเพียงใด

พอเห็นแบบนี้แล้ว ดูเหมือนว่าตานเหอเจิ้งและเจิ้งซื่อหลินเองก็คงมีชีวิตดีไม่ต่างกันนัก!

เหมยเหมยจ้องหร่วนหวาไฉ่อย่างโกรธแค้น แต่เสียดายที่ตอนนี้อายุของเธอยังน้อย ฝีมือยังมีไม่มากเท่าที่ควร จึงไม่อาจแก้แค้นแทนคุณตาของเธอได้!

แต่เธอสามารถกำจัดลูกศิษย์ของคนชั่วอย่างมันได้!

จากตอนแรกเธอไม่ได้ใส่ใจต่อการแข่งขันระดับประเทศสักเท่าไหร่ ได้หรือไม่ได้รางวัลเธอไม่ได้สนใจ แต่ตอนนี้ความคิดของเธอเปลี่ยนไปแล้ว

รางวัลจะต้องได้ และจะต้องได้ลำดับที่สูงกว่าโอหยางซานซาน!

“เหมยเหมย พวกเราต้องคอยระวังยัยหมีสีน้ำตาลนั่น ฉันสงสัยว่าไอ้ชั่วหร่วนนั่นจะต้องเปิดไฟเขียวให้ยัยหมีสีนำตาลนั่นอีกแน่!” จ้าวเสวียกงพูดอย่างระแวง

มาถึงตรงนี้แล้วพวกเขาสามารถเดาได้ชัดทุกอย่างดั่งตาเห็น ทางฝั่งหวงอวี้เหลียนนั้น…

“คุณผู้หญิงโอหยางวางใจได้ลยครับ ซานซานเป็นถึงศิษย์มือเอกของผม ทำไมจะไม่ได้รางวัลล่ะครับ!” หร่วนหวาไฉ่ประจบประแจง

แม้ว่าตระกูลโอหยางจะไม่เข้าตาตระกูลจ้าวนัก แต่สำหรับหร่วนหวาไฉ่พวกเขานั้นถือว่าตระกูลโอหยางเป็นผู้สูงส่งอย่างหาที่เทียบไม่ได้แล้ว แต่สำหรับตระกูลจ้าวนั้น แม้แต่จะคิดยังไม่กล้าคิด  ไม่กล้าแม้แต่จะคิดด้วยซ้ำ

หวงอวี้เหลียนยิ้มด้วยความพึงพอใจ จากนั้นถาม “แล้วสำหรับคุณคิดว่าซานซานของเราจะได้รางวัลอะไรคะ?”

“หากไม่ผิดคาดนั้นคงเป็นรางวัลที่สามครับ”

หร่วนหวาไฉ่เหลือบมองรอยยิ้มที่ค่อยๆจางหายของหวงอวี้เหลียนจึงรนรานพูดอธิบาย “คืออย่างนี้ครับ ถึงยังไงซานซานก็เรียนวาดรูปได้ไม่ถึงสามปี แต่ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ กลับเรียนมานับเจ็ดแปดปี สิบปีแล้ว ซึ่งความสามารถถือว่าสูงมาก”

โอหยางซานซานทำหน้าบูดบึ้ง พร้อมทั้งพูดออดอ้อนอย่างเอาแต่ใจ “แม่คะ หนูไม่ชอบที่สามเลย เพื่อนๆ ต้องหัวเราะเยาะหนูเป็นแน่ หนูจะเอาที่หนึ่ง!”

หวงอวี้เหลียนหันมองหร่วนหวาไฉ่ที่ใบหน้าที่ฝืนยิ้ม ความหมายก็คือคุณหาวิธีจัดการเองแล้วกัน!

………………………………………………………

[1] เขตที่อยู่ทางทิศใต้ของเทือกเขาทั้งห้า ซึ่งเป็นเขตมณฑลกว่างตงและกว่างซีในปัจจุบัน

บทที่ 633 รางวัลรองชนะเลิศที่ได้มาจากกลุ่มภายในอย่างหน้าไม่อาย

หร่วนหวาไฉ่ได้รับสายตาตักเตือนจากหวงอวี้เหลียน ในใจเต้นรัวอย่างไม่เป็นจังหวะ

หากไม่เห็นแก่ที่พ่อของโอหยางซานซานเป็นผู้นำที่ดูแลทางด้านศิลปวัฒนธรรมล่ะก็ เขาจะยอมรับสาวน้อยไร้พรสวรรค์อย่างเธอมาเป็นลูกศิษย์งั้นหรือ?

อุ้งมือทั้งสองข้างที่เห็นว่านิ่มๆขาวๆนั้น พอได้จับพู่กันก็ได้ทำลายทุกอย่างจนสิ้น เรียนมาตั้งสามปีแต่กลับเรียนรู้ได้แค่สิ่งที่ง่ายที่สุด ผลงานการแข่งขันในครั้งนี้ ยังคงเป็นเขาที่แอบเปิดเผยหัวข้อไปเมื่อสามเดือนก่อน เขาให้โอหยางซานซานอดทนฝึกฝนวาดภาพนั้นอยู่ที่บ้านแค่ภาพเดียวซ้ำๆ

ต่อให้เป็นวัวจ่าฝูง ผ่านความลำบากยากเข็ญในการฝึกฝนมาสามสี่เดือน อย่างมากก็คงจะพอวาดออกมาให้มีความเป็นเอกลักษณ์ได้บ้าง?

แต่ลูกศิษย์สาวคนนี้ก็นะ ฝืนมาตั้งสามเดือนกลับวาดออกมาได้แบบไม่มีสิทธิ์เข้าเหยียบสนามสอบได้เลยด้วยซ้ำ ช่วยไม่ได้ หร่วนหวาไฉ่จึงทำได้เพียงวาดด้วยตัวเองเพื่อเป็นแบบให้โอหยางซานซานลอกเลียนสเกทจากภาพวาดของเขา ไม่ขอให้ถ่ายทอดอารมณ์ แต่ขอให้รูปร่างและองค์ประกอบครบ

ฝืนดันเขาไปอย่างนั้น รวมทั้งการดูแลจากเขา ถึงทำให้โอหยางซานซานสามารถเข้ารอบการแข่งขันระดับประเทศมาได้ เขายังต้องทำหน้าหนาเข้าไว้ เพื่อเอารางวัลอันดับสามมาให้ลูกศิษย์เขา รางวัลที่สามมีทั้งหมดเพียงสามรางวัล!

แต่ขนาดนี้แล้วพวกเธอยังไม่พอใจอีก?

ยังอยากได้ที่หนึ่ง?

ช่างเป็นพวกสันดานหมาเสียจริง !

นี่เป็นถึงการแข่งขันระดับประเทศที่มีสื่อมาทำข่าวอีกมากมาย ที่หนึ่งก็มีได้เพียงหนึ่งเดียว ฝีมือการวาดระดับต่ำๆอย่างโอหยางซานซานหรือจะใช้เส้นสายภายในคว้าตำแหน่งที่หนึ่งได้? แล้วต่อไปหร่วนหวาไฉ่อย่างเขาจะใช้ชีวิตอยู่ในวงการวาดภาพต่อไปอย่างไรหรือ?

“หากเป็นที่หนึ่งผมคงช่วยไม่ได้แล้วล่ะครับ คุณผู้หญิงโอหยางโปรดอภัยด้วย !”

หร่วนหวาไฉ่ปฏิเสธออกไป ต่อให้หวงอวี้เหลียนโกรธ เขาก็ไม่อาจตกปากรับคำได้!

ให้ตายเถอะสองแม่ลูกนี่หน้าไม่อายเสียยิ่งกว่าที่เขาคิด อีกทั้งยังไม่เข้าใจในเรื่องความเป็นไปได้ใดๆเลย ความสามารถระดับเด็กอนุบาล แต่จะคว้ารางวัลที่หนึ่ง?

เห็นว่าประชาชนทั้งประเทศโง่นักหรือไง?

หวงอวี้เหลียนมีสีหน้าบึ้งตึงและเริ่มไม่พอใจต่อหร่วนหวาไฉ่ เธอพูดขึ้นอย่างมีเจตนา “หัวหน้าเลขานุการหร่วน ฉันจำได้ว่าตำแหน่งเรขาของคุณเป็นได้ยังไม่ถึงปีเลยนี่คะ?”

หร่วนหวาไฉ่กรนด่าอยู่ในใจ สั่งสอนลูกสาวที่โง่เหมือนหมูของหล่อนมานานถึงสามปี แต่เพิ่งจะยกตำแหน่งเลขาให้เขาได้ไม่ถึงปี แล้วยังจะกล้ายกเรื่องนี้มาพูดอีกหรือ?

“นั่นน่ะสิครับ ตอนแรกผมคิดว่าจะได้ตำแหน่งนี้มาตั้งแต่สองปีก่อนเสียอีก แต่ก็ต้องขอบคุณคุณหญิงโอหยางที่เป็นห่วงนะครับ แต่เรื่องที่หนึ่งของซานซานผมทำไม่ได้จริงๆ หากถึงเวลาที่เบื้องบนรู้เรื่องเข้า ตำแหน่งเลขาของผมจะหย่อนตูดนั่งได้ไม่ทันร้อน เกรงว่าจะถูกคนอื่นลากไปเสียก่อนได้!”

คำขู่นั้นไม่ได้มีผลต่อหร่วนหวาไฉ่ แม้ว่าตำแหน่งเลขาจะสำคัญ แต่เขาเองก็ห่วงเกียรติและหน้าตามากกว่า หากว่าเรื่องนี้หลุดออกไป ชื่อเสียงของเขาคงจะไม่เหลือ!

ธุรกิจที่ขาดทุนในอนาคตเขาไม่ทำมันแน่!

เมื่อหวงอวี้เหลียนเห็นว่าหร่วนหวาไฉ่ไม่ยอมให้ความช่วยเหลือ แม้จะโกรธเกลียดที่เขาไม่อาจทำการใดให้สำเร็จได้ แต่เธอก็ไม่มีทางอื่นอีกแล้ว ใครใช้ให้อาจารย์ในวงการภาพวาดที่มีชือเสียง มีแค่หร่วนหวาไฉ่คนเดียวที่ยอมรับลูกสาวของเธอเป็นศิษย์ล่ะ!

อาจารย์คนอื่นๆให้ซานซานวาดได้ไม่กี่เส้น ทุกคนต่างก็ปฏิเสธในทันที คำพูดคำจาก็ช่างน่าฟังยิ่ง บอกว่าระดับฝีมือของซานซานมีมากเกินไป พวกเขาไม่อาจสอนให้ได้ แต่ความจริงเป็นเช่นไรมีหรือที่เธอจะไม่รู้?

คงหนีไม่พ้นรังเกียจที่ซานซานไม่มีพรสวรรค์!

จนสุดท้ายต้องบุกมาขอยังหร่วนหวาไฉ่ที่นี่ แต่ก็เป็นเธอที่เอาตำแหน่งเลขานุการมาหลอกล่อ หร่วนหวาไฉ่จึงได้ตกลงอย่างยินดี และรับซานซานไว้เป็นศิษย์ของเขา หลายปีมานี้ถือว่าทำให้เธอพอใจไม่น้อย ซานซานมีชื่อเสียงมาจากการแข่งวาดภาพมาก็ไม่น้อย เธอยังมีชื่อเรียกในเมืองหลวงว่าสาวน้อยผู้มากด้วยพรสวรรค์

หวงอวี้เหลียนรู้ดีว่าไม่ควรจะรีบร้อนจนเกินไปจึงยอมลดความต้องการลง เปลี่ยนเป็นรางวัลชนะเลิศอันดับสองแทน ขณะเดียวกันเธอยังยินยอมให้มีรายชื่อของหร่วนหวาไฉ่ในการไปสัมมนาที่ต่างประเทศในปีหน้าด้วย

ทั้งคู่ตกปากร่วมมือกัน และตัดสินลำดับผลการแข่งขันของโอหยางซานซานอย่างสุขสมอารมณ์หมาย

แต่เด็กนักเรียนที่ฝึกฝนมาอย่างลำบากและครูอาจารย์ผู้ปกครองกลับไม่มีใครรับรู้ รางวัลที่สองเพียงสองตำแหน่งหายไปแล้วหนึ่งตำแหน่ง เหลือไว้เพียงแค่หนึ่ง!

…………………………………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด