สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 335-2 วางกับดักนาง (2)

Now you are reading สามีข้าคือขุนนางใหญ่ Chapter บทที่ 335-2 วางกับดักนาง (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 335 วางกับดักนาง (2)

ฮ่องเต้เอ่ยถามด้วยความสงสัย “แล้วเหตุใดเจ้าถึงไม่รีบคืนตั้งแต่แรก ทำไมต้องมาคืนเอาตอนนี้ด้วย”

จี้จิ่วหัวเราะเจื่อนพลางแสดงท่าทีลำบากใจ “กระหม่อมขอเอ่ยตามตรง… กระหม่อม… กระหม่อมเองก็ลืมเรื่องนี้ไปเหมือนกัน… เป็นเพราะกระหม่อมได้ยินข่าวว่าจิ้งไท่เฟยกลับมาที่วังเมื่อไม่นานมานี้ กระหม่อมจึงนึกเรื่องนี้ขึ้นได้พ่ะย่ะค่ะ”

ให้ตายสิ ยังดีที่จิ้งไท่เฟยเคยให้เขายืมเงินจริงๆ

และเขาก็บอกว่าจะจ่ายคืนสองเท่า แต่จิ้งไท่เฟยไม่เห็นด้วยในตอนนั้น นางแค่พูดว่าให้เขาเขียนตุ้ยเหลียนให้เป็นการตอบแทน

แต่เรื่องนี้เกิดขึ้นนานมาแล้ว หากเขายืนกรานว่าจะจ่ายเงินคืนให้ จิ้งไท่เฟยเองก็คงไม่เอะใจอะไร

ต่อให้นางจำได้ชัดเจนก็ไม่เป็นปัญหาอะไร เพราะความจำของคนเราอาจผิดพลาดได้

เขาก็แค่บอกออกไปว่านี่คือสิ่งที่เขาจำได้ก็พอ!

โชคดีที่ฮ่องเต้ไม่ได้ซักไซ้ต่อถึงรายละเอียดของเรื่องที่เกิดขึ้น และหันมาสนใจกล่องบุผ้าปริศนานี่อีกครั้ง

“เจ้าบอกว่าเจ้าใส่เงินในนั้น แต่วันนี้กล่องที่เซวียนผิงโหวนำมาให้กลับเป็นลูกดอกซึ่งเกือบทำให้จิ้งไท่เฟยบาดเจ็บ”

“ฝ่าบาทว่าอย่างไรนะพ่ะย่ะค่ะ” จี้จิ่วอาวุโสอ้าปากตาค้าง ตื่นตระหนกสุดขีด เขาทรุดเข่าลงในทันใด “ฝ่าบาทโปรดตรวจสอบให้ชัดเจนด้วยพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมใส่เงินไว้ในนั้นจริงๆ! กระหม่อมไม่รู้ว่าของในกล่องนั้นกลายเป็นลูกดอกไปตั้งแต่เมื่อไหร่! กระหม่อมขอสาบานกับเทพยาฟ้าดิน!”

เซวียนผิงโหวกัดฟันแน่น

เอาเลย!

เล่นละครให้เต็มที่!

จากนั้นถึงคราวจวงกุ้ยเฟยพูดบ้าง “ในเมื่อท่านฮั่วจี้จิ่วยืนกรานเช่นนี้ บางทีเขาอาจจะไม่ได้ใส่มันเข้าไป แต่หลังจากนั้น ดูเหมือนเซวียนผิงโหวจะเป็นคนเดียวที่อยู่กับกล่องนั้น”

“จวงกุ้ยเฟย!” เซียวฮองเฮาตะโกนแย้ง

“หม่อมฉันมิได้มีเจตนาใส่ร้ายเซวียนผิงโหวนะเพคะ แค่พูดตามความจริงเท่านั้น”

เซวียนผิงโหวเอ่ยต่อ “หลังจากที่กระหม่อมได้กล่องมาเมื่อวานนี้ กระหม่อมไม่ได้เปิดมัน แต่กระหม่อมเก็บมันไว้กับตัว และวางไว้ในห้องของกระหม่อม คนเดียวที่สามารถเข้าไปในห้องของกระหม่อมได้คือฉังจิ่ง ซึ่งแน่นอนว่าฉางจิงไม่มีทางจะเข้าไปยุ่งกับกล่องนั้นอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ของแบบนี้ไม่มีทางดึงดูดความสนใจของฉังจิ่งอยู่แล้ว

ยิ่งเปิดดูยิ่งแล้วใหญ่ เป็นไปไม่ได้

เซียวฮองเฮาลุกขึ้นยืนข้างพี่ชายของตน จากนั้นถวายบังคมให้ฮ่องเต้ “ฝ่าบาท เซวียนผิงโหวภักดีต่อพระองค์และเคารพจิ้งไท่เฟยเป็นอย่างมาก ไม่มีวันที่เขาจะคิดทำร้ายจิ้งไท่เฟยแน่นอน! โดยเฉพาะอย่างยิ่ง …เช่นนี้จะไม่โง่เขลาเกินไปหน่อยหรือที่จะใช้สิ่งที่เขามอบให้ต่อหน้าผู้คนมากมาย”

“บางทีอาจมีคนใช้ประโยชน์จากความคิดนี้เพื่อทำให้สิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ เพื่อที่พวกเขาจะได้หลุดพ้นจากความสงสัย” จวงกุ้ยเฟยเอ่ยต่อ

ดวงตาของเซียวฮองเฮาพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชา “ข้ากำลังทูลฝ่าบาท ไม่ใช่เวลาของสนมตัวเล็กๆ อย่างเจ้าที่จะมาเสนอหน้าตอนนี้!”

โดยปกติแล้ว เซียวฮองเฮาจะไม่ใช้สถานะของตัวเองข่มจวงกุ้ยเฟย เพราะอย่างไรเสีย คนที่อยู่เบื้องหลังจวงกุ้ยเฟยก็คือจวงไทเฮา ดังนั้น นางจึงถือวิสาสะพูดจาเช่นนี้อย่างเร่งรีบในวันนี้เท่านั้น

จวงกุ้ยเฟยส่งเสียฮึดฮัด

ฮ่องเต้หันไปทางเซวียนผิงโหว “มีใครอีกไหมที่ใกล้ชิดกับเจ้า”

เซวียนผิงโหวตอบอย่างตรงไปตรงมา “กระหม่อมมิอาจพูดว่าทั้งจวนของกระหม่อมนั้นมีการคุ้มกันที่ปลอดภัยแข็งแกร่งราวกับทองคำ แต่กระหม่อมมีฉังจิ่งอยู่กับกระหม่อม ซึ่งกระหม่อมและฉังจิ่งไม่มีทางปล่อยให้คนแปลกหน้าหรือใครก็ตามเล็ดรอดเข้ามากระตุกหนวดกระหม่อมอย่างแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”

“ฉังจิ่งที่เจ้าพูดถึงคือนักฆ่าที่ถูกนำกลับมาจากอั้นเย่เหมินหรือไม่” ฮ่องเต้เอ่ยถาม

เซวียนผิงโหว “ใช่แล้วขอรับ”

อั้นเยี่ยเหมินเป็นกองกำลังนอกแคว้นทั้งหก ไม่สังกัดที่ใดที่หนึ่ง

ฝีมือการต่อสู้ของพวกเขาเรียกได้ว่าเหนือชั้น

แม้แต่ตัวเซวียนผิงโหวเองก็เป็นคนมีฝีมือการต่อสู้ระดับต้นๆ เช่นกัน

จี้จิ่วอาวุโสเริ่มบ่นอุบอิบ “หรือว่าจะมีคนแอบเข้ามาตอนพวกท่านกำลังหลับอยู่”

เซวียนผิงโหวหันมามองเขา ก่อนจะหัวเราะเย้ยหยันพลางเอ่ย “เจ้ารู้หรือไม่ว่า คนที่จะเอาชนะฉังจิ่งได้ในแคว้นนี้มีไม่ถึงห้าคนด้วยซ้ำ หนึ่งคือจอมพลทหารม้าถังเยว่ซาน สองคือกู้โหวเย่จากจวนติ้งอัน ส่วนอีกสามคือทหารหลงอิ่งที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนประทานให้ฝ่าบาท เหตุที่ข้าพูดว่าสามก็เพราะข้าเคยเห็นแค่สามคน และข้าไม่รู้ว่ามีมากกว่านี้อีกหรือไม่”

“แสดงว่าคนที่กล่าวมาก็มีความเป็นไปได้ที่จะทำเช่นนั้นน่ะสิ!”

“ถังเยว่ซานติดตามหนิงอ๋องออกนอกเมืองเพื่อปราบปรามกลุ่มโจรตั้งแต่ช่วงต้นเดือนและยังไม่กลับมา เขาจะมาที่เรือนของข้าได้อย่างไร” เซวียนผิงโหวตอบ

จี้จิ่วเอ่ยถามต่อ “แล้ว…ท่านเหล่าโหวกู้ล่ะ”

เซวียนผิงโหวหรี่ตามอง “นี่เจ้าโง่จริงหรือแกล้งโง่กันแน่”

ท่านเหล่าโหวกู้เป็นคนสนิทของฮ่องเต้ ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ แล้วมีหรือที่ฮั่วจี้จิ่วจะไม่รู้เรื่องนี้ด้วย

คนอย่างท่านเหล่าโหวกู้น่ะหรือจะทำร้ายจิ้งไท่เฟย

เขาจะมารู้ได้อย่างไรว่ามีกล่องนี้อยู่จริงๆ

เซียวฮองเฮารู้เรื่องที่โหวเหย่ฝึกทหารให้พระองค์อย่างเงียบๆ และนางยังเชื่อด้วยว่าท่านเหล่าโหวกู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แน่นอน

ส่วนจวงกุ้ยเฟยเป็นคนของไทเฮา นางจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าท่านเหล่าโหวกู้และฝ่าบาทหมางเมินกันเพียงผิวเผินเท่านั้น

จวงกุ้ยเฟยหัวเราะด้วยเสียงเย็นเยือก “ในเมื่อนั่นก็ไม่ใช่ นี่ก็ไม่ใช่ ก็เหลือแค่ทหารหลงอิ่งของฝ่าบาทแล้วสิ นี่ เซวียนผิงโหว ทำไมไม่พูดออกมาเลยละว่าฝ่าบาททรงลอบทำร้ายท่านแม่ของตนเองน่ะ”

แต่ที่จวงกุ้ยเฟยไม่รู้ก็คือฮ่องเต้ได้ส่งมอบทหารหลงอิ่งให้คุ้มกันจิ้งไท่เฟยตั้งนานแล้ว

ดังนั้น ต่อให้เป็นฝีมือของหลงอิ่งจริงๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่แผนของฮ่องเต้ แต่เป็นแผนของจิ้งไท่เฟยที่ต้องการจะลอบทำร้ายตัวเอง

แล้วเหตุใดจิ้งไท่เฟยจึงต้องการทำร้ายตัวเองล่ะ หรือทรงมีแผนซ้อนแผนอะไรกันแน่

นางต้องการเล่นงานเซวียนผิงโหวหรือว่าจี้จิ่วกันแน่

หากไม่พูดเรื่องจิตใจอันแสนบริสุทธิ์และแสนเมตตาของท่านแม่ ฮ่องเต้คิดอย่างไรก็คิดไม่ออกว่านางมีเหตุใดถึงต้องทำเช่นนั้น เซวียนผิงโหวและจี้จิ่วต่างก็เป็นคนสนิทของพระองค์ จิ้งไท่เฟยจะหักแขนขาของเขาได้อย่างไร

ฮ่องเต้มองดูเซวียนผิงโหวอย่างเย็นชา “ข้าฝากเรื่องนี้ไว้ให้เจ้าตรวจสอบ และเจ้าต้องหาความจริงให้ข้า! ถ้าเจ้าหาไม่ได้ ข้าจะถือว่าเจ้าเป็นคนทำ!”

เซวียนผิงโหว “…”

พอออกมาจากตำหนัก เซวียนผิงโหวแทบอยากจะเข้าไปกระชากหัวจี้จิ่วอาวุโสแล้วลากไปกับพื้น “เจ้าแซ่ฮั่ว บังอาจนัก เล่นกันขนาดนี้เชียวหรือ!”

“เซวียนผิงโหวท่านกำลังพูดเรื่องอันใดอยู่รึ ข้าไม่รู้ว่าเงินของข้ามันกลายเป็นลูกดอกไปได้ยังไง!” จี้จิ่วอาวุโสเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ไม่ยอมรับ

จอมปลิ้นปล้อนอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเจา แสดงละครเก่งเหลือเกิน!

เซวียนผิงโหวกัดฟันกรอดพลางเอ่ย “เพื่อเห็นแก่เจ้าที่เป็นครูของอาเหิง ข้าจะไม่ยุ่งอะไรกับเจ้า แต่ถ้าข้าพบหลักฐานละก็ อย่าคิดว่าจะรอดเงื้อมมือข้าไปได้!”

จี้จิ่วอาวุโสยกมือคำนับ “ลาก่อนท่านโหว!”

“เหอะ!” เซวียนผิงโหวสะบัดแขนเสื้อก่อนจะเดินออกไป

เมื่อเห็นว่าเซวียนผิงโหว จี้จิ่วจึงถอนหายใจเฮือกยาว

เขาเดินมาถึงรถม้าของตัวเอง ก่อนจะเหยียบตั่งแล้วขึ้นม้าไป

ภายในนั้นมีกู้ฉังชิงและกู้เจียวที่กำลังรอฟังเหตุการณ์อยู่

“ท่านฮั่วจี้จิ่ว ได้ความอย่างไรบ้าง” กู้ฉังชิงถาม

จี้จิ่วอาวุโสค่อยๆ คลี่ยิ้มออกมา “ราบรื่นเชียวล่ะ! แถมยังมีเรื่องที่คาดไม่ถึงอีกด้วย ก็คือเรื่องวรยุทธ์ของจิ้งไท่เฟยน่ะ”

อันที่จริงเขาไม่ได้เห็นจิ้งไท่เฟยคว้าลูกดอกเองกับตาหรอก เพิ่งจะถามเว่ยกงกงตอนออกมาน่ะ

เดิมเขายังนึกด้วยซ้ำว่าทหารหลงอิ่งจะออกโรงเองเสียอีก

เห็นได้ชัดว่า ในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ไม่มีทางที่จะเก็บความลับไว้ได้มิดอย่างแน่นอน

กู้เจียวเมื่อได้ยินดังนั้นก็ถึงกับเอ่ยออกมาด้วยความส่งสัย “แต่ว่า ชีพจรนางอ่อนขนาดนั้น ไม่เหมือนกับคนที่เคยฝึกวิทยายุทธ์มาเลยนะ”

กู้ฉังชิงครุ่นคิดเรื่องนี้อยู่พัก ก่อนจะให้คำตอบไป “อาจจะใช้ยาบางอย่างเพื่อปรับชีพจรก็เป็นได้”

“อืม ก็เป็นไปได้” กู้เจียวพยักหน้า ก่อนจะกะพริบตาปริบๆ ใส่จี้จิ่ว “ถ้าอย่างนั้น ขั้นตอนต่อไป ข้าก็…”

“ไม่ได้เด็ดขาด” จี้จิ่วอาวุโสเอ่ยพลางยึดถุงกระสอบของกู้เจียว

“ฝ่าบาทเริ่มสงสัยนางแล้วหรือยัง” กู้ฉังชิงเอ่ยถาม

“เกรงว่าคงจะไม่เร็วขนาดนั้นหรอก แต่แน่นอนว่าความสงสัยในตัวจิ้งไท่เฟยของฝ่าบาทได้เกิดขึ้นแล้ว ขอแค่ทำให้มันเกิดขึ้นซ้ำๆ ความสงสัยนั้นก็จะขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพื่อที่จะรอเวลาให้ดอกไม้บานอย่างไรเล่า!”

กู้ฉังชิงนึกในใจ เหอะ…ท่าทีของท่านตอนนี้…ช่างไม่ต่างอะไรกับพวกขุนนางชั่วเลย…

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *