วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ 1218 เธอไม่เรียกร้องอะไรเลย
ในขณะเดียวกันหญิงสาวที่ถังหนิงพาเข้ามาในห้องทำงานนั้นดูจะรู้ตัวเองดี อย่างไรเสียเธอก็กำลังเผชิญหน้ากับคนดังระดับนานาชาติ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะรู้สึกตื่นตระหนกไปบ้าง
แต่เพื่อลูกของเธอ เธอตัดสินใจพูดบางอย่างออกมา “สวัสดีค่ะ คุณนายโม่ ฉันนามสกุลเหยา เป็นหมอแผนกฉุกเฉินค่ะ”
“ฉันไม่เคยได้ยินว่าลูกชายของฉันคบหากับใครเลยนะ เธออาจต้องเล่าให้ละเอียดกว่านี้แล้วละ” ถัง
หนิงไม่อยากจะเชื่อว่าลูกชายตัวเองจะเป็นผู้ชายไร้ความรับผิดชอบขนาดนี้ เธอจึงต้องทำทุกอย่างให้กระจ่าง
“เรื่องนี้โทษโม่จื่อซีไม่ได้หรอกค่ะ จริงๆ เราเคยเจอกันแค่ครั้งเดียวและก็ไม่ได้สนิทสนมคุ้นเคยกัน ความจริงฉันเกรงว่าเขาอาจไม่รู้ว่าเกิดเรื่องบางอย่างระหว่างเราเลยด้วยซ้ำค่ะ…
…เรื่องมันเป็นอย่างนี้ค่ะ โรงพยาบาลที่ฉันทำงานอยู่ในเครือของกองทัพ เพื่อนทหารของเขาเลยคุ้นเคยกับหลายคนที่แผนกของฉัน มีครั้งหนึ่งที่ทุกคนมาเจอกันและดื่มหนักมาก แต่ใครบางคนก็มาส่งเขาผิดห้องนอน แล้ววันนั้นฉันก็เมาด้วย…
…หลังจากนั้นฉันก็ออกมาจากห้องและแสร้งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แค่ฉันก็นึกไม่ถึงว่าตัวเองจะตั้งท้อง…
…เพราะเงื่อนไขด้านร่างกายของฉันเลยไม่สามารถทำแท้งได้ ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากคลอดลูกออกมาค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้น ทำไมเธอถึงรอจนเด็กอายุสามขวบถึงได้มาหาพวกเราล่ะ” ถังหนิงถาม
“ฉันไม่ได้มาที่นี่เพื่อรีดไถ่เงินหรืออย่างอื่นจากตระกูลโม่นะคะ เด็กคนนี้เป็นลูกของฉัน ดังนั้นฉันจะรับผิดชอบเองค่ะ ฉันแค่พาเขามาที่นี่เพื่อบอกคุณว่าเขามีภาวะโลหิตจาง ในฐานะแม่เลี้ยงเดี่ยว ฉันต้องดูแลเขาพร้อมกับทำงานเลี้ยงชีพไปด้วย ฉันเลยรู้สึกว่าตัวเองละเลยเขาไปน่ะค่ะ…
…เพราะเรื่องนี้ ฉันครุ่นคิดมาหลายวันและตัดสินใจว่าการส่งเขามาให้ตระกูลโม่จะทำให้เขามีชีวิตรอดได้ดีที่สุดค่ะ” เธอพยายามเข้มแข็งขณะที่เล่า แต่ในความเป็นจริงดวงตาของเธอนั้นแดงก่ำเสียแล้ว
“ถ้าคุณอยากจะตรวจดีเอ็นเอหรืออะไรทำนองนั้นก็ตามสบายเลยนะคะ ตราบใดที่ฉันมั่นใจในสุขภาพของลูกได้ ฉันยินดีที่จะเซ็นสัญญาอะไรก็ได้ค่ะ ต่อให้คุณบอกไม่ให้ฉันมาเจอเขาอีกฉันก็ยอมค่ะ”
หลังได้ยินสิ่งที่เธอเล่า ถังหนิงก็เข้าใจเจตนาของอีกฝ่าย
หากแต่ยังไม่มีหลักฐานอะไรมายืนยัน เธอจึงยังไม่สามารถตัดสินใจได้
“ฉันจะไม่ออกความเห็นเรื่องนี้เพราะเด็กก็เกิดมาแล้ว ถ้าคุณไว้ใจเราก็ทิ้งเขาไว้ที่นี่แล้วเราจะทดสอบบางอย่างกับเขา ส่วนเรื่องอื่นๆ ฉันต้องเข้าใจสถานการณ์ก่อนจะตัดสินใจ”
เมื่อเธอได้ฟังเช่นนี้เธอก็พยักหน้ารับ “แค่เขาไม่อึดอัดใจฉันก็โอเคค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ทิ้งช่องทางติดต่อของเธอเอาไว้ให้ฉัน แล้วฉันจะโทรไปหลังจากรู้เรื่องทุกอย่างแน่ชัดแล้ว”
“คุณนายโม่คะ ฉันไม่คิดตั้งใจทำลายภาพลักษณ์ของโม่จื่อซีเลยนะคะ แต่ว่าเด็กคนนี้เป็นความรับผิดชอบของเราทั้งสองคนน่ะค่ะ”
“ฉันเข้าใจ” ถังหนิงพยักหน้า “เธอทำถูกแล้วละ”
“ฉันจะไปหลังทิ้งช่องทางติดต่อกับคุณไว้นะคะ” หญิงสาวเอ่ยอย่างสงบนิ่งโดยไม่มีน้ำตาสักหยด ท่าทีของเธอชัดเจนว่าไม่ได้มาเพราะเงินของตระกูลโม่ แต่เพื่อให้ลูกของเธอได้เข้าถึงการรักษาที่ดีกว่าต่างหาก
หากสิ่งที่เธอพูดเป็นเรื่องจริง ถังหนิงคงมองว่าเธอน่าชื่นชมไม่น้อย
ทว่าหากเธอมาเพื่อหลอกลวงพวกเขา…
อันที่จริงคงไม่มีใครในโลกนี้ที่อาจหาญพอที่จะเข้ามาหลอกลวงตระกูลโม่เช่นนี้ใช่ไหมล่ะ
หลังจากหญิงสาวคนนั้นจากไป ทุกคนก็เข้ามาในห้องทำงานเพื่อให้รู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
“แม่คะ เด็กจะอยู่ที่นี่เหรอคะ เราจะดูแลเขายังไงล่ะคะ”
“เขาเรียกลูกว่าน้าแล้วนี่ ลูกไม่รู้ว่าจะดูแลเขายังไงงั้นเหรอ” ถังหนิงหัวเราะ
“เราควรบอกพี่ใหญ่ไหมคะ”
“อืม บอกให้เขากลับมาที่บ้านสิ” ถังหนิงพยักหน้าก่อนจะอุ้มเด็กมาจากอ้อมแขนของโม่จื่อเหยียน เมื่อมองหน้าเด็กน้อย เธอรู้สึกราวกับได้เห็นโม่จื่อซีกับโม่จื่อเฉินครั้งยังเล็ก
หน้าตาพวกเขาเหมือนกันไม่ผิดเพี้ยน ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างเด็กคนนี้กับโม่จื่อซีจะเป็นเรื่องจริง แต่เรื่องราวเบื้องหลังเขาจะจริงหรือไม่ มันยังคงต้องพิสูจน์กันต่อไป
“ถิงคะ…ขอผลตรวจดีเอ็นเอภายในคืนนี้นะคะ จื่อเหยียน ไปที่ห้องพี่และหาเล้นผมของเขามาสักเล้นนะ”
“ค่ะ” จื่อเหยียนรีบลงมือทันที
“แล้วเราก็ต้องรบกวนให้ลู่เช่อหาข้อมูลเบื้องลึกเบื้องหลังของผู้หญิงคนนี้ด้วย”
“แม่คะ ถ้าเขาเป็นลูกของพี่ใหญ่จริง เราจะทำยังไงเหรอคะ ผู้หญิงคนนี้เธอเรียกร้องอะไรเหรอคะ”
เมื่อได้ยินคำถามของโม่จื่อเหยียน ถังหนิงก็ส่ายหน้า “เธอไม่เรียกร้องอะไรเลย แค่ขอให้เราช่วยรักษาเด็กให้ดีที่สุดเพราะเขามีภาวะโลหิตจาง”
“เขาน่ารักจะตายไปนะคะ…” โม่จื่อเหยียนอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมา “ก่อนที่เราจะส่งเขาไปตรวจ ให้เขาอยู่ที่ห้องของหนูได้ไหมคะ หนูจะดูแลเขาเองค่ะ”
“ลูกทำได้เหรอ”
“เชื่อใจหนูได้เลยค่ะ” จื่อเหยียนว่าพลางตบอกตัวเอง ก่อนหันไปถามเด็ก “หนูว่าไงคะ อยากอยู่กับน้าไหมคะ”
“ครับ คุณน้า!”
โม่จื่อเหยียนชอบเด็กคนนี้เพราะเขาดูเหมือนโม่จื่อซีกับโม่จื่อเฉินในรูปวัยเด็กของพวกเขา เมื่อเธออุ้มเด็กชายตัวน้อยจึงรู้สึกเหมือนำลังอุ้มพี่ชายตัวเองฉบับเด็กน้อย มันเป็นความรู้สึกที่แปลก
“แต่ถ้าพี่ใหญ่มีลูกชาย เขาจะแต่งงานได้ยังไงกันล่ะคะ หนูหวังว่าพี่เขาจะไม่มีแฟนในกองทัพ ไม่อย่างนั้นเรื่องคงยุ่งไม่น้อยเลยนะคะ”
“ต่อให้เป็นอย่างนั้น เราก็ทิ้งเด็กคนนี้ไม่ได้หรอก”
โม่จื่อเฉินเพิ่งจะแต่งงานไป แต่โม่จื่อซีกลับก่อเรื่องครั้งใหญ่ เดิมทีเขาบอกไว้ว่าเขาไม่จริงจังกับการคบหาใคร หากแต่…ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ มันออกจะเหลือเชื่อไปเล็กน้อย
“แม่คะ ไฮแอทรีเจนซีปล่อยให้ทุกคนเข้ามาเหรอ เธอเข้ามาได้ยังไงกันคะ”
แน่นอนว่าคำตอบเรื่องนี้ต้องสืบกันต่อไปพร้อมกับคำถามอื่นๆ ที่คาใจพวกเขาอยู่
…
เมื่อโม่จื่อซีได้รับข้อความจากครอบครัว เขาไม่รู้ว่าทำไมครอบครัวของเขาถึงได้เรียกตัวกลับบ้านด่วนอย่างนี้
แต่เพราะไม่ได้เจอพวกเขามานานแล้ว ความจริงเขาไม่ได้กลับบ้านเพื่อฉลองการแต่งงานของโม่จื่อเฉินด้วยซ้ำ ในฐานะพี่ชายเขานั้นบกพร่องไปเสียหน่อย
ทว่าเขากำลังทำเพื่ออนาคตของตัวเองอยู่
เมื่อครั้งที่โม่จื่อเฉินยังไม่ได้แต่งงานและคบหากับใคร โม่จื่อซีไม่ได้นึกถึงเรื่องส่วนตัวมาก่อน ถึงอย่างไรเขาก็จำได้ว่ารอยแผลเป็นบนศีรษะของโม่จื่อเฉินในตอนเด็กได้มาจากการปกป้องเขาไว้
เขาถึงจะคิดถึงเรื่องของตัวเองหลังจากที่น้องชายตัวเองมีความสุขแล้วเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้หลังจากรู้ว่าโม่จื่อเฉินแต่งงานแล้ว โม่จื่อซีจึงโล่งใจและคบหากับเพื่อนร่วมงานของเขาได้โดยไร้กังวล ตลอดไม่กี่วันมานี้เขาเตรียมจะขอแต่งงานแล้วด้วยซ้ำ
แต่ด้วยครอบครัวของเขาเรียกตัว เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากเลื่อนแผนออกไป
เขาถึงกับรีบมาที่บ้านกลางดึกก่อนกลับไฮแอทรีเจนซีในเช้าวันต่อมา
ทว่าในจังหวะที่เขาก้าวพ้นประตูก็เห็นว่าทั้งครอบครัวอยู่พร้อมหน้า แม้กระทั่งโม่ถิงผู้งานยุ่งและโม่จื่อเหยียน
“ทำไมทุกคนอยู่ที่นี่กันล่ะครับ แปลกจัง จื่อเหยียน เธอควรอยู่ที่ไห่รุ่ยไม่ก็มหาวิทยาลัยไม่ใช่เหรอ เกิดอะไรขึ้นกันครับ”
โม่จื่อเหยียนส่งสัญญาณให้เขามองหน้าถังหนิง
“มีอะไรเหรอครับ”
ถังหนิงไม่ได้มองหน้าลูกชาย กลับหันไปบอกจื่อเหยียน “ไปอุ้มเด็กออกมาสิ”
“โอเคค่ะ” โม่จื่อเหยียนทำตามคำสั่ง มันรู้สึกราวกับคนทั้งสามรุ่นมาอยู่ที่นี่เพื่อประชุมร่วมกัน โม่จื่อซีจึงสัมผัสได้ถืงบรรยากาศที่ผิดปกติไป
“แม่ครับ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ”
Comments