ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! 556 บรรพบุรุษตัวน้อยไม่กลัวฟ้ากลัวดิน

Now you are reading ลูกชายของประธาน….เรียกฉันหม่ามี๊?! Chapter 556 บรรพบุรุษตัวน้อยไม่กลัวฟ้ากลัวดิน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 556 บรรพบุรุษตัวน้อยไม่กลัวฟ้ากลัวดิน

เสี่ยวเป่าถูกเด็กน้อยหอมจนถึงกับอึ้ง เห็นเด็กน้อยหัวเราะชอบใจ ตัวเองก็อดไม่ได้จะหัวเราะตามด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ

เขาลูบศีรษะของเด็กน้อย แล้วก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดูเด็กน้อยคนนี้มากขึ้น

แปลกมากที่เขาชอบเด็กน้อยที่ตัวอมชมพูคนนี้มาก ทำให้เขารู้สึกสนิทคุ้นเคยมากอย่างอธิบายไม่ถูก

ในใจเสี่ยวเป่าเปรียบเธอเสมือนน้องสาวแท้ๆของตัวเองที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน และรู้สึกเอ็นดูเธอมาก

เขาลูบอยู่ศีรษะของเด็กน้อยด้วยความรัก มือข้างหนึ่งก็จับเธอไว้แน่น ทั้งคู่หันหน้ายิ้มให้แก่กันและกัน

เด็กน้อยซบอยู่ที่ไหล่ของเขาแล้วงีบหลับไป ทั้งคู่ดูสนิทสนมกันมาก ไม่เหมือนกับเป็นการพบเจอกันครั้งแรก

และ โจเซฟที่นั่งขับรถอยู่ด้านหน้า ได้มองเห็นภาพนี้ผ่านกระจกหลังแล้วถึงกับอึ้ง

ทำไมเด็กน้อยคนนี้เวลายิ้มถึงได้เหมือนกับคุณชายน้อยมาก……

ดูเหมือนว่ายังดูคล้ายเงาของเจ้านายตัวเองด้วย ช่างแปลกพิลึกจริงๆ

เขาสะบัดหัว สะบัดความคิดนี้ให้ออกไปจากสมอง แล้วตั้งหน้าตั้งตาขับรถ

อีกฟากหนึ่ง ณ คฤหาสน์ จิ้นเฟิงเฉินมองดูนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนังแล้วคิ้วก็ขมวดขึ้น

เสี่ยวเป่าออกไปเล่นตั้งนานแล้ว ตอนนี้ยังไม่กลับมาอีก!

ดูแล้วคงเป็นเพราะช่วงนี้ตามใจจนเกินไป เหลิงจนไม่เกรงกลัว

พ่อบ้านแค่มองตาก็รู้ใจ จึงได้ถามขึ้น : “คุณท่านครับ คุณชายน้อยบางทีอาจลืมดูนาฬิกา ให้ผมโทรหาโจเซฟเดี๋ยวนี้ไหมครับ”

ในเวลาเพียงสิบนาทีที่จิ้นเฟิงเฉินนั่งอยู่ในห้องนั่งเล่น แล้วหันมองนาฬิกามากกว่าห้าครั้ง

เปลือกตาของจิ้นเฟิงเฉินขยับขึ้น เพื่อเป็นการตอบตกลงโดยปริยาย

พ่อบ้านได้ล้วงโทรศัพท์ออกมา กำลังจะทำการโทรหานั้น ก็ได้ยินเสียงรถลอยมาจากด้านนอก

สีหน้าของเขาดีใจขึ้น แล้วก็เดินไปดูด้านนอก พบว่าเป็นรถของบ้านตัวเอง

“คุณชายน้อยกลับมาแล้ว”

จึงหันไปรายงานกับจิ้นเฟิงเฉิน และจิตใจก็รู้สึกโล่งอกขึ้น

ถ้าหากเสี่ยวเป่ายังไม่กลับมา เกรงว่าจิ้นเฟิงเฉินคงจะโกรธจริงๆ

พ่อบ้านโค้งคำนับเด็กน้อย แล้วก็รีบเดินเข้าไปหา

จิ้นเฟิงเฉินก็ลุกขึ้นจากโซฟา มุ่งเดินไปด้านนอก

ประตูรถยนต์สีดำได้ถูกเปิดออก เสี่ยวเป่ากระโดดออกมาจากตัวรถ

พ่อบ้านจึงอุทานแล้วตะโกนใส่เสี่ยวเป่าด้วยความตกใจ : “โอ๊ย คุณชายน้อย ช้าๆหน่อย”

จิ้นเฟิงเฉินขมวดคิ้วขึ้นมองภาพนั้นอย่างไม่พอใจ

แต่ถึงอย่างไรเสี่ยวเป่าก็ไม่สนใจพวกเขา หลังจากที่ตัวเองลงจากรถแล้ว ก็รีบหมุนตัวกลับทันที แล้วทำท่าอ้าแขนรับ

แล้วเห็นเขาพูดเข้าไปในรถด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน : “น้องสาว โดดลงมาเลย ไม่ต้องกลัว เดี๋ยวพี่จะรับเธอเอง”

สักพัก ในดวงตาจิ้นเฟิงเฉินปรากฏร่างเจ้าหญิงน้อยตัวอมชมพูที่มีผมถักเปีย

เธอย่อตัวลงไปกอดที่คอของเสี่ยวเป่าก่อน จากนั้นค่อยกระโดดเบาๆ ไปอยู่บนตัวของเสี่ยวเป่า แล้วค่อยปล่อยเท้าลงพื้น

เมื่อลงถึงพื้น มือน้อยๆอ้วนๆยังคงไม่ยอมปล่อยไปจากคอของเสี่ยวเป่า เหมือนกับปลาหมึกที่เกาะคอเสี่ยวเป่าไว้อย่างแน่น

น้ำหนักที่ปล่อยลงทำให้คอเสี่ยวเป่าถึงกับแดง

ในทางกลับกันเสี่ยวเป่ากลับไม่รู้สึกว่าเจ็บปวดตรงไหน และคอยปกป้องเด็กน้อยอย่างระมัดระวัง กลัวว่าเธอจะตกลงมา

และพูดงึมงำในปาก “เธอระวังหน่อยสิ เดี๋ยวก็ล้มหรอก”

พ่อบ้านกับจิ้นเฟิงเฉินตะลึงไปกับภาพนี้

หลังจากที่ยืนอึ้งไปชั่วขณะ จิ้นเฟิงเฉินก็ได้สติขึ้น

เขาเดินไปหาเสี่ยวเป่าด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม

“เสี่ยวเป่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น”

เขาจ้องเขม็งไปทางเสี่ยวเป่าอย่างเคร่งเครียด

ทำไมออกไปเที่ยวแป๊บเดียวถึงได้พาเด็กน้อยกลับมาบ้านด้วย

เด็กน้อยหลบอยู่ด้านหลังของเสี่ยวเป่า แล้วจับปลายเสื้อของเขาไว้แน่น เมื่อได้ยินเสียงนี้ จึงชะเง้อมองด้วยความสงสัย

วินาทีที่เห็นใบหน้าของจิ้นเฟิงเฉิน เด็กน้อยถึงกับตกใจชะงัก ปากเล็กๆที่อมชมพูได้อ้าขึ้น

ว้าว พี่ชายเวอร์ชันผู้ใหญ่ ดูดีจังเลย!

เมื่อเห็นเด็กน้อยไม่พูดไม่จา เสี่ยวเป่านึกว่าเธอจะถูกจิ้งเฟิงเฉินทำให้ตกใจ จึงรีบหันหลังไปปลอบเธอ

“ไม่ต้องกลัวนะ เขาคือแดดดี๊ของพี่เอง”

จิ้นเฟิงเฉินที่ถูกมองข้าม สีหน้าก็ดิ่งลง

เขาเบ่งเสียงสูงขึ้นเรียกชื่อเสี่ยวเป่า

“จิ้นเป่ยเฉิน!ไม่ได้ยินที่พ่อถามรึไง ไปเอาเด็กน้อยคนนี้มาจากไหน!”

เสี่ยวเป่าได้ยินดังนั้นก็ดึงตัวเด็กน้อยมายืนด้านหน้า แล้วพูดอธิบายขึ้น : “ผม ผมเก็บมาจากที่ลานจัตุรัส เธอเดินพลัดหลงกับแม่ของเธอ ผมจึงได้พาเธอกลับมาบ้านด้วย”

แล้วร่างนั้นก็เดินมาบังตัวเด็กน้อย กลัวว่าจิ้นเฟิงเฉินจะทำอะไรเธอ

จิ้นเฟิงเฉินขมวดคิ้ว แล้วตำหนิอย่างรุนแรง “เหลวไหล! เดินพลัดหลงก็ควรพาไปแจ้งความสิ พาเธอกลับมาบ้านแบบนี้ พ่อแม่ของเธอร้อนใจขึ้นมาแล้วจะทำอย่างไร”

เดิมทีเขาคิดว่าเสี่ยวเป่านึกเล่นสนุก แล้วพาลูกของคนอื่นกลับมาบ้านด้วย

จึงหันไปมองทางโจเซฟด้วยสายตาเยือกเย็น

ราวกับดาบที่คมกริบชี้มาทางโจเซฟ “นายติดตามตามอยู่ข้างกายเขา ทำไมถึงปล่อยให้เขาทำเรื่องเหลวไหลเช่นนี้”

โจเซฟย่อตัวลงพร้อมกับความเสียใจที่ปรากฏบนใบหน้า เขารู้สึกลำบากใจแต่ก็ไม่สามารถพูดออกมาได้

