สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! 103.1 กลัดกลุ้มยิ่งแข็งแรง (1) (รีไรท์)

Now you are reading สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! Chapter 103.1 กลัดกลุ้มยิ่งแข็งแรง (1) (รีไรท์) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ขณะเล่อเหยาเหยาสงสัยในใจ ทางตงฟางไป๋ก็ยื่นมือไปตบบนเก้าอี้ข้างกาย เพื่อบอกให้เล่อเหยาเหยานั่งลง

“เอ่อ ไม่เป็นไร”

แม้ตงฟางไป๋จะพูดเช่นนี้ แต่ที่นี่คือตำหนักหย่าเฟิง!

และยังมีพญายมอยู่  นี่…

จะพูดเช่นไรก็ดูไม่ดี!ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงอดทนต่อเสียงท้องที่ร้องไม่หยุด ก่อนส่ายหน้าปฏิเสธตงฟางไป๋

แม้เธอจะหิวอย่างยิ่ง แต่อดทนไว้ก็ผ่านไป

ขณะเล่อเหยาเหยาคิดในใจ พลันได้ยินเสียงเย็นชาของพญายมดังขึ้นมา

“เมื่อไป๋พูดเช่นนี้ เจ้าก็นั่งลงเถิด!”

“เอ่อ!”

เมื่อได้ยินคำพูดของพญายม เล่อเหยาเหยาตะลึงเล็กน้อย ดวงตางดงามเป็นประกายชั่วขณะ

ทว่า เมื่อเจ้านายเอ่ยปากแล้ว เธอเพียงต้องทำตามมิใช่หรือ!

และอาหารที่นี่มีทั้งหูฉลามรังนก ดูดีกว่าอาหารเที่ยงในโรงอาหารมากมาย

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาก็ไม่คิดทำร้ายกระเพาะตนอีก ดังนั้นจึงเอ่ยขอบคุณพลางหัวเราะออกมา ก่อนหยิบชามและตะเกียบ แล้วนั่งหย่อนก้นลง

บนโต๊ะกลมขนาดใหญ่นี้ มีเก้าอี้เพียงสี่ตัว นั่งสี่คนถือว่าพอดี

ด้านซ้ายเล่อเหยาเหยาคือตงฟางไป๋ และด้านขวาคือเหลิ่งจวิ้นอวี๋ ตรงข้ามคือหนานกงจวิ้นซี

แม้ที่นี่ เธอจะฐานะต่ำต้อย แต่เพราะไม่ใช่คนที่เติบโตในยุคโบราณ ภายในความคิดของเล่อเหยาเหยา ยังมีความคิดเรื่องความเสมอภาคของยุคปัจจุบันอยู่

ดังนั้น หลังการระมัดระวังตัวเมื่อครู่ เมื่อเห็นอาหารบนโต๊ะตรงหน้า ท้องที่ว่างเปล่าก็ร้องดีใจขึ้นมา

อาจเพราะได้ยินเสียงประหลาดดังออกมาจากท้องของเล่อเหยาเหยา ตงฟางไป๋ที่อยู่ด้านข้างจึงอดหัวเราะออกมาไม่ได้

จากนั้นด้วยเกรงว่าเล่อเหยาเหยาจะไม่กล้าคีบอาหาร ดังนั้น จึงหยิบตะเกียบหยกคีบไก่ผัดซอสวางลงในถ้วยเล่อเหยาเหยา

“ทานเถิด ไม่ต้องเกรงใจ!”

“ฮ่าๆ ขอบคุณพี่ไป๋!”

เมื่อเห็นตงฟางไป๋คีบอาหารให้ตน เล่อเหยาเหยาไม่ใช่คนโง่ จึงเข้าใจความเอาใจใส่ของตงฟางไป๋ พลันรู้สึกอบอุ่นในใจขึ้นมา

เพราะความรู้สึกถูกคนห่วงใย ช่างงดงาม จนทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นใจ

ดังนั้น เล่อเหยาเหยาจึงเงยหน้าขึ้น ยิ้มให้กับตงฟางไป๋จากใจ

รอยยิ้มนั้น ไม่มีเรื่องซับซ้อนใดแฝงอยู่ งดงามบริสุทธิ์ สดใส และอ่อนช้อย

เมื่อรวมเข้ากับใบหน้าที่หมดจดของเธอนั้น มองแล้วสวยจนอยากกลืนกิน

เห็นเช่นนั้น ดวงตาดำขลับของตงฟางไป๋เพียงเป็นประกายชั่วขณะ พลันอ่อนโยนลง ยิ้มอย่างอ่อนหวาน ก่อนเอ่ยอย่างนุ่มนวลว่า

“รีบทานเถิด ปล่อยให้หิวไม่ดี”

“ขอรับ”

เมื่อได้ยินเล่อเหยาเหยาก็ไม่เกรงใจ หยิบตะเกียบหยก ลงมือกินอย่างเอร็ดอร่อย

อาจเป็นเพราะตงฟางไป๋ที่นั่งอยู่ด้านข้างเป็นพี่ชายที่อ่อนโยนเช่นนี้ แม้เล่อเหยาเหยาจะหิวอย่างมาก แต่ท่าทางการกินก็ไม่ตะกละตะกลามเช่นครั้งก่อนที่ร่วมกินกับเหลิ่งจวิ้นอวี๋และหนานกงจวิ้นซี

ครั้งนี้ เธอกินอย่างกุลสตรีที่สูงส่ง

เพราะมีตงฟางไป๋ที่เป็นพี่ชายผู้สง่างาม หากเธอกินอย่างตะกละตะกลาม ทำให้เขาตกใจไม่ดีแน่

ขณะกินเล่อเหยาเหยา อดมองสำรวจตงฟางไป๋ข้างกายไม่ได้

เห็นเพียง วันนี้ตงฟางไป๋สวมเสื้อผ้าสีขาวดุจเมฆหมอกเช่นเดิม

เขาคล้ายชื่นชอบสีขาวอย่างยิ่ง เสื้อผ้าสีขาวดูเข้ากับเขาเสียจริง

ขาวใสบริสุทธิ์ ทำให้รูปร่างของเขาสูงเพรียวดุจต้นอวี๋ซู คล้ายเซียนที่ผิดพลาดตกลงมาบนโลกมนุษย์

ผมยาวดุจเส้นไหมนั้น ใช้เพียงผ้าไหมมัดเป็นช่อเล็กๆ ไว้ ที่เหลือต่างปล่อยสยายอยู่ที่แผ่นหลัง

แสงอาทิตย์ด้านนอกที่สาดส่องเข้ามา ทำให้ผมยาวของเขา คล้ายน้ำตกสีเงินไหลรินอันงดงาม

ทำให้ใบหน้านั้น ดูอ่อนโยนงามสง่า ไม่มีผู้ใดเปรียบเทียบได้

และท่าทางนั้น ไม่เพียงรูปงาม กระทั่งท่าทางจับตะเกียบทานอาหารต่างราวกับฝึกฝนหน้ากระจกมานับครั้งไม่ถ้วน จึงสง่างามเช่นนี้

ตอนนี้เล่อเหยาเหยาจึงพบว่า การมองคนกินอาหารจะงดงามน่ากลืนกินเช่นนี้ จนท้องที่ส่งเสียงร้องคล้ายลดลงโดยไม่รู้ตัว เพราะมองชายรูปงามจนอิ่มแล้ว

แต่ว่าที่เล่อเหยาเหยาแปลกใจที่สุดคือ

ทุกครั้งที่เห็นชายหนุ่มข้างกาย ในใจเธอเกิดความรู้สึกสนิทสนมขึ้นมา

ความรู้สึกประเภทนี้ เกิดขึ้นตั้งแต่ครั้งแรกที่เธอเจอชายหนุ่มผู้นี้ แต่เธอจำได้ว่า หลังจากมาถึงที่นี่ เธอไม่เคยเจอเขามาก่อน!

แต่เหตุใดในใจจึงเกิดความรู้สึกสนิทสนมมากขนาดนี้

หรือเจ้าของร่างเดิมจะเคยเจอชายผู้นี้มาก่อน!

แต่ชายหนุ่มผู้นี้ คล้ายไม่รู้จักเธอเลยแม้แต่นิดเดียว!

ช่างเป็นความคิดที่แปลกประหลาดเสียจริง!

เล่อเหยาเหยาจึงพลางกินอาหาร พลางคิดเกี่ยวกับความคิดแปลกประหลาดในใจนี้

ทันใดนั้น กลับพบว่ามีสายตาหนึ่งพุ่งมาที่เธอ สายตาคมกริบเช่นนี้ ทำให้เล่อเหยาเหยาพลันตกใจ ก่อนหันไปมองสายตานั้น ก็เห็นใบหน้าเคร่งขรึมที่ไม่สามารถขรึมได้กว่านี้อีกแล้วของพญายม

ใบหน้าของพญายมนั้นเย็นชาและโกรธเกรี้ยวอย่างยิ่ง เหมือนมีคนติดหนี้เขาแล้วไม่ยอมชดใช้ และดูเหมือนว่าคนที่ติดหนี้นั้นก็คือตนเอง

หลังคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาตกใจจนทั่วร่างสั่นเทิ้ม เธอกลับลืมว่าตนกำลังกินไข่นกกระทา ดังนั้นเหตุการณ์อันโหดร้ายก็เกิดขึ้น

“เอ่อ”

เล่อเหยาเหยารู้สึกเพียงมีของแข็งติดอยู่ในลำคอของตน ทันใดนั้น เธอก็กลืนมันลงไปไม่ได้ จะคายออกมาก็ไม่ได้

ไข่นกกระทานั้นทำให้เธอแทบหายใจไม่ออก และรู้สึกทรมาน ก่อนพลันหวาดกลัว ดวงตาอดปูดโปนไม่ได้

จากนั้นพลันยื่นมือขึ้นคิดล้วงไข่นกกระทาที่อยู่ในลำคอออกมา

และท่าทางนี้ของเธอ ทำให้ทุกคนตกใจ

เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่นั่งอยู่ด้านข้างเธอ เพราะสายตาอยู่ที่เธอตลอด ดังนั้นเมื่อเล่อเหยาเหยาแสดงสีหน้าทรมาน พลันรู้ทันที กำลังคิดจะใช้มือตบที่หลังของเล่อเหยาเหยา ให้เธอคายของในปากออกมา แต่กลับมีคนเร็วกว่าเขาหนึ่งก้าว

“น้องเหยา อ้าปากให้กว้างขึ้น”

ตงฟางไป๋ที่อยู่ด้านข้างเอ่ยขึ้นอย่างอ่อนโยน สีหน้าก็เรียบเฉย จากนั้นขณะเอ่ยให้เล่อเหยาเหยาอ้าปากกว้าง พลันยื่นนิ้วเรียวยาวออกมา ไม่นาน ก็นำไข่นกกระทาที่อยู่ในลำคอของเล่อเหยาเหยาออกมา

“แค่กๆ ฟู่ว เกือบติดคอตายแล้ว”

หลังหยิบไข่นกกระทานั้นออกมาแล้ว เล่อเหยาเหยาพลันสูดหายใจหอบฮัก

เวลานี้เธอจึงพบว่า รู้สึกสามารถหายใจได้คล่องขึ้น

เล่อเหยาเหยาแอบดีใจที่ตนยังไม่ตาย ทว่าไม่นาน เธอคล้ายฉุกคิดขึ้นมาได้ ทั่วร่างคล้ายถูกฟ้าผ่า แข็งทื่ออยู่ตรงนั้น

หากเธอจำไม่ผิด เมื่อครู่ตงฟางไป๋ใช้มือช่วยเธอนำไข่นกกระทานั้นออกมา

เขาไม่รังเกียจว่าสกปรกหรือ!

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาทั้งอึดอัดและขวยเขิน ทว่าซาบซึ้งมากที่สุด

พอดีกับเวลานี้ ตงฟางไป๋ที่หลังจากล้างมือก็กลับมานั่งลงข้างเล่อเหยาเหยาอีกครั้ง ก่อนหยิบชาบนโต๊ะส่งให้กับเล่อเหยาเหยาที่หน้าแดงขวยเขิน น้ำเสียงอ่อนโยนเช่นเดิม ทำให้คนฟังรู้สึกผ่อนคลาย

“ดื่มชาให้ชุ่มคอก่อนเถิด”

“เอ่อ ขอบคุณพี่ไป๋”

หลังได้ยินคำพูดของตงฟางไป๋ กลับมามองน้ำชาตรงหน้าเธออีกครั้ง

สายตาเล่อเหยาเหยาอดมองถ้วยชาในมือใหญ่นั้นไม่ได้

มือเขาช่างงดงามจริง!

ผิวดูขาวผ่อง ไม่เหมือนผิวสีน้ำตาลของเหลิ่งจวิ้นอวี๋และหนานกงจวิ้นซี แต่ผิวขาวดุจหิมะเช่นนี้ กลับไม่เหมือนผู้หญิงแม้แต่น้อย และเข้ากับรูปโฉมและบุคลิกของเขาอย่างยิ่ง

ยังมีนิ้วที่เรียวยาวนั้น เห็นข้อกระดูกชัดเจน กระทั่งเล็บมือล้วนตัดตกแต่งอย่างเรียบร้อย

เห็นชัดว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่รักความสะอาดอย่างยิ่ง

และเมื่อนึกขึ้นอีกครั้งว่าเมื่อครู่เขาใช้มือนี้ หยิบไข่นกกระทาในลำคอตนออกมา

พอคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยารู้สึกร้อนขึ้น จากหัวใจพุ่งตรงขึ้นไปสู่ส่วนศีรษะ

จนรูจมูกแทบพ่นไอร้อนออกมา

สวรรค์ น่าขายหน้านัก!

อับอายในใจไม่หยุด เล่อเหยาเหยาก้มศีรษะลงต่ำ เพื่อปิดบังท่าทางน่าอายเมื่อครู่ และรับถ้วยชาจากตงฟางไป๋ดื่มเข้าไป

แต่เพราะในใจกังวลและขวยเขิน รีบร้อนดื่มเข้าไป จึงไม่ทันระวัง กลับสำลักน้ำเข้า

จึงรีบวางถ้วยชาลง พลันใช้มือปิดปากไอขึ้นมา

ใบหน้าก็ยิ่งแดงก่ำ

สวรรค์!

