วิวาห์พลิกรัก ฉบับซุปตาร์ 1235 อันฉีไม่เป็นไรใช่ไหม
เมื่อเหยาอันฉีได้ยินคำสั่งนี้ เธอถอดถุงมือแพทย์และไปห้องทำงานของผู้อำนวยการโรงพยาบาลทันที “ผู้อำนวยการคะ ฉันตัดสินใจแล้วค่ะ ตอนนี้ฉันมีลูกแล้ว ฉันไปประจำการที่แนวรบไม่ได้หรอกค่ะ”
“อันฉี…จริงๆ เธอเป็นหมอที่มีฝีมือมาก ฉันทนเห็นเธอต้องไปไม่ได้เหมือนกัน แต่ว่า…”
“หัวหน้าคะ คุณไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองลำบากหรอกค่ะ” เหยาอันฉีว่าพลางหยิบจดหมายลาออกก่อนโค้งขอบคุณ เธอหันหลังออกไปจากห้องก่อนที่ผู้อำนวยการจะได้ตอบอะไร
อันที่จริงเมื่อก่อนเธอมีโอกาสมากมายที่จะลาออกจากโรงพยาบาลทหาร แต่เพราะซิงเจ๋อเธอถึงไม่เคยคิดทำตามฝันของตัวเอง ตอนนี้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้ว เป็นธรรมดาที่เธอจะคว้าโอกาสที่จะก้าวหน้าในหน้าที่การงานของตัวเอง
แน่นอนเหยาอันฉีไม่ได้บอกเรื่องนี้กับโม่จื่อซี หลังใช้เวลาอยู่ที่บ้านกับซิงเจ๋ออยู่สามวัน ในที่สุดเธอก็คว้าจดหมายสมัครงานไปเข้าสัมภาษณ์ที่โรงพยาบาลปักกิ่งในวันที่สี่
เธอเป็นแพทย์แผนกฉุกเฉินมานานหลายปี มีประสบการณ์ผ่าตัดมาโชกโชน โรงพยาบาลปักกิ่งจึงต้อนรับเธออย่างเต็มใจและได้เตรียมสวัสดิการให้เธอหลายอย่าง
มันเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยได้สัมผัสที่โรงพยาบาลทหาร
“คุณเหยา ผมไม่มีข้อกังขากับความสามารถของคุณเลยครับ ผมแค่มีคำถามหนึ่งที่อยากให้คุณตอบ”
“เชิญเลยค่ะ” เธอเอ่ยอย่างสุภาพ
“ทำไมคุณถึงลาออกจากโรงพยาบาลทหารล่ะครับ”
“ฉันโดนบีบให้ออกเพราะไปมีเรื่องกับคนที่ไม่ควรเข้าน่ะค่ะ” เธอตอบไปตามตรง
“โอเคครับ พวกเราที่โรงพยาบาลยินดีต้อนรับคุณนะครับ” ผู้อำนวยการเอ่ยพลางยืนขึ้นและจับมือกับเธอ
ด้วยความสามารถขั้นสูงของเธอ เหยาอันฉีได้รับตำแหน่งแพทย์อาวุโส โรงพยาบาลปักกิ่งเป็นโรงพยาบาลขนาดใหญ่ เป็นธรรมดาที่เธอจะยุ่งมากกว่าที่เคย หากแต่เธอกลับรู้สึกว่ามันเป็นประสบการณ์ที่มีคุณค่า
โม่จื่อซีกลับมาหาภรรยาและลูกอีกครั้งหลังผ่านไปเจ็ดวัน ระหว่างมื้อเย็นสิ่งแรกที่เธอพูดคือ “ฉันลาออกจากโรงพยาบาลทหารแล้วนะคะ”
“ตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอครับ” เขาถาม
“เกือบครึ่งเดือนแล้วละค่ะ” เธอตอบ “ตอนนี้ฉันเป็นหมอฉุกเฉินอาวุโสที่โรงพยาบาลปักกิ่งค่ะ”
โม่จื่อซีไม่ได้ตอบ ทว่าเธอสัมผัสได้ชัดเจนถึงบรรยากาศอึมครึม
ไม่ทันที่ทั้งสองจะเอนหลังนอนบนเตียงในคืนนั้น ในที่สุดโม่จื่อซีก็ถามขึ้น “ทำไมคุณไม่บอกให้ผมรู้ทันทีที่เกิดเรื่องขึ้นล่ะครับ”
“ฉัน…”
“คุณคิดว่ามันไม่จำเป็นเหรอครับ” โม่จื่อซีหัวเราะอย่างเย้ยตัวเอง “อันฉี ผมยอมรับว่าเราไม่ได้เริ่มต้นด้วยดีอย่างคู่อื่น แต่ผมก็บอกไว้ก่อนหน้าแล้วว่าผมยินดีที่จะทำความรู้จักคุณให้มากขึ้น ช่วงที่ผมฝึกอยู่ที่ฐาน ผมคิดกลับบ้านมาเจอคุณกับซิงเจ๋ออยู่ทุกวัน อยากไปอยู่ข้างคุณแทบตาย
“แต่…คุณย้ายโรงพยาบาลโดยที่ไม่ได้บอกผม เหมือนกับคิดว่าผมเป็นแค่คนนอก”
เธอพูดอะไรไม่ออกในจังหวะนั้น
ไม่ว่าเธอจะพยายามอธิบายการกระทำของเธออย่างไร เธอก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าตัวเองไม่ได้ติดต่อโม่จื่อซีไปตั้งแต่แรก
คืนนั้นทั้งคู่ไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก ความจริงเหยาอันฉีไม่รู้ว่าเขาออกไปตอนเช้าตั้งแต่เมื่อไรด้วยซ้ำ
เธอละเลยเขามากเกินไปหรือเปล่า
เหยาอันฉีเริ่มตั้งคำถามกับตัวเอง
ดูเหมือนเขาจะโกรธเข้าจริงๆ หลังจากที่โม่จื่อซีจากไปครั้งนี้ถึงไม่ได้กลับมาไปอีกสองอาทิตย์ หากแต่เหยาอันฉียังคงยุ่งในช่วงนี้ และไม่ได้ติดต่อเขาไปก่อน บางทีเธออาจใจดำเกินไปจริงๆ
วันนั้นคนไข้ของเธอถามขึ้นในตอนที่เธอเพิ่งผ่าตัดเสร็จและกำลังเย็บแผลให้คนไข้ “คุณหมอคะ คุณยังสาวอยู่เลย คงยังไม่ได้แต่งงานใช่ไหมคะ”
“ลูกชายฉันสามขวบแล้วละค่ะ” เธอตอบ
“โอ้ ฉันละสงสัยว่าผู้ชายแบบไหนที่ได้แต่งงานกับคนที่น่าทึ่งอย่างคุณ”
เมื่อเหยาอันฉีได้ยินดังนั้น เธอตัดสินใจไปที่ห้องรอเรียกหลังรักษาเสร็จ ก่อนต่อสายโทรศัพท์ เธอรู้ตัวว่าหากยังทำตัวเฉยเมยต่อไปเช่นนี้ โม่จื่อซีกับเธออาจได้ใช้ชีวิตที่เหลือเพียงในฐานะพ่อแม่ของซิงเจ๋อเข้าจริงๆ
ในตอนนั้นเขาได้กลับมาถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว
ครั้นเห็นว่าเธอโทรมา เขารับสายทันที “ผมคิดว่าคุณลืมว่าผมมีตัวตนอยู่ไปแล้วซะอีก”
“จื่อซี อย่ามาประชดฉันนะคะ คุณก็รู้ว่าอยู่ๆ ฉันก็กลายเป็นแม่คนก่อนที่ฉันจะได้คบกับใครด้วยซ้ำ มีหลายอย่างที่ฉันไม่รู้ว่าต้องทำยังไง อย่างการรักษาความสัมพันธ์น่ะค่ะ ฉันไม่ได้มีพรสวรรค์ด้านนี้เลย
“ถ้าฉันไม่เริ่มก่อนงั้นคุณก็ช่วยเริ่มก่อนสิคะ อย่าโทษและมาโกรธฉัน โอเคไหมคะ”
หลังได้ยินเช่นนี้ ความกรุ่นโกรธในอกเขาก็เลือนหายไป “ถ้าคุณโทรมาเร็วกว่านี้ป่านนี้เรื่องก็คงไม่มีอะไรไปแล้วครับ
“จริงๆ แล้วผู้ชายง้อง่ายมากนะครับ ไม่ได้ซับซ้อนอย่างที่คุณคิดหรอก”
“ฉันยังมีผ่าตัดอีก วางสายก่อนแล้วกันนะคะ ไว้เราค่อยคุยกันที่บ้าน”
โม่จื่อซีพยักหน้าและบอกเธอทันที “ตามสบายครับ ผมจะไปรับคุณทีหลังแล้วกัน”
“ค่ะ”
ในความสัมพันธ์ต้องมีฝ่ายหนึ่งเป็นคนเริ่มก่อน เหยาอันฉีรู้ว่าเธอด้อยในเรื่องนี้และตอบสนองได้เชื่องช้า ดังนั้นการข้ามขั้นนี้ไปจึงเป็นเรื่องยากมากสำหรับเธอ
หลังคุยโทรศัพท์กับโม่จื่อซี เธอกลับมาปฏิบัติหน้าที่ เมื่อนางพยาบาลผู้ช่วยคนใหม่ของเธอเห็นว่าเธอกลับมาด้วยท่าทีที่ต่างออกไปก็ถามขึ้นทันที “พี่เขยโทรมาเหรอคะ”
“เปล่าค่ะ ฉันโทรไปเอง” เธอแก้
“ฉันอยากจะเห็นว่าผู้ชายคนนั้นจะดีขนาดไหนที่ได้แต่งงานกับหมอเหยาของเราจังค่ะ”
“เขาต้องดีขนาดไหนกันล่ะคะ เป็นเรื่องของเวลาน่ะค่ะ ยังไงเราแต่งงานกันสายฟ้าแลบด้วย” เธอหัวเราะ
นับเป็นเรื่องแปลกที่นางพยาบาลได้เห็นเหยาอันฉีหัวเราะ ด้วยปกติแล้วเธอมักจะเงียบและเย็นชา แต่ครั้งนี้กลับมีสีหน้าผิดไปเพราะโม่จื่อซี
“อย่างนั้นพี่เขยก็ต้องเป็นคนที่น่าทึ่งแน่ๆ ค่ะ ฉันอยากเจอเขามากกว่าเดิมซะอีก”
โม่จื่อซีไม่รู้ว่าคนรอบตัวของเหยาอันฉีกำลังพูดถึงเขา เขาทำเพียงกล่อมซิงเจ๋อเข้านอนและเตรียมไปรับเหยาอันฉีจากที่ทำงาน หากแต่ในจังหวะก่อนที่จะออกจากบ้านก็ได้รับสายจากอดีตเพื่อร่วมงาน
เกี่ยวกับเรื่องของเหยาอันฉี
“อันฉีไม่เป็นไรใช่ไหม ฉันเพิ่งรู้ว่าเธอลาออกจากโรงพยาบาลทหารเพราะตระกูลเฉินไปกดดันผู้อำนวยการโรงพยาบาล”
เมื่อเขาได้ยินเช่นนั้นท่าทีของเขาพลันเปลี่ยนไป
“ข้อมูลเชื่อถือได้หรือเปล่า”
“ได้สิ หลายคนในโรงพยาบาลรู้เรื่องนี้กันแล้ว ทำไมล่ะ อันฉีไม่ได้บอกนายเรื่องนี้เหรอ เธอเป็นอะไรหรือเปล่า”
“เธอสบายดี” โม่จื่อซีตอบก่อนจะวางสายและขับรถตรงไปที่โรงพยาบาลปักกิ่ง
สายฝนโปรยปรายลงมาจากฟ้าพร้อมอากาศที่เริ่มหนาวเย็นในเวลานี้ เหยาอันฉียืนอยู่ด้านนอกโรงพยาบาลในเสื้อผ้าน้อยชั้น และมองซ้ายขวาเป็นระยะ
เพื่อนร่วมงานถือร่มเดินผ่านมาและถามว่าเธออยากออกไปด้วยกันไหม เธอส่ายหน้าเพราะในที่สุดโม่จื่อซีก็ปรากฏตัวขึ้นในเวลานั้นเอง
“ดูสิ นั่นสามีของหมอเหยาละ!”
“เขาทั้งสูงแล้วก็หล่อ!”
Comments