สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 716 แม่ลูกพบกัน
บทที่ 716 แม่ลูกพบกัน
ภายในห้องเล็กห้องหนึ่งของโถงใหญ่ เหล่าบัณฑิตสำนักบัณฑิตเทียนฉง ล้อมวงนั่งอยู่โต๊ะหนึ่ง
การแสดงบนเวทีกำลังจะเริ่มต้นขึ้น เหล่าสาวใช้กำลังจัดเตรียมสถานที่ ได้ยินมาว่าวันนี้นักแสดงนำคือนักแสดงชายคนหนึ่งชื่อฉังจิ่ง เขามาจากเมืองฝงเฉิงของแคว้นเยี่ยน เขาเรียนการแสดงมาตั้งแต่เด็ก อาจารย์ของเขาคือเฉินหลง ปรมาจารย์ละครชั้นยอดของแคว้นเยี่ยน เดิมทีเขาเคยแสดงละครให้กับราชวงศ์ แต่แม่นางสวี่เจ้าของโรงละครเทียนเซียงมีพระคุณต่อเขา เขาจึงมาโรงละครเทียนเซียงเพื่อแสดงละครให้กับแม่นางสวี่เป็นเวลาสองปี
เมื่อครบสองปี ท่านชายฉังก็จะออกจากเมืองเซิ่งตู
ดังนั้น การแสดงแสนสั้นที่น่าดูได้ยากนี้จึงล้ำค่าสำหรับแขกทุกคน
หลังจากฟังคำอธิบายของจงติ่ง กู้เสี่ยวซุ่นก็รู้สึกสับสนเล็กน้อย
นี่ไม่ใช่กู้เฉิงเฟิงหรอกหรือ เหตุใดถึงต้องทำอย่างกับเป็นเรื่องใหญ่โตเพียงนั้น
อีกอย่าง เจ้าเอาชื่อฉังจิ่งไปแสดงละครข้างนอกแบบนั้น ฉังจิ่งรู้หรือไม่
ก็ไม่กลัวฉังจิ่งจะเอาเจ้าไปซ้อมจนเละหรือไร
“สาวๆ ในโรงละครเทียนเซียงช่างงามแท้” หยวนเซียวมองดูสาวๆ ที่กำลังเดินผ่านไปมาในห้องโถงด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหลงใหล
จ้าวเวยไม่รู้เอาพัดมาจากไหน โบกพัดไปมาขณะที่เอ่ยด้วยท่าทางสง่างาม “งามสมกับคำสองพยางค์ที่ว่า ’นางฟ้า’ จริงๆ ”
กู้เสี่ยวซุ่นคิดในใจ คำว่านางฟ้าก็ต้องมีสองพยางค์สิ
เจ้าสองคนบ้าไปแล้วหรือ
“ก็ธรรมดาๆ น่ะ” กู้เสี่ยวซุ่นเอ่ย
ทั้งสองมองกู้เสี่ยวซุ่นอย่างโกรธแค้น “เจ้ากล้าดูถูกสาวๆ ในโรงละครเทียนเซียงหรือ!”
กู้เสี่ยวซุ่นปฏิเสธ “ไม่ใช่นะ ข้าแค่คิดว่าพวกนาง…”
ธรรมดาๆ น่ะ
ใครจะงามกว่าพี่สาวของเขากัน
ไม่ต้องเอ่ยถึงพี่สาวของเขา แค่พี่เขยของเขา องค์หญิงซิ่นหยาง ก็งามกว่าบรรดาหญิงสาวเหล่านี้อยู่แล้ว
หยวนเซียวถอนหายใจ “เจ้านี่มันโง่จริงๆ !”
จ้าวเวยเห็นด้วยอย่างยิ่ง!
พวกเขาไม่เชื่อว่าจะมีหญิงที่งามกว่าสาวๆ ในโรงละครเทียนเซียงในโลกนี้ หากมีจริง ก็คงเป็นแค่ข่าวลือที่ผู้คนเอามาโอ้อวดกันเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น สำนักบัณฑิตสตรีชังหลันมีหญิงงามอันดับหนึ่ง สวมใส่ผ้าคลุมหน้าอยู่ตลอดเวลา ใครจะรู้ว่านางหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่
ดวงตาสวยก็หมายความว่าทั้งตัวสวยด้วยงั้นหรือ
ใครจะรับประกันได้ว่าภายใต้ผ้าคลุมหน้านั้นไม่ได้มีใบหน้าเต็มไปด้วยฝ้ากระหรือฟันยื่นออกมา
สองคนคิดเหมือนกันเกือบจะในทันที แต่ทันใดนั้น ร่างที่เหมือนเทพเซียนก็แล่นผ่านกลุ่มคนด้านหลังห้องโถงไป
จ้าวเวยเป็นคนแรกที่เห็น
ทันใดนั้น ร่างกายของเขาก็แข็งเกร็งขึ้น
เขารีบไปดึงหยวนเซียวที่อยู่ข้างๆ
หยวนเซียวกำลังมองดูหญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังโบกมือและยิ้มให้นาง เขาแทบจะกลืนน้ำลายไม่ลงแล้ว
“อย่า! ทำอะไรน่ะ!” หยวนเซียวไม่แม้แต่จะมองเขาก็ดีดมือเขาออก
“สวยจัง! สวยจัง!” จ้าวเวยเอ่ยด้วยความตื่นเต้น
หากหยวนเซียวไม่ได้ถูกสาวโรงละครเทียนเซียงทำให้จิตวิปลาสในตอนนี้ เขาคงจะตอบกลับได้ในทันที ด้วยนิสัยเฉื่อยชาของจ้าวเวย การที่เขาจะรีบร้อนขนาดนี้ แสดงว่าเขาต้องได้พบกับนางฟ้าจากสวรรค์ชั้นเก้าอย่างแน่นอน
เรียกอย่างไรหยวนเซียวก็ยังไม่ได้สติ จ้าวเวยเหลียวกลับมามองอีกครั้ง สาวงามที่สวยดุจนางฟ้าผู้นั้นก็หายไปเสียแล้ว
“เจ้าเรียกข้าไปทำไม” เมื่อสาวน้อยเดินไปแล้ว หยวนเซียวก็ฟื้นคืนสติ เขาก็ถามจ้าวเวย
จ้าวเวยเหลือบตาดูเขา “ไม่มีอะไร!”
สมควรแล้วที่เจ้าไม่เห็น ไอ้โง่!
…
หลังโรงละคร
“นางไม่ได้ซ่อนทองคำไว้ที่นี่”
หญิงสาวควักแตงโมเย็นฉ่ำเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย เอ่ยเสียงอู้อี้ “ข้าเห็นนางย้ายที่เรียบร้อยแล้ว”
กู้เจียวมองดูนาง แล้วมองดูห้องลับด้านหลังนาง ในห้องนั้นเต็มไปด้วยสาวใช้และบ่าวที่นอนสลบไสล เห็นได้ชัดว่านางเป็นคนทำให้พวกเขาหมดสติ
ไม่รู้เลยว่านางแอบเอาแตงโมมาจากไหน
ดูแล้วเหมือนจะช่วยคลายร้อนและอร่อยมาก
หญิงผู้นั้นเอ่ยต่อ “ข้าจะบอกเจ้าว่าทองคำซ่อนอยู่ที่ไหน เจ้าขุดออกมาแล้วแบ่งให้ข้าครึ่งหนึ่ง”
กู้เจียวเอ่ย “ข้าขุดเองก็ได้”
หญิงผู้นั้นเอ่ย “นางจะมาดูทองคำของนางทุกครึ่งชั่วยาม อีกครึ่งชั่วยามก็จะถึงแล้ว”
กู้เจียวมองดูสวนดอกไม้ที่เต็มไปด้วยหลุมที่นางขุด คิดถึงความเป็นไปได้ที่สวีเฟิ่งเซียนจะจบไม่ได้
ผลลัพธ์เป็นศูนย์
“ได้ ตกลง” กู้เจียวเอ่ย
หญิงผู้นั้นกินแตงโมไปพลางชี้ให้กู้เจียวดู “น่าจะเป็นตรงนั้น”
กู้เจียวขุดตามทิศทางที่หญิงสาวชี้ ไม่นานกริชก็ขุดเจอวัตถุแข็ง
กู้เจียวดีใจจนแทบจะระเบิดออกมา นางขุดต่ออีกไม่กี่ครั้ง ในที่สุดก็ขุดเอากระปุกทองคำที่ซ่อนของสวีเฟิ่งเซียนออกมาได้
หญิงผู้นั้นวางช้อนลงในแตงโมแล้วยื่นมือออกมา “ของข้า”
กู้เจียวหยิบเหรียญทองคำออกมาจากกระปุกแล้วหักออกเป็นชิ้นหนึ่งยื่นให้นาง “นี่ ของของเจ้า”
หญิงผู้นั้น “…”
….
เซียวเหิงมาถึงโรงละครเทียนเซียงแล้ว แต่เขาไม่ได้ตรงไปที่ห้องโถงชั้นสองของกู้เฉิงเฟิง
เขาใช้เสี่ยวจิ่วติดต่อกับกู้เฉิงเฟิง และรู้ว่าเขาขึ้นเวทีร้องเพลงเมื่อไหร่ วันนี้เป็นวันที่เขาขึ้นเวที
เขาตั้งใจจะอ้อมไปหลังเวทีจากด้านหลังห้องโถง
เดินไปได้ครึ่งทางก็นึกขึ้นได้ว่ากำลังคิดเรื่องนั้นอยู่จึงลืมใส่หน้ากาก
เขารีบหยิบหน้ากากออกมาจากแขนเสื้อแล้วสวมใส่
เมื่อใส่หน้ากากเสร็จเรียบร้อยก็เห็นหมิงจวิ้นอ๋องกำลังเดินมาจากทางเดินอีกด้านหนึ่ง
หมิงจวิ้นอ๋องก็มาฟังละครเช่นกัน
นี่เป็นปฏิกิริยาแรกของเซียวเหิง
เขาพลันรู้สึกไม่สบายใจในทันที
ตระกูลหันเพิ่งเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้น เขากลับมาดูละคร เขาไม่น่าจะทำเรื่องโง่ๆ แบบนี้
นั่นแปลว่า… เขาต้องมีจุดประสงค์อะไรบางอย่าง
มาเพื่อสืบข่าวหรือเพื่อเหตุอื่น
หมิงจวิ้นอ๋องเดินยังไปหลังเวที ดังนั้นเซียวเหิงจึงไม่สามารถไปได้
แม้ว่าเขาจะแต่งกายเป็นชายในวันนี้ แต่หากหมิงจวิ้นอ๋องอยู่ด้วย ก็คงไม่สะดวกที่จะคุยกับกู้เฉิงเฟิง
ส่วนการไปเฝ้าดูหมิงจวิ้นอ๋อง ก็ไม่จำเป็นต้องทำ
กู้เฉิงเฟิงอยู่หลังเวที เขาก็จะคอยเฝ้าดูเอง
เซียวเหิงตัดสินใจไปรอกู้เฉิงเฟิงที่ห้องพักของเขา
เมื่อเขาขึ้นไปชั้นสองแล้ว เขานั่งอยู่ในห้องสักพักหนึ่ง อากาศในห้องร้อนอบอ้าวนัก เขาไม่สามารถเปิดหน้าต่างฝั่งริมถนนได้ เกรงว่าจะมีบางคนมองเข้ามาจากร้านค้าฝั่งตรงข้ามได้
เขาจึงทำได้เพียงไปเปิดหน้าต่างด้านข้าง
หน้าต่างด้านข้างของห้องกู้เฉิงเฟิงอยู่ตรงข้ามกับสวนดอกไม้ท้ายโรงละคร
เซียวเหิงเปิดหน้าต่างออก ทันใดนั้นเขาก็เห็นร่างเล็กๆ ที่คุ้นตา
เซียวเหิงแทบจะไม่ต้องคิดอะไรเลยก็รีบวิ่งลงบันไดไป
สวีเฟิ่งเซียนฝังกระปุกทองคำไว้มากกว่าหนึ่งกระปุก กู้เจียวจึงยังคงขุดต่อ
อย่างไรเสียก็เป็นเงินที่ได้มาอย่างไม่ถูกต้อง กู้เจียวจึงขุดโดยไม่รู้สึกกดดันอะไร
นางเปลี่ยนมาใช้จอบเล็กในการขุด ทำให้ขุดได้สะดวกขึ้นกว่าเดิม นางไม่ทันสังเกตเห็นการมาถึงของเซียวเหิง
นั่นก็สะท้อนให้เห็นสิ่งหนึ่งก็คือ กู้เจียวไว้ใจเซียวเหิงเป็นอย่างมาก หากคนที่เข้ามาใกล้นางในเวลานั้นเป็นคนที่นางรู้สึกว่าอันตราย ร่างกายของนางจะตอบสนองตามสัญชาตญาณของนักฆ่า คงจะมือลงอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคิด
เซียวเหิงไม่ได้พบนางมามากกว่าครึ่งเดือนแล้ว
ครั้งสุดท้ายที่เขาพบนางคือวันที่นางประลองกับนักบวชเส้าหลินในการแข่งขันตีคลี นักบวชเส้าหลินทำร้ายเพื่อนร่วมคณะของกู้เจียวหลายคน กู้เจียวสืบพบว่าผู้อยู่เบื้องหลังคือท่านชายใหญ่หัน
ดังนั้น ทั้งสองจึงร่วมมือกันจับท่านชายใหญ่หันใส่ถุงกระสอบ
จากนั้น เขาก็ส่งกู้เจียวไปที่ประตูเมืองชั้นใน
ตั้งแต่นั้นมา พวกเขาก็ไม่ได้พบกันอีกเลย
ในช่วงเวลานี้ เกิดเรื่องมากมาย
นางไปยังกวานซานเพื่อไล่ล่าองครักษ์ผ้าแพรของวังหลวง ใช้เวลาเจ็ดวันจึงกลับมา ระหว่างนั้นไม่รู้ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร
หลังจากกลับเมืองเซิ่งตู นางก็ไปที่วังหลวงเพื่อลอบสังหารหนานกงลี่
จากนั้นคือการผ่าตัดของกู้เหยี่ยน
กู้เฉิงเฟิงเขียนจดหมายเล่าเรื่องเหล่านี้อย่างเรียบง่าย แต่เขาจะให้เขาสงบใจได้อย่างไร
ทันใดนั้น เมื่อเขาเห็นนางขุดทองคำอย่างไร้กังวล เขารู้สึกทั้งโกรธและขำ
นางรู้หรือไม่ว่านางทำอะไรลงไปบ้าง นางรู้หรือไม่ว่านางล่วงเกินผู้ใดไปบ้าง และนางรู้หรือไม่ว่านางทำให้เมืองเซิ่งตูวุ่นวายไปหมดแล้ว
ตระกูลหนานกงกับตระกูลหันกำลังวุ่นวาย นางกลับยังมีเวลามาขุดทองคำที่นี่อีกหรือ
กู้เจียวขุดอย่างตั้งใจมาก
จนกระทั่งเงาสูงใหญ่ทาบทับลงมา
กู้เจียวขมวดคิ้วแล้วเอ่ย “เจ้าบังแสงข้าแล้ว”
“หึ จริงรึ”
น้ำเสียงไม่ทุกข์ไม่ร้อนดังมาจากเหนือศีรษะของกู้เจียว
มือของกู้เจียวสั่น จอบที่นางถืออยู่ตกลงไปที่พื้น
เซียวเหิงมองนางอย่างคาดโทษ เขาต้องจัดการนางในวันนี้ ให้นางรู้จักระวังตัวเสียบ้าง ไม่อย่างนั้นนางจะยังคงเป็นเช่นเดิมต่อไป ทำการอันใดไม่เคยคิดถึงชีวิตของ
ตัวเอง
กู้เจียวนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น มือทั้งสองข้างจับรองเท้าของตัวเอง โดยไม่หันหลัง ไม่เงยหน้า ไม่ขยับเขยื้อน
ข้าไม่ขยับ เจ้าก็จะไม่เห็นข้า
เซียวเหิง “…”
“ลุกขึ้น” เซียวเหิงเอ่ย
ข้าไม่ลุก
ข้าจะปลูกเห็ดที่นี่
กู้เจียวยอมไม่ลุกขึ้น
เซียวเหิงย่อตัวลงทันทีก่อนจะอุ้มร่างนางขึ้นมา กู้เจียวยังคงอยู่ในท่าทางปลูกเห็ดเมื่อครู่ เซียวเหิงเหมือนอุ้มเห็ดยักษ์ไว้ในอ้อมแขน
เขาวางเรียวขายาวของนางลงบนพื้นเพื่อให้นางยืน จากนั้นเขาก็ดันนางติดกับต้นไม้ใหญ่
กู้เจียวเบิกตากว้างเมื่อรู้ว่าเขากำลังต้อนนางให้จนมุม
นางสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายบุรุษที่อบอวล มาพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆ และลมหายใจอุ่นๆ ของเขา ช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก
ชายหนุ่มนั้น หากเป็นเรื่องการอวดความหล่อเหลาแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีครูบาอาจารย์สอนสั่ง
เซียวเหิงใช้มือข้างหนึ่งกอบกุมเอวบอบบางของกู้เจียว อีกมือหนึ่งเชยคางมนของนางขึ้นพลางเอ่ย “ลอบสังหารองครักษ์ผ้าแพรในวังหลวงหรือ หืม ลอบสังหารหนานกงลี่หรือ หืม”
เสียงหืมทั้งสองครั้ง กู้เจียวได้ยินแล้วก็พลันอ่อนระทวย
เซียวเหิงขยับเข้ามาใกล้นางอีกนิด ริมฝีปากของเขาเกือบจะแตะริมฝีปากของนางแล้ว “เหตุใดถึงไม่พูดเล่า”
กู้เจียวกลืนน้ำลายลงคอ กระพริบตาปริบๆ ก่อนจะยื่นนิ้วชี้เรียวยาวจิ้มที่อกของเขา แล้วชี้ไปที่ด้านข้าง
เซียวเหิงหันไปมอง ก็เห็นหญิงคนหนึ่งถือแตงโมครึ่งลูกอยู่ในสวนดอกไม้เล็กๆ ไม่ทันได้สังเกตมาก่อนว่านางอยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อใด
หญิงผู้นั้นยืนอยู่ข้างต้นดอกโบตั๋น ทว่าดอกโบตั๋นที่สีสันสดใสกลับดูจืดชืดไปเสียอย่างนั้น
นางกินแตงโมไปพลางมองดูพวกเขาด้วยสีหน้าสงสัย
ราวกับกำลังเอ่ยว่า…
เหตุใดยังไม่จูบกันอีกเล่า ข้ารออยู่นะ
Comments