วันนี้เธอเป็นอันใดไป

จึงทำแต่เรื่องน่าอาย!

เรื่องแรกคือเรื่องนั้นในตอนเช้า ต่อมากินจนไข่นกกระทาติดคอ ตอนนี้ก็สำลักน้ำที่ดื่มเข้าไปอีก

หรือวันนี้เธอไม่ได้ดูดวงก่อนออกจากประตูบ้าน!

ยิ่งคิด ในใจเล่อเหยาเหยายิ่งรู้สึกอยากร้องไห้ออกมา ทว่าไร้น้ำตา

ศีรษะก้มต่ำยิ่งขึ้น จนศีรษะแทบติดกับพื้น

อีกทั้งเธอไม่กล้าเงยหน้ามองสีหน้าของคุณชายเหล่านี้ เพราะตนอับอายขายหน้า จะยังมีหน้ามองผู้ใดได้เช่นไร!

กระทั่งด้านหลังของเธอพลันถูกคนตบลงเบาๆ ข้างหูมีเสียงอ่อนโยนของตงฟางไป๋ดังขึ้นมา

“น้องเหยา เป็นอันใดหรือไม่!”

น้ำเสียงตงฟางไป๋ ไม่ได้แฝงการสัพยอก แต่แฝงด้วยความห่วงใยและกังวล

ทำให้เล่อเหยาเหยาที่ได้ฟังรู้สึกอบอุ่นในใจ ในที่สุดจึงมีความกล้าเงยหน้าขึ้นมา ส่ายหน้าให้กับตงฟางไป๋ พร้อมเอ่ยขึ้นว่า

“ไม่ขอรับ ขอบคุณพี่ไป๋”

เล่อเหยาเหยากัดริมฝีปากแน่น เอ่ยจบก็ยิ้มให้กับตงฟางไป๋

เฮ้อ น่าขายหน้ายิ่งนัก

ทว่าไม่รู้เหตุใด เพียงเห็นใบหน้าที่อ่อนโยนงามสง่าของตงฟางไป๋ คล้ายไม่มีสิ่งใดที่หนักหนา

คนจะไม่มีช่วงที่อับอายขายหน้าได้เช่นไร!

เล่อเหยาเหยาปลอบใจตนเอง ไม่นาน ในใจก็ค่อยๆ สงบลง

ความจริงเธอต้องตั้งสติ ความจริงเธอเป็นพวกแมลงสาบที่ตีก็ไม่ตาย!

ขณะที่เล่อเหยาเหยาสงบลงไปไม่น้อย ทางหนานกงจวิ้นซี กลับคล้ายคาดว่าเล่อเหยาเหยายังอับอายไม่เพียงพอ จึงเอ่ยเยาะเย้ยขึ้นมา

“ไป๋ เจ้าทำดีกับเจ้าบ่าวผู้นี้เกินไป บ่าวที่โง่และหยาบกระด้างเช่นนี้ กระทั่งกินข้าวยังทำไม่ได้ ครั้งก่อนเจ้าไม่อยู่ เวลาเขากินก็ไม่ได้สุภาพเรียบร้อยเช่นวันนี้หรอก กินราวกับผีอดอยาก วันนี้เขาแสร้งทำเป็นเรียบร้อยเท่านั้น”

เมื่อได้ยินหนานกงจวิ้นซีขุดเรื่องน่าอายที่ผ่านมาออกมาอีก เล่อเหยาเหยาโกรธจนกัดฟันกรอด

เธอทนองค์ชายเจ็ดผู้นี้มามากพอแล้ว

ทั้งวันเอาแต่เสียดสีเธอ เขาทำร้ายเธอให้น้อยลงหน่อยจะตายหรือ!

เล่อเหยาเหยายิ่งคิดยิ่งโมโห จนทนต่อไปไม่ไหว โดยเฉพาะเมื่อเห็นรอยยิ้มเหยียดหยามของหนานกงจวิ้นซี เล่อเหยาเหยาเคลื่อนพลังลงไปที่เท้า ก่อนเหยียบไปที่เท้าด้านหน้าของเขาอย่างรุนแรง

ฮึฮึ ผู้ใดให้เจ้าทำร้ายข้า ข้าจะเหยียบเจ้าให้ตายเลย!

น้ำหนักเท้าของเล่อเหยาเหยาคือแรงที่มีทั้งหมดในร่างกาย เธออุดปากเขาไม่ได้ จะเหยียบเขาให้ตาย!

แต่เจ้านั้น ยังแสแสร้งหรือว่าเช่นไร!

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด