ศิษย์พี่ของข้าจะมั่นคงเกินไปแล้วบทที่ 854 ฮวาโหย่วหมิงและเซี่ยหนิงซวง (2)
บทที่ 854 ฮวาโหย่วหมิงและเซี่ยหนิงซวง (2)
“นี่” แม่ทัพตงมู่เปลี่ยนท่านั่งของเขา และเมื่อมองไปที่หลี่ฉางโซ่ว แล้วใบหน้าที่ดูใจดีมากขึ้นเรื่อยๆ ของเขาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็ยิ้มฝืนๆ ที่ไม่น่าดูออกมาบนใบหน้าของเขา
แม่ทัพตงมู่กระซิบเสียงต่ำว่า “ช่วงนี้เทพวารีได้ยินข่าวลือบ้างอะไรหรือไม่?”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าไม่ได้ยินเลย… ว่าแต่มีข่าวลือใส่ร้ายแม่ทัพตงมู่แพร่สะพัดในศาลสวรรค์หรือ?”
“เฮ้อ มันก็ไม่ใช่ข่าวลือใส่ร้ายข้า” แม่ทัพตงมู่ยิ้มขื่นและกล่าวว่า “สิ่งที่พวกเขาพูดนั้นก็เป็นความจริง เพราะอย่างไรเสีย ข้าก็มาจากเผ่าพันธุ์มนุษย์ธรรมดาเท่านั้น ข้าได้รับตำแหน่งสูงในศาลสวรรค์ได้ก็เป็นเพียงเพราะข้าได้เข้าร่วมในศาลสวรรค์มาก่อนหน้าคนอื่นๆ เท่านั้น ฉางเกิง ท่านโปรดช่วยจัดการด้วย ช่วยข้าออกความคิดสักหน่อยเถิดเพื่อให้ฝ่าบาททรงไว้วางใจข้าได้ ฉางเกิง ในครั้งนี้ข้ามาที่นี่เพียงเพื่ออยากคุยเรื่องบางอย่างกับท่าน และข้าก็ยังสามารถให้สัตย์สาบานปฏิญญาต้าเต๋ากับท่านได้ ข้าจะไม่พูดให้ร้าย ทำให้ท่านอายและเจ็บใจลับหลัง ฉางเกิง ท่าน…”
หลี่ฉางโซ่วขมวดคิ้วและกล่าวว่า “คำพูดเหล่านั้นมันคืออะไรกันแน่? แล้วมันมาจากที่ใดหรือ?”
แม่ทัพตงมู่กล่าวว่า “นี่ ข่าวลือนั้นกล่าวว่าฉางเกิง ท่านจะเข้ามาแทนที่ข้าในไม่ช้าก็เร็ว และเมื่อฝ่าบาทเสด็จกลับคืนสู่ศาลสวรรค์ พระองค์ก็จะทรงเปลี่ยนตำแหน่งเทพ…”
“พวกคนเหล่านี้ เงียบไปนาน ในที่สุดพวกเขาก็ทำการเคลื่อนไหวแล้ว”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวปลอบโยนแม่ทัพตงมู่กงก่อนด้วยคำพูดไม่กี่คำ จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปมา
แท้จริงแล้ว ในเวลานี้ แม่ทัพตงมู่เป็นเทพผู้ทรงอำนาจระดับสูงที่ตกเป็นเป้าหมายได้ง่ายที่สุดในศาลสวรรค์
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อแม่ทัพตงมู่ไม่มีพลังอำนาจฝ่ายใดสนับสนุนเขาอยู่เบื้องหลัง อิทธิพลของเขาเองก็ค่อนข้างจำกัด และระดับฐานพลังของเขา…
“เรื่องนี้อย่าเพิ่งรีบร้อนไป ”
หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “แม่ทัพตงมู่เพียงจัดการเรื่องต่างๆ ของศาลสวรรค์อย่างสบายใจเถิด หลังจากนั้น ทั้งท่านและข้าจะออกไปลาดตระเวนสำรวจสถานที่ต่างๆ ด้วยกัน ตอนนี้ฝ่าบาทและองค์ราชินีเพิ่งลงมายังโลกมนุษย์มาได้กว่าสิบปีแล้วเท่านั้น และยังมีเวลาต่อไปข้างหน้าอีกนาน ท่านแม่ทัพตงมู่จะต้องเป็นผู้ดูแลกิจการต่างๆ ในศาลสวรรค์ ดังนั้นจึงไม่ควรให้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้ทำให้ต้องเสียสมาธิ”
“ฉางเกิง อย่าได้กังวลไปเลย ข้าเพียงกลัวว่าท่านจะรู้สึกคับข้องใจต่อข้า” แม่ทัพตงมู่กล่าวพลางถอนหายใจเบาๆ
หลี่ฉางโซ่วยิ้มพลางส่ายหัวอีกครั้งและกล่าวว่า “ท่านและข้าล้วนรู้จักกันมานานหลายปีแล้ว
เราต่างก็เป็นสหายและคนสนิทที่ไว้ใจกันได้ดีอยู่แล้ว เป็นเพียงเพราะว่าเราต่างก็กำลังทำงานให้ฝ่าบาทเท่านั้น ทั้งท่านและข้าจึงไม่ควรใกล้ชิดกันมากเกินไป
แม่ทัพตงมู่ หากมีสิ่งใดที่ทำให้ท่านลำบากใจ และข้าพอจะช่วยทำอะไรได้บ้าง ก็ขอให้ท่านโปรดบอกให้ข้าได้ล่วงรู้เถิด”
แม่ทัพตงมู่เกือบจะหน้าแดง เขาถอนหายใจออกมาและกล่าวว่า “ขอบคุณฉางเกิงที่เข้าใจ! หากไม่ใช่เพราะความช่วยเหลือของท่าน ฉางเกิง วันนี้ข้าย่อมจะมาถึงที่นี่ไม่ได้!”
ในขณะนั้น หลี่ฉางโซ่วก็กล่าวปลอบโยนแม่ทัพตงมู่ด้วยคำพูดไม่กี่คำ และได้ให้คำปรึกษาด้านจิตวิทยาบางอย่างแก่เขา
เมื่อแม่ทัพตงมู่มา เขารู้สึกกังวลมาก แต่ครั้นเมื่อเขาจากไป ใบหน้าของเขาก็ดูมีเลือดฝาด
เขาเชิดอกและเงยหน้าขึ้น ราวกับว่าเขาได้รับความมั่นใจกลับคืนมาและฟื้นตัวตนในฐานะเซียนบุรุษในตำหนักของเทพวารี
“เป็นพวกเผ่าปีศาจหรือยังคงเป็นพวกสำนักบำเพ็ญประจิม?”
เมื่อหลี่ฉางโซ่วกลับมานั่งที่หลังโต๊ะของเขา แล้วเขาก็ครุ่นคิดหามาตรการรับมือเพื่อจัดการแก้ไขสถานการณ์อย่างเงียบๆ
ไม่มีวิธีแก้ไขดีๆ เพื่อจัดการเรื่องแบบนี้จริงๆ
อีกฝ่ายมีสภาวะโน้มเอียงทางจิตใจของแม่ทัพตงมู่ ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงพยายามปลอบใจเขาอย่างเต็มที่เท่านั้น
การที่แม่ทัพตงมู่ขาดความมั่นใจในตนเองเล็กน้อยนั้นก็สมเหตุผล เขาไม่อาจพาแม่ทัพตงมู่ไปวังดุสิตเพื่อคารวะเหล่าจื้อและให้ได้รับผู้สนับสนุนได้
หากเป็นเช่นนั้นจริง ฝ่าบาทองค์เง็กเซียนก็อาจจะกลัวแม่ทัพตงมู่และตัวเขาเองอยู่บ้าง
ความจริงแล้ว เมื่อเทียบกับเรื่องนั้น หลี่ฉางโซ่วพุ่งความสนใจมากกว่าไปยังเรื่องที่ว่าเป็นเทพเซียนคนใดที่ได้เผยแพร่ข่าวลือดังกล่าวออกไปในศาลสวรรค์ตั้งแต่แรก
เขานึกถึงหินพลังสวรรค์ ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะเป็น ‘เครื่องทำลายข่าวลือ’
ทว่าหลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนรอบคอบแล้ว เขาก็ตัดสินใจว่า มันเป็นการไม่บังควรที่จะทำให้เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ก่อนที่ฝ่าบาทจะเสด็จกลับสู่ศาลสวรรค์
ไม่เช่นนั้น ศาลสวรรค์จะไม่สั่นคลอน และจะทำให้เกิดปัญหาเดือดร้อนตามมาอีกได้
……
หลังจากที่แม่ทัพตงมู่จากไปได้ไม่นาน หลี่ฉางโซ่วก็เรียกอ๋าวอี่ และเปี้ยนจวงมา
เขาขอให้พวกเขาแอบไปสอบสวนที่มาของข่าวลือที่ทำร้ายแม่ทัพตงมู่อย่างลับๆ และเขายังคิดแผนการให้พวกเขาทั้งสองคนด้วย
สองสามวันต่อมา ยันต์หยกแผ่นหนึ่งและร่างนักพรตเต๋าสองสามคนก็ได้ปรากฏขึ้นต่อหน้าหลี่ฉางโซ่ว
มันมีอักขระสี่ตัวอยู่ในหมู่พวกเขา ซึ่งทำให้หลี่ฉางโซ่วรู้สึกสะดุดตามาก
ผู้รับผิดชอบดูแลหอเทพฟู่หยวน เซียนอาวุโสฟู่หยวน
“พี่ชาย” อ๋าวอี่กระซิบ “เราควรส่งปรมาจารย์จากวังมังกรมาที่ศาลสวรรค์ดีหรือไม่ขอรับ?”
ในอีกความหมายหนึ่งก็คือ ปรมาจารย์เหล่านี้เพียงรับฟังคำสั่งของหลี่ฉางโซ่วเท่านั้นและสามารถลงมือจัดการกับเทพเซียนที่เป็นปัญหาได้ตลอดเวลา
“ไม่” หลี่ฉางโซ่วกล่าวว่า “เรื่องนี้มีเพียงฝ่าบาทเท่านั้นที่สามารถตัดสินใจได้ ทั้งแม่ทัพตงมู่ และข้าไม่อาจก้าวข้ามเกินอำนาจของเราได้
“รองผู้บัญชาการเปี้ยน ส่งยันต์หยกนี้ไปให้แม่ทัพตงมู่ด้วย”
ขณะกล่าว หลี่ฉางโซ่วก็ได้เขียนอักขระตัวใหญ่เอาไว้แปดตัวแล้ว ซึ่งถือได้ว่าเป็นคำแนะนำให้แก่แม่ทัพตงมู่
“มั่นคงในทุกสิ่ง และรอให้ทุกอย่างเสร็จสิ้น”
หลังจากทำเช่นนี้เสร็จ หลี่ฉางโซ่วก็ครุ่นคิดอยู่เงียบๆ สักพัก และความคิดหลายอย่างก็ผุดเข้ามาในใจของเขา แล้วเขาก็ปฏิเสธมันไปทีละอย่าง
ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยจริงๆ ที่จะจัดการกับเทพผู้ชอบธรรมเช่นนี้ด้วยตัวเอง แม้เขาจะมีสิทธิ์ประหารก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลัง แต่เขาก็ต้องให้องค์เง็กเซียนทรงตัดสินใจด้วยเช่นกัน…
ยิ่งไปกว่านั้น เขาก็ไม่ได้ทำ
………………………………………………………………..
Comments