สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 751 การค้นพบครั้งสำคัญ
บทที่ 751 การค้นพบครั้งสำคัญ
เมื่อตกกลางคืน ตำหนักกั๋วซือก็เริ่มสว่างไสวด้วยแสงไฟ
เสี่ยวจิ้งคงไปเล่นไพ่ใบ้กับซ่างกวานเยี่ยน เขารู้สึกเบื่อๆ ซ่างกวานเยี่ยนก็เบื่อเหมือนกัน จึงสอนเคล็ดวิชาไพ่ที่เรียนรู้มาจากท่านย่าให้ซ่างกวานเยี่ยนและศิษย์ตำหนักกั๋วซืออีกสองคน
สี่คนรวมตัวกันเล่นไพ่ ครบขาพอดี
ในห้องโถงของเซียวเหิง สี่คนและนกอีกตัวหนึ่งรวมตัวกัน
นกตัวนั้นคือเสี่ยวจิ่ว มีหน้าที่คอยเฝ้าระวังต้นทาง แม้ว่าตำหนักกั๋วซือจะไม่มีใครคอยจับตาพวกเขา แต่การมีสติระวังไว้ก็เป็นสิ่งที่จำเป็น
กู้เจียว เซียวเหิง กู้ฉังชิง และกู้เฉิงเฟิงล้อมวงนั่งอยู่รอบโต๊ะ
กู้ฉังชิงเอ่ย “พวกเจ้ารู้เรื่องตระกูลมู่และตระกูลหันหรือไม่”
ทั้งสามคนพยักหน้าพร้อมกัน
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ จะไม่รู้ได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้น เซียวเหิงตอนนี้มีสถานะเป็นพระนัดดา การสืบข่าวแบบนี้จึงง่ายดายมาก
เสี่ยวเหิงเอ่ย “ตระกูลมู่ยอมส่งมอบตราหยกคืนอำนาจทหารเพื่อปกป้องนายใหญ่มู่”
“ลักพาตัวองค์หญิงโทษร้ายแรงปานนี้เชียวสหรือ” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยอย่างตกตะลึง “แม้แต่ฮ่องเต้แคว้นเจาของเรายังถูกคนตามล่า ก็ไม่เห็นจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตเช่นนี้เลย”
กู้ฉังชิงเอ่ย “ไม่เหมือนกัน”
ฮ่องเต้แคว้นเจาเป็นกษัตริย์ผู้เมตตา ฮ่องเต้แคว้นเยียนเป็นกษัตริย์ผู้เหี้ยมโหด ทั้งสองปกครองบ้านเมืองแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
และที่ฮ่องเต้แคว้นเยียนทำเช่นนี้ก็บอกเป็นนัยว่ากำลังเชือดไก่ให้ลิงดู
ตระกูลใหญ่ทั้งสิบแสร้งปรองดองกันมาหลายปีดีดัก แต่องค์หญิงน้อยคนหนึ่งกลับเปิดเผยความจริงที่เลวร้ายทั้งหมดออกมา
หากฮ่องเต้ไม่ปราบปรามพวกเขาอย่างเด็ดขาด พวกนี้คงจะยิ่งได้ใจ เพราะแม้จะชั่วช้าปานใด ราคาที่ต้องจ่ายนั้นช่างน้อยนิด ดังนั้นพวกเขากล้าทำเรื่องงามหน้าไม่หยุดหย่อน
เซียวเหิงเอ่ยอย่างใจเย็น “ตราหยกทหารของตระกูลมู่อยู่ในมือของฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนแล้ว ยังไม่มอบให้กับตระกูลขุนนางใดเป็นการชั่วคราว อาจจะแต่งตั้งแม่ทัพที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจากสิบตระกูลขุนนาง และตระกูลอื่นๆ ยกเว้นตระกูลหนานกง เพื่อมารับหน้าที่ผู้บัญชาการ”
กู้ฉังชิงพยักหน้าเห็นด้วยพลางเอ่ย “เรื่องตราหยกทหารของตระกูลมู่ก็อีกเรื่องหนึ่ง เป้าหมายเดียวในตอนนี้คือการแย่งชิงกองทหารม้าเฮยเฟิงของตระกูลหัน”
ทันใดนั้น เขาก็เห็นทั้งสามคนมองมาที่เขา
เขาตกใจเล็กน้อย “มีอะไรหรือ ข้าเอ่ยผิดอะไรหรือ”
กู้เฉิงเฟิงถาม “พี่ใหญ่ พวกเราเคยพูดหรือว่าจะแย่งชิงกองทหารม้าเฮยเฟิงของตระกูลหัน”
กู้ฉังชิงถามกลับ “แล้วจะ…ไม่แย่งรึ”
กู้เจียวตอบ “แย่ง” สายตาของนางมุ่งมั่น
“เพราะเหตุใดเล่า” กู้เฉิงเฟิงมองมาที่นางด้วยความสงสัย
กู้เจียวตอบด้วยแววตาแน่วแน่ “ไม่มีเหตุผลอะไรหรอก แค่รู้สึกว่าควรที่จะแย่งมาให้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นอาจจะเสียใจภายหลัง”
นี่เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดนัก
ตั้งแต่สงสัยว่าจิ้งคงมีความสัมพันธ์กับตระกูลเซวียนหยวน ความรู้สึกนี้ก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
หากแย่งชิงมาได้อาจจะอันตราย แต่หากไม่ได้มามีแต่จะอันตรายยิ่งกว่า!
เซียวเหิงวิเคราะห์ “ตระกูลหัน นอกจากหันเย่แล้ว ยังมีลูกหลานที่มีความสามารถอีกหลายคน ตระกูลนี้มีพรสวรรค์มากมาย โอกาสชนะของพวกเขายังค่อนข้างสูง และกฎในครั้งนี้ก็เอื้อประโยชน์ให้กับตระกูลหันอย่างชัดเจน”
หากต้องการกองทหารม้าเฮยเฟิง จำเป็นต้องผ่านการแข่งขันสามรอบ โดยสองรอบล้วนแต่เกี่ยวข้องกับการบังคับม้า และการบังคับม้ากับม้าศึกเป็นจุดแข็งของตระกูลหัน
ถึงแม้ว่าข้อได้เปรียบจะเทไปทางตระกูลหันมาก แต่ฝ่าบาทก็ยังต้องการคนที่ชนะตระกูลหันได้มากกว่ามาก คำ “มากกว่ามาก” หมายความว่า จะชนะแบบเฉียดฉิวไม่ได้ ต้องชนะแบบขาดลอย
ชนะแบบให้ผู้คนยอมรับอย่างสนิทใจ! ชนะอย่างไรข้อกังขา!
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วมองไปที่กู้ฉังชิง “ตระกูลหันวางแผนไว้ว่าอย่างไร”
กู้ฉังชิงตอบ “ตระกูลหันได้เลือกลูกหลานมาสิบคน มีทั้งลูกหลานสายตรงและลูกหลานสายรอง”
กู้เฉิงเฟิงเบิกตาโต “มากขนาดนี้เลยหรือ ไม่ใช่ว่าตระกูลชั้นสูงแต่ละตระกูลจะมีได้แค่สองคนหรือ”
เซียวเหิงเอ่ย “เดิมทีก็ควรจะเป็นตระกูลหันที่สืบทอดอยู่แล้ว การปล่อยให้ทุกคนแข่งขันกันแบบนี้ก็ถือว่าไม่ยุติธรรมสักเท่าไร อย่างไรก็ต้องดูแลตระกูลหันบ้าง”
กู้เฉิงเฟิงเบือนหน้าหนี “ฮ่องเต้เหี้ยมโหดเสียขนาดนั้น มีหรือจะกลัวว่าชาวเมืองจะนินทาว่าร้าย จะแสร้งทำเป็นกษัตริย์ผู้เมตตาไปเพื่อการใด”
ทุกคนต่างแสดงอาการไม่เข้าใจการกระทำของฮ่องเต้
กู้ฉังชิงเอ่ย “ไท่จื่อให้ข้าหนึ่งที่นั่ง อนุญาตให้ข้าเข้าร่วมในฐานะบุตรชายตระกูลหหันสายรอง หน้าที่ของข้าคือการทำให้คู่ต่อสู้อ่อนแรงลง เพื่อให้สมาชิกตระกูลหันคนอื่นสามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้”
กู้เฉิงเฟิงหัวเราะเยาะ “ฝันไปเถอะ!”
กู้เจียวคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า “อืม อันนี้เป็นไปได้”
กู้เฉิงเฟิงมองไปที่กู้เจียว “เจ้าจะไปเข้าร่วมด้วยหรือ”
กู้เจียว “อืม”
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยอย่างจริงจัง “เช่นนั้นข้าก็จะไปด้วย!”
กู้เจียวเอ่ยอย่างเฉยเมย “เจ้าน่ะอย่าเลย วิชาตีนแมวของเจ้าน่ะ ออกได้สองหมัดก็โดนซัดตกสังเวียนแล้ว”
กู้เฉิงเฟิงโกรธจัด “เจ้าดูถูกใครอยู่น่ะ!”
“ให้ข้าไปเถอะ” กู้เจียวเอ่ย
กู้ฉังชิงมองน้องสาวแล้วอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่กล้าเอ่ย
กู้เจียวถามอย่างแปลกใจ “ทำไมรึ”
กู้ฉังชิงเอ่ย “เจ้ามาแคว้นเยี่ยนนานเกินไปหรือเปล่า ลืมไปแล้วหรือเปล่าว่าตัวเองเป็นชาวแคว้นเจา”
การคัดเลือกแม่ทัพทหารม้าของแคว้นต้าเยี่ยนอนุญาตให้เฉพาะคนในแคว้นเท่านั้นเข้าร่วม
กู้เจียวคิดในใจ เอ่อ ลืมไปจริงๆ
…
ป่าไผ่ม่วง
ศิษย์คนหนึ่งกำลังกวาดใบไม้หน้ากระท่อมไผ่เล็ก
กู้เจียวเดินเข้าไปหา
นางยืนมองอยู่ข้างนอกสักพักหนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ จึงเรียกศิษย์คนนั้น “อาจารย์น้อย”
ศิษย์หยุดงานที่ทำอยู่ หันตัวมาเห็นกู้เจียว เขาทักทายอย่างสุภาพ “ท่านชายเซียว”
“จำข้าได้หรือ” กู้เจียวยิ้มมุมปาก “ใต้เท้ากั๋วซืออยู่หรือไม่”
ศิษย์ยิ้มเขิน “เพิ่งออกไปขอรับ”
แปลกจัง เหตุใดถึงเขินอาย ทั้งๆ ที่ชายคนหนึ่งกำลังยิ้มให้เขา
กู้เจียวเลิกคิ้ว “อ๋อ แล้วท่านจะกลับมาเมื่อใด”
ศิษย์ตอบ “น่าจะไม่นาน ใต้เท้ากั๋วซือไม่ได้สั่งให้ข้าเก็บกระดานหมากรุกของท่าน น่าจะกลับมาเล่นอีกสักพัก”
กู้เจียว “ขอบคุณมาก”
จากนั้นนางก็เงียบไปไม่เอ่ยอะไรอีก ยืนรออยู่ที่เดิม
ศิษย์กวาดใบไม้สองสามใบแล้วเอ่ยอีกครั้ง “ท่านชายเซียวจะรอใต้เท้ากั๋วซือที่นี่ใช่หรือขอรับ”
กู้เจียวตอบ “ใช่ ข้ามีธุระกับเขา”
ศิษย์ตอบ “เช่นนั้นเชิญเข้ามารอข้างในเถิดขอรับ”
เข้าไปข้างในรอได้ด้วยหรือ
กู้เจียวเดินเข้าไปในลานบ้านตามคำแนะนำของศิษย์ ถอดรองเท้าวางไว้บนขั้นบันได เดินด้วยเท้าเปล่าบนพื้นไม้สะอาดสะอ้านก่อนจะเข้าไปในห้องโถง
ศิษย์เชิญนางนั่งบนเบาะสำหรับแขกแล้วรินน้ำชาเย็นให้นาง “เชิญท่านชายเซียวดื่มชาขอรับ”
กู้เจียวรับแก้วน้ำชามา “ขอบคุณมาก ไม่ต้องดูแลข้าหรอก ข้ารอเองได้ เจ้าไปทำงานเถิด”
“ท่านชายเซียวเชิญตามสบาย”
เอ่ยจบ ศิษย์ก็ปิดม่านแล้วเดินออกไป
กู้เจียวลูบคาง ไม่เห็นบอกอะไรเลย ไว้ใจข้าขนาดนี้เชียวหรือ
หากกู้เจียวยอมนั่งนิ่งรออย่างว่าง่ายก็แปลกแล้ว
อุตส่าห์มาที่นี่ถึงรังของกั๋วซือแล้ว ไม่สำรวจให้ทั่วสักหน่อยได้อย่างไร
ตอนนี้ในลานบ้านมีเพียงศิษย์คนหนึ่ง เขากำลังกวาดลานบ้านอย่างตั้งใจ เพิ่งกวาดไปได้เพียงครึ่งเดียว คงใช้เวลาสักพักกว่าจะเสร็จ
กู้เจียวค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แล้วเดินวนรอบห้องโถง
ห้องโถงว่างเปล่า ไม่มีสิ่งของที่บ่งบอกเบาะแสใดๆ มีเพียงห้องสมุดเล็กๆ อยู่ทางทิศตะวันออก
กู้เจียวค่อยๆ ผลักประตูห้องสมุดให้เปิดออก กลิ่นของหนังสือลอยมาแตะจมูก
หน้าต่างเปิดอยู่ แสงสว่างใช้ได้
ห้องนี้ตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีเพียงชั้นวางหนังสือ ตู้หนังสือ โต๊ะทำงาน และตู้เก็บของ
กู้เจียวอ่านภาษาแคว้นเยี่ยนได้ดี สามารถอ่านได้อย่างคล่องแคล่ว แต่หนังสือเหล่านี้ล้วนเป็นหนังสือปรัชญาและวรรณกรรม ทำให้นางปวดหัว
ไม่นานนัก นางก็ถูกของเล่นบนตู้เก็บของดึงดูดความสนใจ
ใช่แล้ว มันคือของเล่น
มีดไม้ขนาดเล็ก ดาบไม้ขนาดเล็ก ธนูและลูกธนูขนาดเล็ก ค้อนดาวขนาดเล็ก แส้เก้าปล้องขนาดเล็ก และทวนพู่แดงขนาดเล็ก
นี่มันอะไรกัน ของเล่นที่นางทำสำหรับเสี่ยวจิ้งคงยังไม่ครบครันขนาดนี้เลย
กั๋วซือก็มีมุมเด็กๆ แบบนี้ด้วยหรือ
ทำไว้ให้ใครกันนะ
ไม่นานนัก กู้เจียวก็พบสมุดภาพเย็บเล่มติดอยู่ที่ข้างของของเล่นเหล่านี้
นางคิดว่ากั๋วซือเก็บสะสมแต่ของมีค่า เช่น ภาพวาดของศิลปินชื่อดัง แต่พอเปิดดูกลับพบว่าล้วนแต่เป็นภาพวาดเด็กเล่น
“อะไรอีกล่ะเนี่ย”
กู้เจียววางหนังสือเล่มเล็กลง แล้วหยิบภาพวาดในกรอบไม้อีกกรอบขึ้นมา
นางแกะผ้าแพรออกแล้วคลี่ออกดู ภาพวาดเป็นภาพของเด็กหญิงตัวน้อย
ผิวขาวนวล ดวงตากลมโต จมูกโด่ง ปากเล็กน่ารัก
กู้เจียวมองดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “อื้อ สวยดีเหมือนกันนะ”
ในกรอบไม้มีภาพวาดอยู่อีกสิบกว่าภาพ กู้เจียวดูจนครบทุกภาพ พบว่าเป็นภาพวาดของคนเดียว ตั้งแต่เด็กหญิงตัวน้อยไปจนถึงเด็กหญิงวัยโต กู้เจียวเหมือนได้เห็นคนคนนี้เติบโตขึ้นต่อหน้าต่อตา
“เหตุใดฉันถึงรู้สึกว่าเด็กผู้หญิงคนนี้คุ้นๆ นะ ข้าเคยเห็นที่ไหนหรือเปล่า”
ภาพวาดวาดมาถึงประมาณอายุเจ็ดแปดขวบก็หยุดลง
“ตำหนักกั๋วซือมีศิษย์หญิงหรือ” กู้เจียวสงสัยมาก
ถ้าไม่ใช่ศิษย์ของกั๋วซือ เด็กหญิงคนนี้เป็นอะไรกับกั๋วซือกันเล่า
จะเป็นไปได้หรือไม่ว่ากั๋วซือมีลูกสาวที่เกิดจากหญิงอื่นอย่างลับๆ
ถ้าไม่อย่างนั้น ก็อธิบายได้ยากว่าเหตุใดที่นี่ถึงมีของของนางอยู่มากมาย
นอกจากภาพวาดของเด็กหญิงแล้ว กู้เจียวยังพบภาพวาดอีกภาพหนึ่งอยู่ในตู้ขนาดใหญ่ที่สุดของตู้เก็บสมบัติ
ภาพวาดนั้นเป็นรูปนักรบสวมเกราะสีดำ รูปร่างสูงโปร่ง สง่างาม ถือทวนพู่แดง
ทว่าเครื่องหน้าของคนในภาพกลับว่างเปล่า
แต่กู้เจียวจำได้ว่าเป็นทวนสีแดงด้ามนั้น เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเซวียนหยวนลี่
ดังนั้น… คนๆ นี้คือเซวียนหยวนลี่อย่างนั้นหรือ
ใต้ภาพวาดมีข้อความเขียนไว้ว่า รำลึกเพื่อนเก่า วันที่สิบเก้า กุมภาพันธ์ ปีปิ่งเซิน
กั๋วซือกับเซวียนหยวนลี่เป็นเพื่อนเก่า
นอกจากนี้ กู้เจียวยังค้นพบสิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งอีกด้วย นั่นคือสวนหย่อมที่ทำจากดินเหนียว ใต้ต้นท้อในสวนหย่อม มีตุ๊กตาดินเหนียวสามตัวนั่งอยู่ พวกเขากำลังยกแก้วดื่มเหล้า
ทั้งสามคนไม่ได้แกะสลักใบหน้า เสื้อผ้าก็เป็นเพียงเสื้อคลุมยาวสำหรับผู้ชายที่พบเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนน
กู้เจียวลูบคางพลางคิดในใจว่า คนคนหนึ่งคือกั๋วซือ อีกคนคือเซวียนหยวนลี่ อีกคน… ไม่น่าใช่ฮ่องเต้กระมัง
สามคนนี้เคยเป็นพี่น้องร่วมสาบานมาก่อนหรือเปล่า
“ใต้เท้ากั๋วซือ!”
ด้านนอกประตูห้องพลันมีเสียงของศิษย์ดังขึ้น
Comments
สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 751 การค้นพบครั้งสำคัญ
บทที่ 751 การค้นพบครั้งสำคัญ
เมื่อตกกลางคืน ตำหนักกั๋วซือก็เริ่มสว่างไสวด้วยแสงไฟ
เสี่ยวจิ้งคงไปเล่นไพ่ใบ้กับซ่างกวานเยี่ยน เขารู้สึกเบื่อๆ ซ่างกวานเยี่ยนก็เบื่อเหมือนกัน จึงสอนเคล็ดวิชาไพ่ที่เรียนรู้มาจากท่านย่าให้ซ่างกวานเยี่ยนและศิษย์ตำหนักกั๋วซืออีกสองคน
สี่คนรวมตัวกันเล่นไพ่ ครบขาพอดี
ในห้องโถงของเซียวเหิง สี่คนและนกอีกตัวหนึ่งรวมตัวกัน
นกตัวนั้นคือเสี่ยวจิ่ว มีหน้าที่คอยเฝ้าระวังต้นทาง แม้ว่าตำหนักกั๋วซือจะไม่มีใครคอยจับตาพวกเขา แต่การมีสติระวังไว้ก็เป็นสิ่งที่จำเป็น
กู้เจียว เซียวเหิง กู้ฉังชิง และกู้เฉิงเฟิงล้อมวงนั่งอยู่รอบโต๊ะ
กู้ฉังชิงเอ่ย “พวกเจ้ารู้เรื่องตระกูลมู่และตระกูลหันหรือไม่”
ทั้งสามคนพยักหน้าพร้อมกัน
เรื่องใหญ่ขนาดนี้ จะไม่รู้ได้อย่างไร ยิ่งกว่านั้น เซียวเหิงตอนนี้มีสถานะเป็นพระนัดดา การสืบข่าวแบบนี้จึงง่ายดายมาก
เสี่ยวเหิงเอ่ย “ตระกูลมู่ยอมส่งมอบตราหยกคืนอำนาจทหารเพื่อปกป้องนายใหญ่มู่”
“ลักพาตัวองค์หญิงโทษร้ายแรงปานนี้เชียวสหรือ” กู้เฉิงเฟิงเอ่ยอย่างตกตะลึง “แม้แต่ฮ่องเต้แคว้นเจาของเรายังถูกคนตามล่า ก็ไม่เห็นจะทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตเช่นนี้เลย”
กู้ฉังชิงเอ่ย “ไม่เหมือนกัน”
ฮ่องเต้แคว้นเจาเป็นกษัตริย์ผู้เมตตา ฮ่องเต้แคว้นเยียนเป็นกษัตริย์ผู้เหี้ยมโหด ทั้งสองปกครองบ้านเมืองแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
และที่ฮ่องเต้แคว้นเยียนทำเช่นนี้ก็บอกเป็นนัยว่ากำลังเชือดไก่ให้ลิงดู
ตระกูลใหญ่ทั้งสิบแสร้งปรองดองกันมาหลายปีดีดัก แต่องค์หญิงน้อยคนหนึ่งกลับเปิดเผยความจริงที่เลวร้ายทั้งหมดออกมา
หากฮ่องเต้ไม่ปราบปรามพวกเขาอย่างเด็ดขาด พวกนี้คงจะยิ่งได้ใจ เพราะแม้จะชั่วช้าปานใด ราคาที่ต้องจ่ายนั้นช่างน้อยนิด ดังนั้นพวกเขากล้าทำเรื่องงามหน้าไม่หยุดหย่อน
เซียวเหิงเอ่ยอย่างใจเย็น “ตราหยกทหารของตระกูลมู่อยู่ในมือของฮ่องเต้แคว้นเยี่ยนแล้ว ยังไม่มอบให้กับตระกูลขุนนางใดเป็นการชั่วคราว อาจจะแต่งตั้งแม่ทัพที่มีคุณสมบัติเหมาะสมจากสิบตระกูลขุนนาง และตระกูลอื่นๆ ยกเว้นตระกูลหนานกง เพื่อมารับหน้าที่ผู้บัญชาการ”
กู้ฉังชิงพยักหน้าเห็นด้วยพลางเอ่ย “เรื่องตราหยกทหารของตระกูลมู่ก็อีกเรื่องหนึ่ง เป้าหมายเดียวในตอนนี้คือการแย่งชิงกองทหารม้าเฮยเฟิงของตระกูลหัน”
ทันใดนั้น เขาก็เห็นทั้งสามคนมองมาที่เขา
เขาตกใจเล็กน้อย “มีอะไรหรือ ข้าเอ่ยผิดอะไรหรือ”
กู้เฉิงเฟิงถาม “พี่ใหญ่ พวกเราเคยพูดหรือว่าจะแย่งชิงกองทหารม้าเฮยเฟิงของตระกูลหัน”
กู้ฉังชิงถามกลับ “แล้วจะ…ไม่แย่งรึ”
กู้เจียวตอบ “แย่ง” สายตาของนางมุ่งมั่น
“เพราะเหตุใดเล่า” กู้เฉิงเฟิงมองมาที่นางด้วยความสงสัย
กู้เจียวตอบด้วยแววตาแน่วแน่ “ไม่มีเหตุผลอะไรหรอก แค่รู้สึกว่าควรที่จะแย่งมาให้ได้ ถ้าไม่อย่างนั้นอาจจะเสียใจภายหลัง”
นี่เป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดนัก
ตั้งแต่สงสัยว่าจิ้งคงมีความสัมพันธ์กับตระกูลเซวียนหยวน ความรู้สึกนี้ก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
หากแย่งชิงมาได้อาจจะอันตราย แต่หากไม่ได้มามีแต่จะอันตรายยิ่งกว่า!
เซียวเหิงวิเคราะห์ “ตระกูลหัน นอกจากหันเย่แล้ว ยังมีลูกหลานที่มีความสามารถอีกหลายคน ตระกูลนี้มีพรสวรรค์มากมาย โอกาสชนะของพวกเขายังค่อนข้างสูง และกฎในครั้งนี้ก็เอื้อประโยชน์ให้กับตระกูลหันอย่างชัดเจน”
หากต้องการกองทหารม้าเฮยเฟิง จำเป็นต้องผ่านการแข่งขันสามรอบ โดยสองรอบล้วนแต่เกี่ยวข้องกับการบังคับม้า และการบังคับม้ากับม้าศึกเป็นจุดแข็งของตระกูลหัน
ถึงแม้ว่าข้อได้เปรียบจะเทไปทางตระกูลหันมาก แต่ฝ่าบาทก็ยังต้องการคนที่ชนะตระกูลหันได้มากกว่ามาก คำ “มากกว่ามาก” หมายความว่า จะชนะแบบเฉียดฉิวไม่ได้ ต้องชนะแบบขาดลอย
ชนะแบบให้ผู้คนยอมรับอย่างสนิทใจ! ชนะอย่างไรข้อกังขา!
เขานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วมองไปที่กู้ฉังชิง “ตระกูลหันวางแผนไว้ว่าอย่างไร”
กู้ฉังชิงตอบ “ตระกูลหันได้เลือกลูกหลานมาสิบคน มีทั้งลูกหลานสายตรงและลูกหลานสายรอง”
กู้เฉิงเฟิงเบิกตาโต “มากขนาดนี้เลยหรือ ไม่ใช่ว่าตระกูลชั้นสูงแต่ละตระกูลจะมีได้แค่สองคนหรือ”
เซียวเหิงเอ่ย “เดิมทีก็ควรจะเป็นตระกูลหันที่สืบทอดอยู่แล้ว การปล่อยให้ทุกคนแข่งขันกันแบบนี้ก็ถือว่าไม่ยุติธรรมสักเท่าไร อย่างไรก็ต้องดูแลตระกูลหันบ้าง”
กู้เฉิงเฟิงเบือนหน้าหนี “ฮ่องเต้เหี้ยมโหดเสียขนาดนั้น มีหรือจะกลัวว่าชาวเมืองจะนินทาว่าร้าย จะแสร้งทำเป็นกษัตริย์ผู้เมตตาไปเพื่อการใด”
ทุกคนต่างแสดงอาการไม่เข้าใจการกระทำของฮ่องเต้
กู้ฉังชิงเอ่ย “ไท่จื่อให้ข้าหนึ่งที่นั่ง อนุญาตให้ข้าเข้าร่วมในฐานะบุตรชายตระกูลหหันสายรอง หน้าที่ของข้าคือการทำให้คู่ต่อสู้อ่อนแรงลง เพื่อให้สมาชิกตระกูลหันคนอื่นสามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้”
กู้เฉิงเฟิงหัวเราะเยาะ “ฝันไปเถอะ!”
กู้เจียวคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้า “อืม อันนี้เป็นไปได้”
กู้เฉิงเฟิงมองไปที่กู้เจียว “เจ้าจะไปเข้าร่วมด้วยหรือ”
กู้เจียว “อืม”
กู้เฉิงเฟิงเอ่ยอย่างจริงจัง “เช่นนั้นข้าก็จะไปด้วย!”
กู้เจียวเอ่ยอย่างเฉยเมย “เจ้าน่ะอย่าเลย วิชาตีนแมวของเจ้าน่ะ ออกได้สองหมัดก็โดนซัดตกสังเวียนแล้ว”
กู้เฉิงเฟิงโกรธจัด “เจ้าดูถูกใครอยู่น่ะ!”
“ให้ข้าไปเถอะ” กู้เจียวเอ่ย
กู้ฉังชิงมองน้องสาวแล้วอยากจะเอ่ยอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่กล้าเอ่ย
กู้เจียวถามอย่างแปลกใจ “ทำไมรึ”
กู้ฉังชิงเอ่ย “เจ้ามาแคว้นเยี่ยนนานเกินไปหรือเปล่า ลืมไปแล้วหรือเปล่าว่าตัวเองเป็นชาวแคว้นเจา”
การคัดเลือกแม่ทัพทหารม้าของแคว้นต้าเยี่ยนอนุญาตให้เฉพาะคนในแคว้นเท่านั้นเข้าร่วม
กู้เจียวคิดในใจ เอ่อ ลืมไปจริงๆ
…
ป่าไผ่ม่วง
ศิษย์คนหนึ่งกำลังกวาดใบไม้หน้ากระท่อมไผ่เล็ก
กู้เจียวเดินเข้าไปหา
นางยืนมองอยู่ข้างนอกสักพักหนึ่ง แต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ จึงเรียกศิษย์คนนั้น “อาจารย์น้อย”
ศิษย์หยุดงานที่ทำอยู่ หันตัวมาเห็นกู้เจียว เขาทักทายอย่างสุภาพ “ท่านชายเซียว”
“จำข้าได้หรือ” กู้เจียวยิ้มมุมปาก “ใต้เท้ากั๋วซืออยู่หรือไม่”
ศิษย์ยิ้มเขิน “เพิ่งออกไปขอรับ”
แปลกจัง เหตุใดถึงเขินอาย ทั้งๆ ที่ชายคนหนึ่งกำลังยิ้มให้เขา
กู้เจียวเลิกคิ้ว “อ๋อ แล้วท่านจะกลับมาเมื่อใด”
ศิษย์ตอบ “น่าจะไม่นาน ใต้เท้ากั๋วซือไม่ได้สั่งให้ข้าเก็บกระดานหมากรุกของท่าน น่าจะกลับมาเล่นอีกสักพัก”
กู้เจียว “ขอบคุณมาก”
จากนั้นนางก็เงียบไปไม่เอ่ยอะไรอีก ยืนรออยู่ที่เดิม
ศิษย์กวาดใบไม้สองสามใบแล้วเอ่ยอีกครั้ง “ท่านชายเซียวจะรอใต้เท้ากั๋วซือที่นี่ใช่หรือขอรับ”
กู้เจียวตอบ “ใช่ ข้ามีธุระกับเขา”
ศิษย์ตอบ “เช่นนั้นเชิญเข้ามารอข้างในเถิดขอรับ”
เข้าไปข้างในรอได้ด้วยหรือ
กู้เจียวเดินเข้าไปในลานบ้านตามคำแนะนำของศิษย์ ถอดรองเท้าวางไว้บนขั้นบันได เดินด้วยเท้าเปล่าบนพื้นไม้สะอาดสะอ้านก่อนจะเข้าไปในห้องโถง
ศิษย์เชิญนางนั่งบนเบาะสำหรับแขกแล้วรินน้ำชาเย็นให้นาง “เชิญท่านชายเซียวดื่มชาขอรับ”
กู้เจียวรับแก้วน้ำชามา “ขอบคุณมาก ไม่ต้องดูแลข้าหรอก ข้ารอเองได้ เจ้าไปทำงานเถิด”
“ท่านชายเซียวเชิญตามสบาย”
เอ่ยจบ ศิษย์ก็ปิดม่านแล้วเดินออกไป
กู้เจียวลูบคาง ไม่เห็นบอกอะไรเลย ไว้ใจข้าขนาดนี้เชียวหรือ
หากกู้เจียวยอมนั่งนิ่งรออย่างว่าง่ายก็แปลกแล้ว
อุตส่าห์มาที่นี่ถึงรังของกั๋วซือแล้ว ไม่สำรวจให้ทั่วสักหน่อยได้อย่างไร
ตอนนี้ในลานบ้านมีเพียงศิษย์คนหนึ่ง เขากำลังกวาดลานบ้านอย่างตั้งใจ เพิ่งกวาดไปได้เพียงครึ่งเดียว คงใช้เวลาสักพักกว่าจะเสร็จ
กู้เจียวค่อยๆ ลุกขึ้นยืน แล้วเดินวนรอบห้องโถง
ห้องโถงว่างเปล่า ไม่มีสิ่งของที่บ่งบอกเบาะแสใดๆ มีเพียงห้องสมุดเล็กๆ อยู่ทางทิศตะวันออก
กู้เจียวค่อยๆ ผลักประตูห้องสมุดให้เปิดออก กลิ่นของหนังสือลอยมาแตะจมูก
หน้าต่างเปิดอยู่ แสงสว่างใช้ได้
ห้องนี้ตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีเพียงชั้นวางหนังสือ ตู้หนังสือ โต๊ะทำงาน และตู้เก็บของ
กู้เจียวอ่านภาษาแคว้นเยี่ยนได้ดี สามารถอ่านได้อย่างคล่องแคล่ว แต่หนังสือเหล่านี้ล้วนเป็นหนังสือปรัชญาและวรรณกรรม ทำให้นางปวดหัว
ไม่นานนัก นางก็ถูกของเล่นบนตู้เก็บของดึงดูดความสนใจ
ใช่แล้ว มันคือของเล่น
มีดไม้ขนาดเล็ก ดาบไม้ขนาดเล็ก ธนูและลูกธนูขนาดเล็ก ค้อนดาวขนาดเล็ก แส้เก้าปล้องขนาดเล็ก และทวนพู่แดงขนาดเล็ก
นี่มันอะไรกัน ของเล่นที่นางทำสำหรับเสี่ยวจิ้งคงยังไม่ครบครันขนาดนี้เลย
กั๋วซือก็มีมุมเด็กๆ แบบนี้ด้วยหรือ
ทำไว้ให้ใครกันนะ
ไม่นานนัก กู้เจียวก็พบสมุดภาพเย็บเล่มติดอยู่ที่ข้างของของเล่นเหล่านี้
นางคิดว่ากั๋วซือเก็บสะสมแต่ของมีค่า เช่น ภาพวาดของศิลปินชื่อดัง แต่พอเปิดดูกลับพบว่าล้วนแต่เป็นภาพวาดเด็กเล่น
“อะไรอีกล่ะเนี่ย”
กู้เจียววางหนังสือเล่มเล็กลง แล้วหยิบภาพวาดในกรอบไม้อีกกรอบขึ้นมา
นางแกะผ้าแพรออกแล้วคลี่ออกดู ภาพวาดเป็นภาพของเด็กหญิงตัวน้อย
ผิวขาวนวล ดวงตากลมโต จมูกโด่ง ปากเล็กน่ารัก
กู้เจียวมองดูอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ย “อื้อ สวยดีเหมือนกันนะ”
ในกรอบไม้มีภาพวาดอยู่อีกสิบกว่าภาพ กู้เจียวดูจนครบทุกภาพ พบว่าเป็นภาพวาดของคนเดียว ตั้งแต่เด็กหญิงตัวน้อยไปจนถึงเด็กหญิงวัยโต กู้เจียวเหมือนได้เห็นคนคนนี้เติบโตขึ้นต่อหน้าต่อตา
“เหตุใดฉันถึงรู้สึกว่าเด็กผู้หญิงคนนี้คุ้นๆ นะ ข้าเคยเห็นที่ไหนหรือเปล่า”
ภาพวาดวาดมาถึงประมาณอายุเจ็ดแปดขวบก็หยุดลง
“ตำหนักกั๋วซือมีศิษย์หญิงหรือ” กู้เจียวสงสัยมาก
ถ้าไม่ใช่ศิษย์ของกั๋วซือ เด็กหญิงคนนี้เป็นอะไรกับกั๋วซือกันเล่า
จะเป็นไปได้หรือไม่ว่ากั๋วซือมีลูกสาวที่เกิดจากหญิงอื่นอย่างลับๆ
ถ้าไม่อย่างนั้น ก็อธิบายได้ยากว่าเหตุใดที่นี่ถึงมีของของนางอยู่มากมาย
นอกจากภาพวาดของเด็กหญิงแล้ว กู้เจียวยังพบภาพวาดอีกภาพหนึ่งอยู่ในตู้ขนาดใหญ่ที่สุดของตู้เก็บสมบัติ
ภาพวาดนั้นเป็นรูปนักรบสวมเกราะสีดำ รูปร่างสูงโปร่ง สง่างาม ถือทวนพู่แดง
ทว่าเครื่องหน้าของคนในภาพกลับว่างเปล่า
แต่กู้เจียวจำได้ว่าเป็นทวนสีแดงด้ามนั้น เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเซวียนหยวนลี่
ดังนั้น… คนๆ นี้คือเซวียนหยวนลี่อย่างนั้นหรือ
ใต้ภาพวาดมีข้อความเขียนไว้ว่า รำลึกเพื่อนเก่า วันที่สิบเก้า กุมภาพันธ์ ปีปิ่งเซิน
กั๋วซือกับเซวียนหยวนลี่เป็นเพื่อนเก่า
นอกจากนี้ กู้เจียวยังค้นพบสิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งอีกด้วย นั่นคือสวนหย่อมที่ทำจากดินเหนียว ใต้ต้นท้อในสวนหย่อม มีตุ๊กตาดินเหนียวสามตัวนั่งอยู่ พวกเขากำลังยกแก้วดื่มเหล้า
ทั้งสามคนไม่ได้แกะสลักใบหน้า เสื้อผ้าก็เป็นเพียงเสื้อคลุมยาวสำหรับผู้ชายที่พบเห็นได้ทั่วไปตามท้องถนน
กู้เจียวลูบคางพลางคิดในใจว่า คนคนหนึ่งคือกั๋วซือ อีกคนคือเซวียนหยวนลี่ อีกคน… ไม่น่าใช่ฮ่องเต้กระมัง
สามคนนี้เคยเป็นพี่น้องร่วมสาบานมาก่อนหรือเปล่า
“ใต้เท้ากั๋วซือ!”
ด้านนอกประตูห้องพลันมีเสียงของศิษย์ดังขึ้น
Comments