สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! 101.5 การปรากฏตัวของตงฟางไป๋ (5)
“ช่วงนี้ได้รับข่าวว่านางในปีนั้นถูกคนช่วยชีวิตไว้ แต่กลับถูกแม่เล้าซื้อตัวไป สุดท้ายไปอยู่ในหอนางโลม ดังนั้นพักนี้ข้าจึงไปตรวจสอบที่หอนางโลมด้วยตนเองโดยไม่หยุดพัก แต่ยังตามหาเธอไม่พบ ”
เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย ภายในน้ำเสียงชายชุดขาวดูโศกเศร้าและโทษตัวเองไม่หยุด
“หากปีนั้น ข้าไม่ปล่อยมือเธอ เธอคงไม่ถูกน้ำพัดพาไป เป็นเพราะข้าคนเดียว…”
พอพูดถึงตรงนี้ ดวงตาแคบยาวของชายหนุ่มชุดขาวค่อยๆ พรั่งพรูความเสียใจและตำหนิตนเองออกมาด้วยน้ำเสียงดูติดขัด
เมื่อได้ฟังคำพูดของชายชุดขาว ภายในห้องหนังสือเงียบสงบ บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นอึดอัดขึ้นมา
สุดท้าย เหลิ่งจวิ้นอวี๋จึงรู้ว่าตนเอ่ยเรื่องบาดใจของชายชุดขาวขึ้นมา และเห็นท่าทางเสียใจของเขา ไม่รู้จะปลอบใจเช่นไร จึงเพียงเม้มริมฝีปากบาง ก่อนเอ่ยขึ้นว่า
“หากต้องการความช่วยเหลือสิ่งใด ให้รีบเอ่ยปาก”
เหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยอย่างเย็นชา แต่คนที่รู้จักเขาต่างทราบดีว่า นี้คือวิธีห่วงใยสหายในแบบของเขา
แม้สีหน้าจะเย็นชา แต่ความจริงเขามีคุณธรรมและเอาใจใส่ผู้อื่นที่สุด
“อืม ขอบพระทัย”
เมื่อได้ยินคำพูดของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ชายหนุ่มชุดขาวยิ้มมุมปาก แต่ท่าทางยังคงดูโศกเศร้าอย่างที่สุดเช่นเดิม
หนานกงจวิ้นซีที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนั้น ก็รู้ว่าสหายของตนจมอยู่กับการโทษตนเอง
พวกเขาสามคนต่างเข้าใจเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งด้วยกัน
แม้พวกเขาและไป๋จะไม่ใช่ศิษย์สำนักเดียวกัน แต่ในอดีตก็เป็นพี่น้องที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมา ดังนั้นเมื่อเห็นสหายของตนเสียใจ ทำให้หนานกงจวิ้นซีรู้สึกไม่สบายใจ
หนานกงจวิ้นซีคล้ายฉุกคิดขึ้นมาได้ พลันเอ่ยถามว่า
“จริงสิไป๋ บนตัวน้องสาวเจ้ามีตำหนิหรือร่องรอยที่พิเศษใดหรือไม่ เจ้ารู้เพียงเธอถูกซื้อตัวเข้าไปที่หอนางโลม เช่นนั้นบนตัวเธอมีร่องรอยใดที่สามารถจดจำได้หรือไม่ เพราะเจ้าพลัดพรากกับเธอมากว่าสิบหกปี ก่อนนี้เธอยังเป็นเด็กทารกในผ้าอ้อม ตอนนี้เธออายุสิบแปดแล้ว หรือพอไปที่หอนางโลม เจ้าเพียงเห็นหน้าก็รู้ว่าผู้ใดคือน้องสาวของเจ้า!”
หนานกงจวิ้นซีพูดได้อย่างมีเหตุผลยิ่งนัก แต่กลับทำให้ชายชุดขาวพลันหน้าแดง เงียบอยู่ชั่วขณะ ก่อนเอ่ยปากว่า
“ก้นด้านซ้ายของน้องสาวข้ามีไฝสีแดง”
“ไฝสีแดงหรือ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของชายชุดขาว หนานกงจวิ้นซีเอ่ยพึมพำอย่างสงสัยขึ้นมา ก่อนค่อยๆ จิบชา
แต่ยังไม่ได้กลืนน้ำชานั้นลงคอ คล้ายฉุกคิดบางอย่างขึ้นมาได้ พลันหัวเราะพ่นน้ำชาในปากออกมา
โชคดีที่ชายชุดขาวหลบหลีกได้ทัน จึงไม่โดนน้ำชาที่เขาพ่นออกมา
หลังพ่นน้ำชาออกมา หนานกงจวิ้นซีเบิกดวงตาดอกท้อน่ามองนั้นกว้างขึ้นอย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน ก่อนมองไปยังชายชุดขาว และเอ่ยถามอย่างใคร่รู้
“เช่นนั้นพักนี้ที่เจ้าไปตามหาน้องสาวที่หอนางโลมไม่หยุด มิใช่ไปดูก้นของหญิงสาวพวกนั้นหรอกหรือ!”
“แค่กๆ ”
เมื่อได้ยินคำพูดตรงไปตรงมาของหนานกงจวิ้นซี ไม่ใช่แค่ชายชุดขาว กระทั่งเหล่งจวิ้นอวี๋ที่อยู่ด้านข้าง ต่างอดไอเบาๆ ขึ้นมาไม่ได้ พลันยิ้มที่มุมปาก
ส่วนใบหน้าของชายชุดขาวแดงก่ำมากขึ้น โดยไม่ปิดบังความเขินอายแม้แต่นิดเดียว
แม้เขาจะไม่พูด แต่การเงียบของชายชุดขาวก็ถือว่าคือคำตอบ
ดังนั้น ภายในห้องหนังสือจึงเงียบงัน เพราะทุกคนต่างพลันพูดไม่ออก
บรรยากาศเงียบงันที่อึดอัดนี้ ดำเนินไปจนกระทั่งถูกทำลายลงด้วยเสียงฝีเท้ารีบร้อนดังตรงเข้ามาทางห้องหนังสือ
หลังได้ยินเสียงฝีเท้านั้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่เดิมทีมีสีหน้าเย็นชา ดวงตาเป็นประกายแวววาวขึ้น คล้ายดาวตก ที่พลันเกิดขึ้นในคืนมืดมิด รวดเร็วจนทำให้คนยากที่จะมองเห็น
ส่วนหนานกงจวิ้นซีพลันเลิกคิ้วน่ามองขึ้น พลันหันหน้ามองตรงไปที่ประตู แววตาดูเฝ้ามองอย่างตื่นเต้นดีใจอย่างไม่ปิดบัง
และสีหน้าของทั้งสองคน อยู่ในสายตาของชายชุดขาวพอดี คนละเอียดเช่นเขา เมื่อเห็นเหลิ่งจวิ้นอวี๋และหนานกงจวิ้นซีมีสายตาผิดปกติ ในใจกลับตกตะลึงเล็กน้อย พลันมีแววตาสงสัย มองตามทุกคนไปยังที่มาของเสียงฝีเท้า
อันที่จริง หนานกงจวิ้นซีไม่ต้องพูด แต่สามารถทำให้คนที่เย็นชาไร้ความรู้สึก ไม่เคยยิ้มแย้ม ราวกับไม่สนใจสิ่งใดอย่างพญายมสนใจได้ เขาอยากรู้เสียจริงว่าคนเช่นไรถึงมีเสน่ห์มากขนาดนี้กันแน่!
พอคิดถึงตรงนี้ สายตาที่มองไปยังประตูของชายชุดขาว เต็มเปี่ยมด้วยความคาดหวังและแปลกใจ!
เล่อเหยาเหยาไม่รู้ว่ามีสามคนในห้องหนังสือกำลังตั้งหน้าตั้งตารอคอยเธออยู่
ตอนนี้เธอรู้สึกเพียงตื่นเต้นไปทั่วร่าง
โดยเฉพาะเมื่อยิ่งเข้าใกล้ห้องหนังสือ ใจเธอแทบบินออกไป
กระทั่งเล่อเหยาเหยาก็ไม่รู้ว่า เวลานี้ตนวิ่งอย่างรวดเร็วเพียงใด
ผู้คนในวังอ๋อง ต่างรู้สึกเพียงมีเงาร่างสีขาวแวบผ่านไป ทว่าไม่นานก็มองไม่เห็นเงาของผู้ใด จึงต่างคิดว่าตนคงทำงานหนักเกินไป
ส่วนเล่อเหยาเหยาไม่รับรู้ถึงเรื่องนี้เลย เพราะใจและความคิดของเธอ ต่างอยู่ที่คนในห้องหนังสือนั้น
สามวันไม่ได้เจอหน้า ความจริงภายในจิตสำนึกของเธอ ก็รู้สึกคิดถึงเขา…
ไม่เห็นเขามาสามวัน เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงใจของเธอคล้ายขาดบางสิ่งไป
เมื่อเธอพุ่งเข้าไปในห้องหนังสือ เห็นเงาร่างสูงโปร่งล่ำสัน และใบหน้าเย็นชาหนักแน่นนั้น ใจบางส่วนที่ขาดหายไป ในที่สุดก็กลับมาเต็มเช่นเดิม
เมื่อครู่ตอนรู้ว่าเขากลับมา เห็นชัดว่าตื่นเต้นอย่างมาก จนแทบอยากมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าเขา และมองเขา
ตอนนี้ในที่สุดเธอก็เห็นเขาแล้ว ทันใดนั้นศีรษะของเธอพลันขาวโพลน คิดสิ่งใดไม่ออก เพียงยืนอยู่ตรงนั้นอย่างโง่งม จ้องเขม็งไปที่ชายหนุ่มสูงศักดิ์ที่หล่อเหลาดุจเทพเซียนตรงหน้าผู้นั้น
เส้นผมยาวดุจม่านน้ำตก สวมชุดสีดำดูลึกลับ กลิ่นอายที่แผ่กระจายออกมา เป็นความดุดันของราชาที่เหนือกว่าทุกคนบนโลกนี้
อวัยวะทั้งห้าบนใบหน้าลึกล้ำเย็นชา แม้จะแฝงความเยือกเย็นที่ทำให้ผู้คนออกห่าง แต่กลับดึงดูดสายตา งามโดดเด่นเหนือผู้อื่น ทำให้คนที่เห็นยากจะลืมเลือน!
ชายหนุ่มผู้นี้ สามวันที่ผ่านมาพันพัวอยู่ภายในสมองของเธอไม่หยุด ทำให้เธอทั้งขัดแย้งและสับสนอย่างไม่มีสิ้นสุด สงสัยว่าตนป่วยหรือไม่ หรือเป็นเพราะเสียสติจนคิดถึงเขา
แต่ตอนนี้เมื่ออยู่ต่อหน้าเขา เธอกลับเริ่มทำตัวไม่ถูกขึ้นมา
สวรรค์เธอเป็นอันใดกันแน่
ขณะที่เล่อเหยาเหยามองชายหนุ่มตรงหน้าอย่างขัดแย้งและสงสัยในใจ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ก็มองเธออยู่เงียบๆ เช่นกัน
เมื่อเห็นคนตัวเล็กตรงหน้า แม้จะสวมเพียงเสื้อคลุมยาวสีขาวเรียบง่าย ทว่ากลับเข้ากับร่างเล็กอ่อนแอ้น ใบหน้างดงาม ดุจเทพน้อยที่แอบลงมาบนโลกมนุษย์ ประณีตดุจหยกแกะสลัก และน่ารักจนทำให้คนมิอาจละสายตา
โดยเฉพาะเมื่อครู่ที่ ‘เขา’ รีบร้อนวิ่งมา ทำให้สองแก้มที่ขาวผ่องเนียนนุ่ม แดงฝาดขึ้นมา ทำให้ ‘เขา’ดูคล้ายกับลูกท้อที่สุกงอม เย้ายวนใจคน!
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ใจเต้นระรัวเมื่อได้เห็น หัวใจที่เคยสงบนิ่ง คล้ายมีก้อนหินขนาดเล็กตกเข้าไป จนกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่น
ใจรู้สึกสงบลงบางส่วน!
สวรรค์รู้ดีว่า เขาก็ไม่รู้ว่าสามวันที่ผ่านมาเขาผ่านมาได้เช่นไร
ทุกวันทุกคืนเพียงหลับตาลง ตรงหน้าเขา ภายในสมองเขา ต่างปรากฎรอยยิ้มของคนตัวเล็กนี้ขึ้นมา ทุกครั้งเขาคิดว่าคือความจริง ‘เขา’ปรากฏตัวขึ้นมา อยากสัมผัส แต่‘เขา’พลันหายไป
สามวันที่ไท่ซานนั้น ใจของเขาก็ไม่สงบและกังวลอย่างมาก
ไม่รู้ในหลายวันนี้ ‘เขา’จะสบายดีหรือไม่ จะดึงดันคิดจากไปหรือไม่!
เขากลัวว่า เมื่อกลับมาถึงตำหนักหย่าเฟิง จะมีคนหายไป
โดยเฉพาะ เมื่อเขากลับมาได้ยินจากปากหัวหน้าขันทีลี่ว่าตอนเที่ยง‘เขา’พลันมาหยิบป้ายออกจากวังไป ทันใดนั้นเขาก็หวาดหวั่นใจ คิดอยากออกไปตามหา‘เขา’แต่เขายังข่มกลั้นมันเอาไว้
หาก‘เขา’จากไปคนเดียวจริง แม้ตนจะตาม‘เขา’กลับมา จะมีเพียงตัว‘เขา’เท่านั้น ทว่าใจ‘เขา’กลับไม่ได้อยู่ที่นี่ เช่นนั้นจะมีประโยชน์อันใด!
แต่ว่าตอนนี้ เมื่อเห็น‘เขา’ปรากฏตัวขึ้นมาจริง ใจของเหลิ่งจวิ้นอวี๋ก็สงบลงในที่สุด
ตรงข้ามกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋และเล่อเหยาเหยาที่จ้องตากันอยู่ คล้ายบนโลกนี้มีเพียงพวกเขาสองคน ผู้อื่นต่างมองไม่เห็น ไม่สนใจ และมองข้ามไปโดยทันที
เมื่อบางคนเห็นเช่นนั้น รู้สึกไม่พอใจอย่างมาก
และคนผู้นั้น คือหนานกงจวิ้นซี!
ความจริง จากวังอ๋องไปสามวัน เขาก็คิดถึงบ่าวตัวเล็กนี้เช่นกัน!
แต่เขาคิดว่าตนจะเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ ดังนั้นจึงบังคับตนเองไม่ให้คิดถึง‘เขา’แต่ต่อมาเขาจึงรู้ว่าเดิมทีตนฝันลมๆ แล้งๆ
บ่าวผู้นี้บนร่างกายคล้ายมีเสน่ห์บางอย่าง
ยิ่งใกล้ชิดกับ ‘เขา’ ‘เขา’ยิ่งแทรกซึมเข้ามาในเลือดและกระดูกโดยไม่รู้ตัว เมื่อรู้ตัวกลับตกอยู่วังวน จนไม่สามารถถอนตัวออกมาได้
ดังนั้น ตอนแรกที่ศิษย์พี่ใหญ่เรียกตัวเขาไปไท่ซาน เขาจึงตอบตกลง แต่หลังจากวังอ๋องไปจริง คิดว่าจะไม่ได้เจอหน้า‘เขา’เป็นเวลานาน ทำให้ใจเขาร้อนรน ทุกครั้งที่ความมืดคืบคลานเข้ามา เขานอนอยูบนเตียง แต่กลับนอนไม่หลับ
ตอนนี้ เมื่อเห็นบ่าวตัวเล็กนี้อีกครั้ง หนานกงจวิ้นซีดีใจอย่างยิ่ง น่าเสียดายที่พอบ่าวตัวเล็กนี้เข้ามา ภายในสายตากลับมีเพียงศิษย์พี่ใหญ่ หรือเขาจะเทียบกับศิษย์พี่ใหญ่ไม่ได้จริง!
พอคิดถึงตรงนี้ สายตาของหนานกงจวิ้นซีปรากฎความเจ็บปวดและเสียใจขึ้นมา
และภาพนี้ อยู่ในสายตาของชายชุดขาวพอดี ดวงตาชายชุดขาวเพียงปรากฎความแปลกใจขึ้นมา
สิ่งที่ทำให้เขาตกใจที่สุดคือ คนที่ทำให้พญายมผู้เคร่งขรึมสนใจได้ และทำให้องค์ชายเจ็ดที่เอ้อระเหยลอยชายเสียใจได้ จะคือ ‘เขา’!
…………………………………………
Related
Comments