เขาได้ตักเตือนแล้ว แต่ว่ามันไม่ได้ผล

คุณชายน้อยบรรพบุรุษตัวน้อยที่ไม่เคยกลัวฟ้ากลัวดิน แล้วจะเชื่อฟังเขาได้อย่างไร

“ขออภัยครับ คุณชาย แต่ว่าเรื่องนี้ก็ไม่อาจจะโทษคุณชายน้อยได้ พวกเราได้ทำการแจ้งความไว้เรียบร้อยแล้ว แต่ว่าเด็กน้อยคนนี้เกาะแกะคุณชายน้อยไม่ยอมปล่อย

เป็นตายอย่างไรก็ไม่ยอมอยู่ที่สถานีตำรวจ พวกเราไม่มีทางเลือกจึงได้พาเธอกลับมาด้วย พวกเราได้ทิ้งข้อมูลการติดต่อไว้ที่นั่นแล้ว ถ้าพ่อแม่ของเด็กน้อยมีการแจ้งความ ก็คงจะติดต่อกลับมาเร็ว ๆนี้ ……”

โจเซฟได้เล่าเรื่องราวคร่าวๆเกี่ยวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นให้เขาฟัง

ไม่ได้แก้ต่างให้กับตัวเอง แต่กลับเป็นการปกป้องเสี่ยวเป่าแทน

จิ้นเฟิงเฉินได้ยินดังนั้น ก็หรี่ตาไปมองเด็กน้อยทั้งสองคน อารมณ์โกรธก็ยังไม่ทุเลาลง

ต่อให้เป็นเช่นนี้ อย่างไรเสียการพาเด็กน้อยกลับมาที่บ้านก็เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม!

ถ้าหากว่าเกิดอะไรขึ้นมา ถึงตอนนั้นต่อให้มีเหตุผลก็ฟังไม่ขึ้น

สบตาเข้ากับสายตาที่อยากรู้อยากเห็นของเด็กน้อยคนนี้ ไม่น่าเชื่อว่าเด็กน้อยคนนี้ไม่กลัวเขาเลยแม้แต่น้อย

นัยน์ตาสีดำกลมโตเปล่งประกายแวววับ แฝงด้วยแสงแห่งความใสซื่อบริสุทธิ์ จ้องมองมาที่เขา

ใบหน้าที่เท่าฝ่ามือ แก้มแดงๆเหมือนกับลูกแอปเปิล

ปากเล็กๆที่ปิดๆเปิดๆ พ่นน้ำลายออกมาเป็นฟอง ท่าทางที่ไร้เดียงสานั้นช่างดูน่ารักน่าชัง

จิ้นเฟิงเฉินหันไปมองแวบแรกถึงกับอึ้งตะลึงไปทั้งตัว

หว่างคิ้วได้พับย่นขึ้น ถูกสายตาของเด็กน้อยคนนี้กระชากวิญญาณไปเสียแล้ว

ดวงตาสดใสและปราดเปรียวคู่นี้ได้กระโจนใส่หัวใจของเขาที่เรียบนิ่งดุจทะเลสาบ ให้ความรู้สึกบางอย่างที่เหมือนกับว่าเขาเคยรู้จักกับเด็กน้อยคนนี้มาก่อน

เด็กน้อยคนนี้ เขาเคยเห็นที่ไหนมาก่อนนะ ทำไมถึงได้คุ้นตาขนาดนี้

ขณะที่เขาอยากจะเพ่งมองดีๆนั้น เสี่ยวเป่าก็ได้เดินมาข้างหน้าบดบังสายตาของเขาไว้

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับ โจเซฟและเด็กน้อยคนนี้ ถ้าหากอยากจะดุด่าก็ดุด่าผมเถอะ แต่ว่าแดดดี๊ ผมขอร้องนะครับ ขอให้เด็กน้อยคนนี้อยู่กับผมก่อนได้ไหม เมื่อพ่อแม่ของเธอติดต่อมาแล้ว ค่อยปล่อยเธอไป แดดดี๊ว่าแบบนี้ดีไหม เธอช่างน่าสงสารเหลือเกิน แดดดี๊จะทนเห็นเธอเร่ร่อนตามท้องถนนได้เหรอ”

คำพูดของเสี่ยวเป่าก่อนหน้าบอกอย่างหนักแน่นอาจหาญว่าเป็นความผิดของตัวเอง

แต่คำพูดต่อมากลับเป็นคำพูดขอร้องวิงวอนแทนเด็กน้อยอย่างน่าสงสาร

จิ้นเฟิงเฉินกระตุกที่มุมปากขึ้น ลูกชายคนนี้ยังรู้จักการลักพาแบบมีคุณธรรมแล้วเหรอ

เขาจ้องมองไปที่ตัวเด็กน้อย กำลังอยากจะพูดขึ้นว่าต่อให้ไล่เธอไปเธอก็ไม่มีทางเร่ร่อนอยู่บนถนน ก็เห็นเด็กน้อยยิ้มตาหยีมาทางเขา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด