สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 711 โทสะของฮ่องเต้ (1)

Now you are reading สามีข้าคือขุนนางใหญ่ Chapter บทที่ 711 โทสะของฮ่องเต้ (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 711 โทสะของฮ่องเต้ (1)

บนถนนใหญ่ผู้คนเดินกันขวักไขว่ กลับไม่ได้กีดขวางสายตาของทั้งคู่เลย

สายตาสองคู่สบกัน สีหน้าของทั้งคู่พลันชะงักไปเล็กน้อย

โดยปกติแล้ว ยามคนแปลกหน้าสบตากันล้วนเกิดอาการกระอักกระอ่วนขึ้นในใจโดยไม่รู้ตัว และเกิดความรู้สึกผิดที่โดนจับได้ว่าแอบมอง ต่อให้ความจริงแล้วจะบังเอิญก็ตาม แต่ก็ยังอยากจะหลีกเลี่ยงโดยสัญชาตญาณอยู่ดี

ทว่ายามนี้ ทั้งสองไม่มีใครเบนสายตาหลบใครเลย เอาแต่จ้องมองกันอย่างโจ่งแจ้ง

ฮ่องเต้จะเกิดความรู้สึกเช่นนี้ก็ไม่แปลก อย่างไรเสียพระองค์ก็เป็นถึงโอรสสวรรค์ พระองค์จะทอดพระเนตรใครก็สามารถทอดพระเนตรได้อย่างเปิดเผย ต้องเป็นคนที่พระองค์สบตาด้วยที่ควรจะหมอบกรานลงในทันที เมื่อสัมผัสถึงกลิ่นอายอันสูงส่งของพระองค์และเบนสายตาหนีโดยพลันสิ

เซียวเหิงเบนสายตาหนี แต่กลับไร้ความรู้สึกผิดหรือกระอักกระอ่วน สีหน้าเขาราบเรียบมาก ราวกับทะเลสาบน้ำแข็งที่ไร้ระลอกคลื่น

ฮ่องเต้ยังคงจดจ้องเซียวเหิงตาไม่กะพริบ

จางเต๋อเฉวียนเห็นสายพระเนตรของฮ่องเต้แล้ว เขาคิดในใจว่า แย่แล้ว เขาลืมไปเลยว่าตอนนั้นฮ่องเต้กับเซวียนหยวนฮองเฮาก็พบกันตรงหน้าประตูใหญ่ของสำนักบันฑิตหลิงโปเช่นกัน

เซวียนหยวนฮองเฮาชอบตีคลี และสำนักบันฑิตหลิงโปก็มีสนามตีคลีที่ใหญ่ที่สุดในเซิ่งตูด้วย เซวียนหยวนฮองเฮาแทบจะมาในทุกๆ สามวันห้าวัน

ฮ่องเต้ทรงเรียนอยู่ที่สำนักบัณฑิตหลิงโป มีอยู่คราหนึ่งตอนผ่านสนามตีคลีโดนลูกที่เซวียนหยวนฮองเฮาตีมาใส่จนสลบ

พระองค์ล้มลงกับพื้น ลืมเนตรขึ้นก็เห็นเซวียนหยวนฮองเฮาที่มาตรวจดูอาการบาดเจ็บของพระองค์

หลังจากนั้นฮ่องเต้ก็ทรงบอกกับบิดาบุญธรรมของจางเต๋อเฉวียน หรือก็คืออดีตหัวหน้าขันทีคนก่อนว่า พระองค์เจอนางฟ้า

จางเต๋อเฉวียนเดาพระทัยของฮ่องเต้ไม่ออก มีเพียงอย่างเดียวที่เขาพอจะมั่นใจได้ ฮ่องเต้ทรงเคยรักลึกซึ้งต่อเซวียนหยวนฮองเฮาจริงๆ

ช่วงที่เซวียนหยวนฮองเฮาถูกส่งเข้าตำหนักเย็น ฮ่องเต้ไม่ให้ใครมาทูลข่าวของตำหนักเย็นเลยแม้แต่วันเดียว

เซวียนหยวนฮองเฮาเคยมีโอกาสนับครั้งไม่ถ้วนที่จะได้ออกจากตำหนักเย็น เพียงแต่นางไม่อยากออกมาเอง

แทนที่จะบอกว่าฮ่องเต้กักขังเซวียนหยวนฮองเฮาเข้าตำหนักเย็น ไม่สู้บอกว่าเซวียนหยวนฮองเฮาไม่ยอมพบหน้าฮ่องเต้จวบจนลมหายใจสุดท้ายคงจะถูกต้องมากกว่า

“ดวงตาคู่นี้เหมือนเซวียนหยวนฮองเฮาในตอนนั้นนัก ฮ่องเต้คงไม่ถูกพระทัยคนเขาเข้าแล้วรับคนเขาเข้าวังหลังหรอกกระมัง” จางเต๋อเฉวียนพึมพำเสียงเบาจบก็ตกใจกับการคาดเดาของตัวเองทันที

“ท่านลุง! ท่านลุง!”

องค์หญิงน้อยไม่พอใจที่ฮ่องเต้ทรงใจลอย นางกระโดดโหยงเหยงหมายจะดึงแขนเสื้อฮ่องเต้ให้ลงจากรถ

น่าเสียดายที่ดึงได้แต่อากาศ

ฮ่องเต้ดึงสายพระเนตรกลับมา ก่อนมองไปยังนางแล้วตรัส “วันแรกก็ได้เพื่อนแล้ว ดูท่าเจ้าจะชอบที่นี่ไม่น้อยนะ”

“อื้อ ชอบ!” องค์หญิงน้อยพยักหน้าอย่างน่าเอ็นดู

นี่เป็นครั้งแรกที่องค์หญิงน้อยแสดงความสนใจอย่างมากในการไปโรงเรียน ฮ่องเต้พอพระทัยไม่น้อย คิดถูกจริงๆ ที่ส่งนางมาที่นี่ “แล้วพรุ่งนี้ยังจะมาเรียนหรือไม่”

องค์หญิงน้อยรีบตรัส “มา มา!”

ข้าไม่ได้มาคนเดียวด้วย ข้าจะพานกมาด้วย มาอวดกับเด็กคนนั้น!

ฮ่องเต้ตรัส “พรุ่งนี้เราไม่มีเวลามาส่งเจ้าแล้วนะ”

องค์หญิงน้อยแค่นเสียงขึ้นจมูก “ข้าไปเองได้!”

ชอบเรียนที่นี่จริงๆ หรือนี่

ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อเช้านี้ใครกอดขาพระองค์ร้องห่มร้องไห้ไม่ให้เข้มงวดกับนาง ไม่ให้ลงโทษนางให้มาเรียนที่ไกลๆ เพียงนี้

ฮ่องเต้ตรัส “ขึ้นรถ กลับวัง”

“ข้าไปบอกพวกเขาก่อน!” องค์หญิงน้อยวิ่งตึงตังออกไป บอกกับเสี่ยวจิ้งคงและเซียวเหิงอย่างมีมารยาท “จิ้งคงเจอกันใหม่นะ พี่สาวจิ้งคงเจอกันใหม่นะ!”

เสี่ยวจิ้งคงโบกมือให้ “เจอกัน”

องค์หญิงน้อยกลับมาขึ้นรถม้ากับจางเต๋อเฉวียนที่หอบกระเป๋าหนังสืออยู่

เป็นครั้งแรกที่องค์หญิงน้อยได้เพื่อนวัยเดียวกัน จึงรู้สึกแปลกใหม่เป็นพิเศษ ล้อรถเริ่มเคลื่อนตัวแล้ว นางก็ยังอดไม่ได้ที่จะหมอบกับหน้าต่างรถ ชะโงกศีรษะน้อยๆ ออกมาโบกมือให้เสี่ยวจิ้งคง “เจอกันใหม่พรุ่งนี้นะ จิ้งคง!”

เสี่ยวจิ้งคงก็โบกมือให้เพื่อนเล่นของตัวเองเช่นกัน “เจอกันพรุ่งนี้ เสี่ยวเสวี่ย!”

รถม้าเคลื่อนไปทางด้านหลัง ค่อยๆ เข้ามาใกล้เสี่ยวจิ้งคงกับเซียวเหิง ในขณะที่กำลังจะเคลื่อนผ่านทั้งสองไป มิตรภาพอันบริสุทธิ์ ระหว่างเจ้าหนูน้อยทั้งสองนั้นเพิ่มสูงขึ้นถึงจุดสูงสุดในการอำลา

ฮ่องเต้ก็มองเซียวเหิงจากระยะใกล้นี้เช่นกัน

แต่เซียวเหิงกลับไม่ได้มองฮ่องเต้แล้ว

รถม้าเคลื่อนจากไปไกล องค์หญิงน้อยยังหมอบตรงหน้าต่างโบกมือให้สหายน้อยของตัวเองอยู่เลย

ส่วนสายพระเนตรของฮ่องเต้ก็ทอดมองไปทางสำนักบัณฑิตหลิงโปตั้งแต่ต้นจนจบ

จางเต๋อเฉวียนใจคันยุบยิบ ฮ่องเต้คงไม่ได้ทรงถูกพระทัยเข้าจริงๆ หรอกกระมัง ต้องทรงหยิ่งศักดิ์ศรีบ้างนะพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท นั่นมันพี่สาวของเพื่อนร่วมชั้นหลานสาวพระองค์เชียวนะ

จางเต๋อเฉวียนกัดฟันทูลถาม “ฝะ…ฝ่าบาท ไม่กี่วันก่อนเหมือนกรมพิธีการจะมาถามว่าปีนี้จะไม่คัดเลือกสาวงามเหมือนเดิมหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

“อืม” ฮ่องเต้ขานรับเสียงขรึม

จางเต๋อเฉวียนลอบพรูลมหายใจโล่งอก

ทรงตอบกลับมาว่องไวเพียงนี้ น่าจะไม่ได้ทรงถูกพระทัยอะไรหรอก

จะว่าไปก็เป็นเพียงนักเรียนของสำนักบัณฑิตหลิงโปเท่านั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย เขาจะกังวลไปไย

หลังจากที่ฮ่องเต้กับองค์หญิงน้อยเสด็จจากไป เซียวเหิงก็จูงมือเสี่ยวจิ้งคงกลับมายังสำนักบัณฑิตสตรีชังหลันที่อยู่ข้างๆ

ท่านชายใหญ่หันเดินออกมาจากห้องปีกข้างชั้นสองของโรงน้ำชาใกล้กับสำนักบัณฑิตหลิงโป กำลังจะไปจับตัวที่สำนักบัณฑิตสตรีชังหลัน จู่ๆ องครักษ์ตระกูลหันนายหนึ่งก็ควบม้ามาหยุดอยู่ตรงหน้าเขา พลิกตัวลงจากหลังม้ามารายงาน “ท่านชายใหญ่ขอรับ นายใหญ่ให้เรียกท่านกลับขอรับ! มีเรื่องจะหารือด้วย!”

นายใหญ่ เป็นประมุขตระกูลหันคนปัจจุบัน และเป็นปู่บังเกิดเกล้าของหันเย่

หันเย่ทอดมองแผ่นหลังเซียวเหิงที่จากไปไกล ก่อนขมวดคิ้ว “นับว่าเจ้ายังโชคดี!”

หันเย่ควบม้าไม่ทิ้งฝุ่นกลับมาที่บ้านตระกูลหัน

ตระกูลหันจัดการประชุมของตระกูลอย่างจริงจัง นายใหญ่หัน ผู้อาวุโสตระกูลหันห้าท่านและบิดากับอารองของเขาก็อยู่กันหมด ทุกคนกำลังหารือกันว่าจะแบ่งอำนาจทางการทหารของตระกูลหนานกงอย่างไรดี

ในฐานะที่หนานกงลี่เป็นผู้สืบทอดของตระกูลหนานกง การเสียชีวิตของเขาสร้างผลกระทบต่อตระกูลหนานกงอย่างไม่อาจหวนคืนได้ แม้ว่านายใหญ่หนานกงจะยังแข็งแรงดี แต่อย่างไรก็อายุอานามมากแล้ว พี่ชายใหญ่ของหนานกงลี่ก็ไม่เอาอ่าว คนเก่งๆ ในบรรดาลูกหลานที่สามารถคัดมาได้ ก็เกิดความขัดแย้งกันภายในโดยมีความช่วยเหลือของตระกูลหัน

สรุปก็คือยามนี้ตระกูลหนานกงวุ่นวายเหมือนหม้อข้าวต้มเดือดปุด

หากไม่อาศัยจังหวะนี้แย่งอำนาจทางการทหารมาไว้ในมือ พอตระกูลหนานกงผ่านพ้นปัญหายามนี้ไปได้ ทั้งตระกูลรวมใจเป็นหนึ่งแล้ว ทีนี้คิดจะสั่นคลอนพวกเขาก็ไม่ง่ายแล้ว

ในฐานะที่หันเย่เป็นผู้น้อย จึงไม่มีสิทธิ์แสดงความเห็นอะไรมากมายเมื่ออยู่ต่อหน้าปู่ บิดาและบรรดาผู้อาวุโสของตระกูล เขาแค่ฟังอยู่เงียบๆ เท่านั้น

การมีส่วนร่วมของเขาไม่ใช่การเสนอความเห็น แต่ในฐานะผู้สืบทอดตระกูลในอนาคต เขามีอำนาจและมีหน้าที่รับรู้การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในตระกูล

ความเห็นของนายใหญ่หัน กับบรรดาผู้อาวุโสตระกูลแตกออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนให้ลงมือเลย ทูลขอฝ่าบาทให้โยกย้ายบุรุษตระกูลหันรับตำแหน่งในกองทัพต่อจากหนานกงลี่ อีกฝ่ายหนึ่งสนับสนุนให้อยู่นิ่งๆ ดูการเปลี่ยนแปลง ปล่อยให้ตระกูลหนานกงเสนอลูกหลานในตระกูลไปก่อน แล้วพวกเขาค่อยแอบขัดขาในที่ลับ ทำให้พวกหนานกงเกิดปัญหา จากนั้นค่อยยืนยันว่าตระกูลหนานกงไม่มีผู้สืบทอด แล้วค่อยให้ไท่จื่อทูลขอแทนตระกูลหัน

ท่านชายใหญ่หันคิดในใจว่า ยามนี้การขัดแย้งภายในพวกนี้จะไปมีประโยชน์อะไรอีก หากไท่จื่อนั่งครองตำแหน่งได้ไม่มั่นคง อย่าว่าแต่อำนาจทางการทหารของตระกูลหนานกงเลย ตระกูลหันก็ต้องหลีกด้วยเช่นกัน

หันเย่เป็นคนที่อดทนเก่ง ไม่ได้รู้สึกว่าพวกเขาทำผิดพลาดแล้วจะต้องทนไม่ไหวเปิดโปงเรื่องของเซียวลิ่วหลังขึ้นมา

สองชั่วยามเต็มๆ ที่บรรดาผู้อาวุโสของตระกูลเถียงกันจนน้ำลายแตกฟองฟอด สุดท้ายก็ไม่ได้ข้อสรุปใดๆ จึงตัดสินใจกันว่าพรุ่งนี้ค่อยเถียงกันต่อ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด