สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?! 72.1 รอยยิ้มพญายม (1)
ทว่าแม้ในใจเหลิ่งจวิ้นอวี๋จะสั่นไหว แต่บนใบหน้ากลับนิ่งเฉย กระทั่งดวงตาเย็นชาที่งดงามคู่นั้น ยังดำขลับลึกล้ำ ทำให้คนที่เห็นไม่อาจล่วงรู้สิ่งความคิดในใจของเขา
แต่เล่อเหยาเหยากลับไม่เคยรู้ความในใจของเขา จึงเพียงคิดว่าสิ่งที่ตนเอ่ยออกไปอาจช่วยเหลือพญายมได้ และราษฎรที่ทุกข์ยากเหล่านั้น ตื่นเต้นในใจอย่างยิ่ง
ดังนั้น หลังจากนั่งลง รีบเอ่ยคำพูดในใจออกมาทันที
“ท่านอ๋อง แม้ในใจบ่าวจะมีวิธีบางอย่าง แต่ไม่รู้ว่าจะสามารถช่วยเหลือความกังวลของท่านอ๋องหรือไม่ หากไม่ดีประการใด ท่านอ๋องโปรดอย่าลงโทษบ่าวนะขอรับ!”
“เรื่องนี้ย่อมแน่อยู่แล้ว นอกจากนี้หากเจ้าพูดได้ดี ข้ายังจะตบรางวัลให้อย่างหนักด้วย!”
หลังเหลิ่งจวิ้นอวี๋เอ่ยจบ ดวงตาเล่อเหยาเหยาเบิกกว้างเป็นประกาย
แม้เมื่อครู่เธอคิดเพียงชายหนุ่มตรงหน้าช่วยชีวิตเธอเอาไว้ เธอจึงคิดนำเรื่องที่ตนรู้เอ่ยออกมา ช่วยคลายความกังวลของเขา
แต่เวลานี้หลังได้ยินคำพูดของเขา ในใจตื่นเต้นดีใจอย่างยิ่ง
อันที่จริงเธออยู่ในวังอ๋องแห่งนี้ ตำแหน่งต่ำต้อย เงินเดือนน้อย จะมีเงินเก็บได้เมื่อไหร่กัน!?
ดังนั้นเวลานี้น่าจะเป็นช่วงแจ้งเกิดของเธอ หากครั้งนี้เธอช่วยท่านอ๋องผู้นี้ได้จริง ท่านอ๋องอาจใจดี ให้รางวัลพวกแจกันโบราณหรือเงินก็เป็นได้
พอนึกถึงวันข้างหน้าหลังออกจากวังอ๋องไม่ต้องกังวลเรื่องปากท้องของตน ดวงตางดงามของเล่อเหยาเหยายิ้มแย้ม มุมปากฉีกกว้างจนแทบถึงใบหู ดีที่น้ำลายไม่ไหลออกมา
แต่เธอกลับไม่รู้ว่าท่าทางละโมบของตนนั้น เวลานี้ได้เปิดเผยออกมาบนใบหน้าเล็กประณีตจนหมดสิ้น เหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่นั่งอยู่ตรงข้ามเห็นเข้า อดยิ้มเล็กๆ ที่มุมปากไม่ได้
เดิมทีเมื่อครู่เขากำลังค้นหาหนังสือเกี่ยวกับการชลประทาน หาวิธีมาแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและภัยแล้งครั้งนี้ พอนึกถึงเวลานี้อาจมีผู้คนล้มตายจากภัยพิบัติอยู่ทุกเวลา เขารู้สึกกลัดกลุ้มใจและกดดันอย่างยิ่ง
แต่เวลานี้พอมองขันทีน้อยตรงหน้า ความกดดันในใจเขากลับเลือนหายไปไม่น้อยอย่างน่าแปลกใจ
โดยเฉพาะเห็นดวงตาเป็นประกายของเขาที่ทั้งกลมและโต ราวกับเพชรตาแมวที่เจิดจรัสท่ามกลางแสงอาทิตย์
รอยยิ้มกว้างนั้น แสดงถึงความดีใจและความสุขในใจของเขา
เขาคล้ายกับกระดาษสีขาวแผ่นหนึ่งที่ใสสะอาดและบริสุทธิ์ ทำให้เหลิ่งจวิ้นอวี๋อิจฉา และสงสัยว่า
แท้จริงแล้ว เพราะเหตุใดครอบครัวหนึ่งถึงเลี้ยงดูเขาให้สะอาดบริสุทธิ์เช่นนี้ได้ ราวกับไม่มีสิ่งใดให้กังวลเลย?
นอกจากนี้เป็นจริงดังที่เขาเอ่ย บิดามารดารักทะนุถนอมเขาอย่างมากตั้งแต่เด็ก เรื่องใดล้วนไม่ให้เขายุ่งยากใจ จึงทำให้เขาไร้ความกังวลเช่นนี้
แต่สุดท้ายเขา เพราะฐานะทางบ้านยากจนจึงถูกส่งมาเป็นขันที สำหรับเรื่องนี้เหลิ่งจวิ้นอวี๋อดรู้สึกสงสารไม่ได้ หากเขาไม่ใช่ขันที อาจจะงดงามกว่านี้ยิ่งนัก
ขณะเหลิ่งจวิ้นอวี๋ถอนหายใจ เล่อเหยาเหยาที่อยู่ตรงข้ามกลับไม่รู้สิ่งที่เขาคิดในใจแม้แต่น้อย และเอ่ยข้อมูลและวิธีแก้ปัญหาเกี่ยวกับเรื่องนี้ที่เคยอ่านจากหนังสือออกมาอย่างไม่มีตกหล่น
“การจะเป็นนักปกครองที่ดี ต้องจำกัดกำจัดภัยทั้งห้าเสียก่อน ”
“หรือ? เล่าให้ข้าฟังเถอะ”
เดิมทีเหลิ่งจวิ้นอวี๋ไม่ได้คาดหวังใดๆ กับสิ่งที่เล่อเหยาเหยาพูดออกมาทั้งสิ้น
เพราะไม่ว่าจะพูดเช่นไร เล่อเหยาเหยาเป็นเพียงเด็กน้อยจากครอบครัวยากจน ไม่เคยเรียนหนังสือ จะทำสิ่งใดได้เช่นไร
แต่เมื่อครู่เมื่อเห็นดวงตาเปี่ยมด้วยความหนักแน่นของเขา ก็รู้ว่าเขาคิดช่วยเหลือจากใจจริง ดังนั้นจึงไม่ดูถูกความหวังดีของเขา
ยิ่งไปกว่านั้น เพราะงานที่วุ่นวายน่ารำคาญหลายวันมานี้ ทำให้เขาหงุดหงิด เวลานี้จึงควรผ่อนคลาย และตอนนี้มีเพียงขันทีน้อยตรงหน้านี้ที่สามารถทำให้เขาผ่อนคลายลงได้
ขันทีน้อยตรงหน้านี้ คล้ายมีเสน่ห์ที่ทำให้จิตใจผู้คนสงบอยู่บนในร่างกาย
เพียงเขาปรากฏตัว ราวกับว่าเป็นลมเย็นสบายในเดือนสามอันสุขใจ พัดเบาๆ เข้ามาภายในใจของเขา
หากเป็นไปได้ เขาหวังจริงๆ ว่าจะสามารถทำให้เขาอยู่ข้างกายตนไปตลอดชีวิต ตลอดชีวิตนี้…
เมื่อรู้สึกว่าจู่ๆ ในใจเกิดความคิดนี้ขึ้นมา เหลิ่งจวิ้นอวี๋ตกใจอย่างยิ่ง ทว่าไม่ใช่สิ่งที่ทำให้เขาตกใจที่สุด แต่ที่เขาหวั่นไหวที่สุดคือ คำพูดต่อมาของเล่อเหยาเหยา
ความจริงเล่อเหยาเหยาไม่รู้ว่าตนพูดผิดหรือถูก ทว่าเธอกลับอ้างอิงจากความทรงจำ เอ่ยพูดแผนการบรรเทาภัยพิบัติที่เคยอ่านก่อนหน้านี้ออกมาทั้งหมด
สิ่งใดคือการป้องกันภัยพิบัติล่วงหน้า สงเคราะห์ผู้ประสบภัย จัดส่งเสบียงให้ผู้ประสบภัยพวกนี้กัน
ทว่าเธอยิ่งพูดก็รู้สึกว่าตนเองน่าจะไม่ได้พูดผิด เพราะพญายมที่นั่งตรงหน้าเธอ หลังได้ยินคำพูดของเธอ ดวงตาเย็นชาแดงก่ำเพราะทำงานหนักอ่อนเพลีย เริ่มเป็นประกายอย่างมีความหวังขึ้นมา
ราวเทียนไขถูกจุดติดขึ้นในยามค่ำคืน แวววาวเป็นประกายสุกใส!
“เรื่องพวกนี้ เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
หลังฟังเล่อเหยาเหยาจบ ใบหน้าเดิมที่นิ่งเฉยของเหลิ่งวิ้นอวี๋ กลับมีความประหลาดใจออกมา กระทั่งน้ำเสียงเอ่ยออกมาอย่างไม่เชื่อหู
เมื่อรู้ว่าสิ่งที่ตนเอ่ยออกมาสามารถช่วยพญายมได้แน่ กระทั่งขจัดความยุ่งยากใจให้กับเขา เล่อเหยาเหยาจึงโล่งอกไปพร้อมกัน ในใจรู้สึกภูมิใจอย่างยิ่ง
ฮิฮิ จะพูดอย่างไรเธอเป็นคนสมัยใหม่ในศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดที่ข้ามเวลามา เรื่องพวกนี้เพียงค้นหาในอินเตอร์เน็ต ก็ได้คำตอบออกมามากมาย!
ทว่าเธอไม่บอกความจริงกับพญายมแน่ เพียงยืนมือลูบท้ายทอยตนเองอย่างสำรวมท่าที ก่อนเอ่ยปากด้วยท่าทีเอียงอาย
“เรื่องพวกนี้ บ่าวเคยอ่านจากหนังสือ จากนั้นนำมารวบรวมเป็นความคิดตนขอรับ”
“หืม ที่แท้เป็นเช่นนี้!”
เหลิ่งจวิ้นอวี๋ได้ยิน ใบหน้าพลันเข้าใจกระจ่าง ทว่าอาจเพราะครั้งนี้เล่อเหยาเหยาได้ช่วยเหลือเขาครั้งใหญ่ ความกดดันทั้งหมดในใจเดิมหายไป ทำให้กลิ่นอายความโหดเหี้ยมหายไปทันที มุมปากปรากฎรอยยิ้มที่บางเบา
รอยยิ้มนั้น แม้จะบางเบา แต่กลับมองออกว่าเวลานี้พญายมอารมณ์ดีมากทีเดียว
นอกจากนี้ รอยยิ้มเขาช่างงดงามและชวนหลงใหลยิ่งนัก!
ตระการตาดั่งสายลม ดั่งแสงจันทร์สว่างจ้ายามค่ำคืน ท่ามกลางความหนาวเหน็บกลับแฝงความโอ่อ่าหรูหราและสง่างาม
เมื่อเห็นรอยยิ้มของชายหนุ่มตรงหน้า แม้รอยยิ้มนั้นจะเบาบาง แต่กลับเหมือนชวนให้คนหลงเสน่ห์
เล่อเหยาเหยาพลันรู้สึกสมองเกิดเสียงดัง ‘ตูม’ขึ้นมารู้สึกงงงัน หัวใจพลันเต้นผิดจังหวะทันที
เสียง ‘ตึกตัก’ราวกระต่ายน้อยตัวหนึ่งกระโดดเข้ามาไม่หยุด
เวลานี้เธอรู้สึกเพียง ราวถูกความสง่างามอันน่าหลงใหลของพญายมล่อลวง จนควบคุมตนเองไม่ได้อีกครั้ง
นอกจากนี้เวลานี้ถึงรู้ว่าพญายมที่น่าหวาดกลัวยิ่งนัก เวลายิ้มกลับงามล้ำ งดงามจนทำให้ผู้คนตกตะลึง
ขณะที่เล่อเหยาเหยาประหลาดใจ ทางเหลิ่งจวิ้นอวี๋นั้นคล้ายสังเกตถึงความผิดปกติของเล่อเหยาเหยา นอกจากนี้ในที่สุดเขาจึงรู้ตัวว่าตนกำลังยิ้มอยู่
เรื่องนี้ทำให้เขาประหลาดใจและไม่เชื่อสายตาเช่นกัน
เพราะเขาคล้ายไม่ได้ยิ้มมานานหลายปีเหลือเกิน
………………………………………………………
Comments