ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้วบทที่ 559 ได้ยินชื่อศัตรูเป็นครั้งแรก (1)

Now you are reading ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้ว Chapter บทที่ 559 ได้ยินชื่อศัตรูเป็นครั้งแรก (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 559 ได้ยินชื่อศัตรูเป็นครั้งแรก (1)

(น่าตกใจสุดขีด! ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่เสวียนตูสังหารหมู่เผ่าอสุรา และไล่ล่าสังหารองค์หญิงหลัวซา ไปจนถึงภูเขาวิญญาณ เขาสังหารองค์หญิงหลัวซาด้วยไม้เดียวและทำลายวิญญาณของนางต่อหน้าจอมปราชญ์แห่งสำนักบำเพ็ญประจิม จุ่นถี!)

(ข่าวด่วนครั้งใหญ่แห่งโลกบรรพกาล: ในเวลาไม่ถึงสองชั่วยามหลังจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงในวังมังกรทะเลบูรพา ก็มีคลื่นลูกมหึมาปรากฏขึ้นเต็มทะเลเลือด เผ่าอสุราซึ่งได้รับบาดเจ็บสาหัสมาตั้งแต่สมัยโบราณ ล้วนถูกปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่แห่งสำนักบำเพ็ญเต๋าหยิน กวาดล้างโดยไม่รู้สาเหตุ และเหตุการณ์อยู่ในความโกลาหลอลหม่าน ว่ากันว่า เหล่าปรมาจารย์กว่าหมื่นคนที่ซ่อนอยู่ในเผ่าอสุรา ล้วนถูกแผนภาพไท่จี๋บดขยี้ทำลายในทันที และโชคฟื้นชะตาของเผ่าอสุราก็ถูกปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ทำลายสิ้น)

(ข้อมูลที่ถอดรหัสออกมานั้น —ความจริงแล้ว กระบี่หยวนถูแห่งบรรพชนทะเลเลือด หมิงเหอ ได้ตกไปอยู่ในมือของสำนักบำเพ็ญประจิมแล้ว!)

หลี่ฉางโซ่วเพิ่งเขียนบันทึกเสนอแนะเสร็จ และก่อนที่เขาจะไปที่หอสมบัติหลิงเซียวเพื่อ “ขอพระราชทานอภัยโทษ” แม่ทัพตงมู่ก็ได้ส่งคนมาแจ้งข่าวบางอย่างที่น่าตื่นเต้น

ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่นั้นทรงพลังถึงเพียงนั้นเลยหรือ? เขาไปทะเลเลือดเพียงคนเดียวหรือ? เมื่อได้ยินข่าวนี้ครั้งแรก หลี่ฉางโซ่วก็ตื่นตกใจมากจริงๆ

เขาคิดว่าปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ถูกแทงในทะเลบูรพา และรู้สึกอับอาย ดังนั้นเขาจึงกลับไปนอนที่วังดุสิต…

แค่กๆ ไปบำเพ็ญเพียร

เขาไม่คาดคิดว่าปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จะไปที่ทะเลเลือดแห่งแดนยมโลก และไล่ล่าสังหารเหล่าปรมาจารย์ด้วยกระบี่หยวนถูไปจนถึงภูเขาวิญญาณ เขาไปที่ภูเขาวิญญาณหรือ?

หลี่ฉางโซ่วจับประเด็นหลักได้อย่างรวดเร็ว ตามความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ เขาสงสัยว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่จะจงใจให้หลัวซาไปที่ภูเขาวิญญาณและสังหารนางต่อหน้าจอมปราชญ์และบรรดาศิษย์แห่งสำนักบำเพ็ญประจิมโดยตรง

เป็นไปได้มาก!

ไม่เช่นนั้น ปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ย่อมสามารถปราบทะเลเลือดด้วยพลังแข็งแกร่งทั้งหมดของเขาโดยอาศัยแผนภาพไท่จี๋ได้ แล้วเหตุใดปรมาจารย์เต๋าผู้ยิ่งใหญ่ถึงยังต้องเรียกเจดีย์เสวียนหวงและไม้เฉียนคุนไปก่อนการต่อสู้เล่า?

ปรมาจารย์จอมปราชญ์ของข้าเองก็ไม่ได้หยุดยั้งเขา ดังนั้นจึงเป็นที่เข้าใจได้ว่านี่เป็นคำเตือนจากสำนักบำเพ็ญเต๋าที่มีต่อสำนักบำเพ็ญประจิม

ส่วนที่ว่าเหตุใดกระบี่หยวนถูจึงตกไปอยู่ในมือของสำนักบำเพ็ญประจิม…

มันเป็นสมบัติวิญญาณเซียนเทียน ซึ่งเป็นอาวุธร้ายแรงเช่นกัน ทว่าลักษณะเด่นที่สุดของมันก็คือ เข่นฆ่าผู้คนได้โดยไม่แตะต้องกรรม เดิมทีสมบัตินี้อยู่ภายใต้การควบคุมของสำนักบำเพ็ญประจิม แต่มันซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ

ตอนนี้ทุกคนรู้แล้วว่าสมบัตินั้นได้กลับไปที่ภูเขาวิญญาณแล้ว มันย่อมจะจำกัดโอกาสที่สมบัติชิ้นนี้จะปรากฏขึ้นในภายหน้าได้ในทางอ้อม

หลี่ฉางโซ่วมองดูบันทึกเสนอแนะในมือของเขาด้วยดวงตาสงบเล็กน้อย

ด้วยคำเตือนจากสำนักบำเพ็ญเต๋า โอกาสที่สำนักบำเพ็ญประจิมจะเชื่อฟังก็มีเพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิมมาก

แน่นอนว่า นั่นเป็นเพียงความน่าจะเป็นเท่านั้น และหลี่ฉางโซ่วจะไม่ด่วนสรุป

หลี่ฉางโซ่วหยิบบันทึกเสนอแนะขึ้นมาและยกแส้หางม้าขึ้น จากนั้นเขาก็ปรับสีหน้าของเขาเพื่อทำให้ตัวเองดูกังวลและอับจนหนทาง แล้วขี่เมฆตรงไปยังหอสมบัติหลิงเซียว

ในขณะนั้น บรรดาเทพเซียนในหอสมบัติหลิงเซียวได้แยกย้ายกันไปแล้ว องค์เง็กเซียนประทับอยู่บนบัลลังก์พลางพลิกดูบันทึกเสนอแนะต่างๆ และดูเหมือนว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น

หลี่ฉางโซ่วก้าวมาจากด้านนอกหอ เขาถอนหายใจที่หน้าประตูก่อนจะเดินเร็วๆ เข้าไป ทว่าเพียง ขณะที่เขาเพิ่งมาถึงหน้าแท่นบัลลังก์สูง และก่อนที่เขาจะทันได้พูดออกไป องค์เง็กเซียนในชุดขาวบนบัลลังก์ก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ …

“การสั่งสมมากว่าหลายหมื่นปี … ขุนนางของข้า การบาดเจ็บล้มตายของเผ่ามังกรเป็นอย่างไรบ้าง?”

หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างจริงจังว่า “แม้จะสูญเสียพลังชีวิตไป ทำให้กล้ามเนื้อและกระดูกได้รับความเสียหายและบาดเจ็บ แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ การสูญเสียนั้นก็นับว่าน้อยที่สุดแล้ว ทั้งหมดนี้ ล้วนต้องขอบคุณการเสียสละของจอมทัพฮวารี่เทียน

ฝ่าบาท ครั้งนี้เทพน้อยวางแผนไม่ดีพอ ขาดการคำนวณ และวางหมากไม่รัดกุม ขอฝ่าบาททรงโปรดลงพระอาญาเทพน้อยด้วยเถิด!”

“ขุนนางของข้า ไยเจ้าต้องรับโทษด้วย?” องค์เง็กเซียนกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “บาปเกิดจากวิญญาณชั่วร้าย พวกเขาไม่มีพลังอำนาจแข็งแกร่งในศาลสวรรค์และเคยอยู่ภายใต้การปกครองของเผ่ามังกร

ขุนนางของข้า เจ้าได้พยายามอย่างเต็มที่แล้ว แต่พลังที่ศาลสวรรค์มอบให้เจ้านั้นยังไม่เพียงพอที่เจ้าจะจัดการกับศัตรูที่ทรงพลังเช่นนี้ได้ เรื่องนี้ เป็นข้าที่ผิดเอง”

“ฝ่าบาท…”

“เอาล่ะ ขุนนางของข้า นี่กำลังโต้เถียงกันเพื่ออะไร?”

ชายหนุ่มในชุดขาวยืนขึ้น เดินไปรอบๆ โต๊ะหยกด้วยรอยยิ้ม และลงบันไดไป

เขามองไปที่ประตูหอ และหลังคาของหอสมบัติหลิงเซียวก็เปล่งแสงเจิดจ้า โอบล้อมทั่วทั้งหอสมบัติหลิงเซียว และเหล่าทหารสวรรค์ที่อารักขาอยู่นอกหอสมบัติก็ถูกแยกออกไปเช่นกัน

องค์เง็กเซียนถอนหายใจ นั่งบนขั้นบันไดแท่นสูง และตบอิฐหยกขาวข้างๆ เรียกหลี่ฉางโซ่ว…

“ขุนนางฉางเกิง มานั่งลงก่อนสิ วันนี้ พวกเรามาพูดคุยกันถึงเรื่องเส้นทางของศาลสวรรค์กันดีๆ ลืมตัวตนของพวกเราในฐานะจักรพรรดิแห่งสวรรค์และเทพวารีไปเถิด”

หลี่ฉางโซ่วลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเดินขึ้นบันไดและนั่งลงบนขั้นที่ต่ำกว่าองค์เง็กเซียนสองขั้น

องค์เง็กเซียนแย้มยิ้มเมื่อเห็นเช่นนั้น เขาจึงขยับลงมาหนึ่งขั้นแล้วยิ้มพลางกล่าวว่า “ฉางเกิง เจ้าคิดว่า เมื่อใดที่สำนักบำเพ็ญประจิมจะเจริญรุ่งเรือง? และหากสำนักบำเพ็ญประจิมเจริญรุ่งเรืองเช่นนั้น ศาลสวรรค์ควรจัดการอย่างไร? ไม่ต้องใช้น้ำเสียงที่ให้เกียรติเคารพอะไร ข้าอยากได้ยินว่าเจ้ากำลังคิดอันใดอยู่จริงๆ”

“ฝ่าบาท คำถามของฝ่าบาท ทำให้เทพน้อยรู้สึกลำบากใจยิ่งนัก” หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วและกล่าวว่า “ในเวลานี้ มีสำนักบำเพ็ญเต๋ากำราบสำนักบำเพ็ญประจิม และมีเพียงโชคมากมายเช่นนี้ในโลกหล้าเท่านั้น หากสำนักบำเพ็ญเต๋าเรืองโรจน์ก็จะไม่ปล่อยให้สำนักบำเพ็ญประจิมเจริญรุ่งเรือง”

องค์เง็กเซียนถามว่า “เจ้าคิดว่า สำนักบำเพ็ญเต๋าจะต่อสู้กับสำนักบำเพ็ญประจิมอย่างแน่นอนหรือไม่?”

หลี่ฉางโซ่วเงียบงันทันที

เมื่อดูจากสถานการณ์และแนวโน้มโลกบรรพกาลในยามนี้ มหาภัยพิบัติครั้งต่อไปน่าจะเปลี่ยนจากการต่อสู้ระหว่างเผ่าพันธุ์ มาเป็นการต่อสู้ระหว่างเหล่าสำนักใหญ่

ทว่าในความเป็นจริงแล้ว…

โดยปกติแล้ว สำนักบำเพ็ญเต๋าไม่ได้สนใจให้ความสำคัญกับสำนักบำเพ็ญประจิมอย่างจริงจังนัก สำนักบำเพ็ญเต๋ามีโชคแข็งแกร่งยิ่ง เมื่อความเรืองโรจน์และความเสื่อมโทรมไปถึงขีดสุดของมัน มันก็จะนำไปสู่มหาทัณฑ์สวรรค์ปราบดาเทพ และสำนักบำเพ็ญเต๋าทั้งสามจะต่อสู้กันอย่างโกลาหลอลหม่านภายในกันเอง

สำนักบำเพ็ญประจิมจะฉวยโอกาสนี้ขุดฐานกำแพง[1]อย่างบ้าคลั่งและดำเนินการเตรียมกำลังรบ จากนั้นพวกเขาก็จะใช้ประโยชน์จากภัยพิบัติในอนาคตของการเดินทางสู่ประจิมเพื่อเชื่อมต่อกับเผ่าพันธุ์มนุษย์ และนับจากนั้นไป พวกเขาก็จะเจริญรุ่งเรืองอย่างสมบูรณ์

นี่คือ ลิขิตแห่งเต๋าสวรรค์ เขาจึงไม่กล้าเอ่ยวาจาใด และตอนนี้เขาก็กล่าวได้เพียงว่า “ฝ่าบาท ที่พระองค์รับสั่งมานั้น คล้ายกับที่เทพน้อยคิดเช่นกัน…เพียงแต่มีต่างกันอยู่เล็กน้อย”

ทันใดนั้นองค์เง็กเซียนก็เผยรอยยิ้มพึงพอใจขึ้นมาทันที แต่แล้วก็ถอนหายใจออกมาอีกครั้ง

วันนี้องค์เง็กเซียนรู้สึกหดหู่ใจมากจริงๆ

“ฝ่าบาท” หลี่ฉางโซ่วถามเบาๆ ว่า “พระองค์ทรงรู้สึกเสียดายกับร่างทองแห่งบุญของพระองค์เองหรือ?”

“หากเป็นเจ้า แล้วเจ้าจะไม่ใส่ใจ เสียดายเลยหรือ… แค่กๆ ใช่แล้ว” องค์เง็กเซียนพยักหน้าช้าๆ แล้วกล่าวว่า “ทว่าร่างทองแห่งบุญของข้าก็เพียงใช้เพื่อเคลื่อนไหวและเฝ้าติดตามดูแลไปรอบๆ ในศาลสวรรค์เท่านั้น”

หลี่ฉางโซ่วหยิบถุงเก็บสมบัติออกมาจากแขนเสื้อของเขาและกล่าวว่า “ฝ่าบาท เทพน้อยได้เตรียมของบางอย่างไว้ให้พระองค์แล้ว”

“โอ้?”

องค์เง็กเซียนสนใจทันที จากนั้นก็เปิดถุงเก็บสมบัติและพบว่ามี “โอสถทิพย์” ขนาดใหญ่อยู่ข้างใน โอสถบรรจุพลังหยินหยางแห่งธาตุทั้งห้า

เบื้องหลัง “โอสถทิพย์” นี้ มีตุ๊กตากระดาษจำลองมนุษย์สูงหนึ่งจั้ง…

หลี่ฉางโซ่วยิ้มและกล่าวว่า “นี่คือ ร่างจำแลงคุณภาพสูงสุดที่เทพน้อยเคยใช้ เทพน้อยขอถวายแด่พระองค์โดยเฉพาะ ฝ่าบาท”

องค์เง็กเซียนผลักถุงเก็บสมบัติไปทางด้านหลังและยกมือขึ้น ชี้ไปที่ลำแสงสีทองเบื้องหน้าเขาพลางยิ้มและกล่าวว่า “ขุนนางของข้า เจ้าช่วยดูสักหน่อย”

แสงสีทองนั้น ได้เปลี่ยนเป็นชายร่างกำยำน่าเกรงขาม เขาประสานมือคารวะไปที่หลี่ฉางโซ่วและกล่าวด้วยน้ำเสียงหยาบกระด้างว่า “จอมทัพจ้าวเต๋อจู้ น้อมพบเทพวารี!”

ร่างทองแห่งบุญมากมายอะไรเช่นนี้?

หลี่ฉางโซ่วเพ่งสายตาจับจ้องมองไปด้วยความรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย

เขาเป็นเพียงร่างจำแลงธรรมดาเท่านั้น ความแข็งแกร่งของเขาอยู่ในระดับเซียนจินขั้นต้นเท่านั้น และเขาก็เพียงเพิ่มชั้นบุญให้ร่างจำแลงไปอีกชั้นหนึ่งเท่านั้น…

ทว่าหลี่ฉางโซ่วก็ไม่กล้าเอ่ยอะไรถึงการกระทำที่ตบหน้าตัวเองจนบวมให้เห็นว่าเป็นคนอ้วน[2]ขององค์เง็กเซียน เขาเพียงลุกขึ้นยืนและทำการคารวะคืนกลับไปให้เท่านั้นพร้อมกับฉวยโอกาสจากสถานการณ์นี้ตบบั้นท้ายม้า[3]กับองค์เง็กเซียน

ดูเหมือนว่าองค์เง็กเซียนจะตั้งใจพยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาระเบียบวินัยของศาลสวรรค์จนถึงที่สุด

องค์เง็กเซียนทรงเก็บร่างจำแลงไปและถามพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า “ฉางเกิง ข้าจะได้เข้าร่วมงานเลี้ยงแต่งงานและดื่มสุราอวยพรสมรสของเจ้ากับศิษย์หลานอวิ๋นเซียวได้เมื่อใดกัน?”

“ฝ่าบาท เทพธิดาอวิ๋นเซียวและข้าถือเป็นสหายสนิทกัน…”

“ใช่แล้ว เมื่อยามที่ข้าและศิษย์น้องหญิงมาที่ศาลสวรรค์ครั้งแรก พวกเราก็เป็นสหายสนิทกัน บัดนี้ เวลาผ่านไปนานหลายปีจนหลงจี๋ก็เกือบจะโตแล้ว”

“ฝ่าบาท เทพน้อยมีบันทึกเสนอแนะอยู่ที่นี่ ทรงอยากทอดพระเนตรดูหรือไม่?”

“มันไม่ใช่รูปแบบของเทพวารีแห่งศาลสวรรค์ที่จะเปลี่ยนหัวข้อเรื่อง!” ดวงตาขององค์เง็กเซียนเต็มไปด้วยแววชั่วร้าย

จากนั้นเขาก็คว้าบันทึกเสนอแนะหนาที่หลี่ฉางโซ่วมอบให้เขาและอ่านอย่างละเอียด

ในไม่ช้า องค์เง็กเซียนก็มองไปที่หลี่ฉางโซ่วและขมวดคิ้วพลางกล่าวว่า “ฉางเกิง เจ้าโกรธสำนักบำเพ็ญประจิมเพราะเรื่องเผ่ามังกรหรือไม่?”

“เหตุใดฝ่าบาทจึงทรงถามเช่นนั้น?”

หลี่ฉางโซ่วงงงันเล็กน้อยเช่นกัน

องค์เง็กเซียนถือบันทึกเสนอแนะพลางยิ้ม และกล่าวว่า “ดูสิ่งที่เจ้าเขียนสิ แผนการหกขั้นตอนเพื่อขยายเพิ่มจำนวนทหารสวรรค์เป็นหนึ่งล้านภายในหนึ่งร้อยปี…”

“การวิเคราะห์ความสำคัญของสังสารวัฏในแดนยมโลก และฝ่ายแดนยมโลกต่อพลังอำนาจของจักรพรรดิแห่งสวรรค์…”

“แผนการรวมและจัดการองค์กรกับแดนยมโลกฉบับแรก และแผนการปฏิรูปภาคต่อหลังการรวมการปกครองของแดนยมโลก… ”

“รวมหกกลยุทธ์ของผู้ฝึกบำเพ็ญใหญ่แห่งตรีสหัสโลกธาตุเข้ามา…”

“ฉางเกิง เจ้ากำลังพยายามเพิ่มพลังอำนาจของศาลสวรรค์ไปสู่ระดับใหม่ในอีกสองสามร้อยปีใช่หรือไม่?

………………………………………………………………..

[1] โค่นล้มโดยล่อลวงชิงผู้คนจากฝ่ายตรงข้าม

[2] ทำเป็นหน้าใหญ่ใจโต ไม่ประมาณตน ซึ่งมักใช้เปรียบเทียบคนที่ไร้เงินทอง หรือความสามารถ แต่แสร้งทำเป็นเก่งหรือร่ำรวย

[3] ระจบสอพลอ เลียแข้งเลียขา

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด