สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 89 ให้ยา

Now you are reading สามีข้าคือขุนนางใหญ่ Chapter บทที่ 89 ให้ยา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ท่านโหวกู้ออกคำสั่งให้สอบสวนเรื่องที่แม่นางเหยาโดนวางยาพิษ

จากคำให้การของสาวใช้ทั้งสอง แม่นมฟางเป็นคนเคี่ยวยานั้น แล้วแม่นมฟางก็เป็นยกเข้ามาเช่นกัน พวกนางทั้งสองถูกแม่นมฟางสั่งให้ไปส่งของให้กู้จิ่นอวี้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ไม่ทราบแน่ชัดแล้ว

“เรียกแม่นมฟางมา!” ท่านโหวกู้สั่งด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

ผ่านไปเพียงครู่ก็มีคนเข้ามารายงาน “รายงานท่านโหว แม่นมฟางหายตัวไปแล้วขอรับ!”

ฝ่ามือของท่านโหวกู้กำเป็นหมัดแน่นในทันใด

ไม่นานเขาก็นึกขึ้นไดว่าแม่นมฟางยังมีหลานสาวคนหนึ่งอยู่ในจวน “แล้วสาวใช้ที่ชื่อชุ่ยชุ่ยนั่นเล่า เรียกนางมาพบข้าเดี๋ยวนี้!”

“ขอรับ!” บ่าวรับใช้ขานรับแล้วออกไป

เพื่อไม่ให้เป็นผิดสังเกต แม่นมฟางจึงไม่พาชุ่ยชุ่ยไปด้วย

เมื่อชุ่ยชุ่ยสัมผัสได้ว่าสถานการณ์เริ่มไม่ชอบมาพากล จึงรีบเก็บผ้าผ่อนเตรียมหนี ทว่านางช้าไปก้าวหนึ่ง องค์รักษ์ประจำจวนจึงจับตัวนางไว้ได้

เมื่อนางถูกพาตัวมาถึงตรงหน้าท่านโหวกู้ ถึงได้รู้ว่าแม่นางเหยาถูกวางยาพิษ

ใครเป็นคนวางยานั้น ใช้หัวแม่เท้าคิดก็เดาออกว่าเป็นแม่นมฟาง

ชุ่ยชุ่ยทรุดเข่าลงกับพื้น น้ำเสียงสั่นเครือ “ท่านโหวไว้ชีวิตข้าเถิด! ข้าไม่ได้เป็นคนทำ! ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น! ข้าถูกใส่ร้าย!”

ท่านโหวกู้ “ใส่ร้ายอย่างนั้นรึ เช่นนั้นข้าขอถามเจ้า ฮูหยินเป็นลมเพราะเหตุใดกันแน่”

ชุ่ยชุ่ยเอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “เพราะ… เพราะ…”

ท่านโหวกู้เอ่ยเสียงเย้ยหยัน “ดี มีลิ้นไว้ก็ใช้การไม่ได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องมีมันแล้ว!”

ชุ่ยชุ่ยสั่นสะท้านไปทั้งตัว “ข้าบอกแล้วเจ้าค่ะ! ข้าบอกแล้วเจ้าค่ะ! แม่นมฟาง… แม่นมฟางบังคับให้ข้าทำ! นางให้ข้าแอบฟังข่าวแล้วจงใจพูดให้ฮูหยินได้ยิน!”

ท่านโหวกู้หัวใจกระตุกโหวง “เจ้าพูดอะไรออกไปบ้าง”

ชุ่ยชุ่ยเอ่ยอย่างหวาดกลัว “พูด… พูดว่า… นายหญิงน้อยไม่ใช่ลูกแท้ๆ… เป็นเด็กที่อุ้มมาผิดคน…”

“นางสารเลว!” ท่านโหวกู้โมโหจะเขวี้ยถ้วยชาในมือจนแตกกระจาย!

ชุ่ยชุ่ยล้มลุกคลุกคลานอยู่บนเศษซากของถ้วยชา เลือดไหลอาบฝ่ามือ ทว่ากลับไม่กล้สจะขยับไปไหน “นายท่านไว้ชีวิตข้าเถิด… แม่นมฟางบังคับข้า…”

ท่านโหวกู้กังวลว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ เพราะเหตุนั้นเขาจึงไม่กล้าบอกแม่นางเหยามาโดยตลอด เขายอมที่จะไม่รับเด็กคนนั้นกลับมาเลี้ยงไปชั่วชีวิต แต่ไม่มีทางยอมให้แม่นางเหยาต้องเจ็บปวดแม้แต่เพียงนิด!

เขาระวังตัวอย่างดีแท้ๆ แต่สองสาวใช้จอมชั่วกลับบอกความจริงจนหมดเปลือก

เขาตวาดลั่น “ฮูหยินเอ็นดูนางแท้ๆ! เหตุใดนางถึงทำเช่นนั้น”

ชุ่ยชุ่ยเอ่ยเสียงสะอื้น “ข้าไม่รู้เจ้าค่ะ… ท่านป้า… ไม่ใช่มิ…แม่นมฟาง…นางบอกให้ข้าทำ… ไม่เคยบอกเหตุผลกับข้า… ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าเหตุใดนางถึงต้องทำร้ายฮู่หยิน… หากข้าไม่เชื่อฟัง นางบอกว่าจะสั่งให้หลานชายนางโบยข้าให้ตาย! ท่านโหวให้ความเป็นธรรมด้วยเถิด ที่ข้าพูดเป็นความจริงทั้งหมด”

“เหอะ เจ้าฟังคำนางมากวกว่าฟังคำของข้ากับฮูหยิน แล้วอย่างไรเล่า วาจานางศักดิ์สิทธินักหรือ” ท่านโหวกู้เดือดดาลจนเพียงนั้น ไหนเลยจะแยกแยะออกว่าที่ชุ่ยชุ่ยพูดนั้นเป็นเรื่องจริงครึ่งหนึ่งไม่จริงครึ่งหนึ่ง

แม่นมฟางเป็นคนสั่งนางนั้นเป็นความจริง ส่วนความทะเยอทะยานของนางนั้นก็เป็นความจริงเช่นกัน หากไม่ใช่เพราะนางหมายจะได้ผลประโยชน์จากแม่นมฟาง นางจะพลีชีพแทนแม่นมฟางไปทำไม

ถามนางไปก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา ท่านโหวโบกมือไล่อย่างเกลียดชัง “ลากตัวออกไป โบยให้ตาย”

“ท่านโหวไว้ชีวิตข้าเถิด! ท่านโหวไว้….”

องครักษ์ไม่ให้โอกาสนางร้องขอชีวิต ยัดผ้าขี้ริ้วใส่ปากนาง ก่อนจากฉุดกระชากลากถูนางออกไปลงโทษ

เหล่าองครักษ์ประจำจวนบนเขาแยกย้ายกันออกไปสี่ทิศเพื่อตามจับแม่นมฟาง ในที่สุดเมื่อฟ้ามืดตามหาร่องรอยของแม่นมฟางจนเจอ แต่น่าเสียดายตอนที่พบตัวแม่นมฟางนมก็ผูกคอฆ่าตัวตายบนต้นไม้ต้นหนึ่งแล้ว

“ตายแล้วอย่างนั้นหรือ” ภายในห้องหนังสือ สีหน้าของท่านโหวกู้เคร่งขรึมขึ้นมาในทันใด

หวงหงเป็นทหาร ขัดกับร่างการผอมแห้งของเขา แต่หากว่าด้วยเรื่องพิสูจน์ศพแล้ว เขานั้นเคยคลุกคลีกับกองซากศพมาก่อน เคยเห็นคนตายมาไม่รู้กี่ร้อยพันแบบ ไหนเลยมองไม่ออกว่าแม่นมฟางขาดอากาศหายใจตายก่อนแล้วจึงถึงคนนำเป็นแขวนบนต้นไม้

ท่านโหวใบหน้าบึ้งตึง “เช่นนั้นแปลว่า…นางถูกฆ่าปิดปากอย่างนั้นหรือ”

ฆ่าปิดปากหรือไม่หวงจงไม่กล้ายืนยัน แต่ที่เขามั่นใจว่าเขาเป็นคนฆ่าแม่นมฟาง

ท่านโหวนิ่งเงียบไปครู่ใหญ่ “ข้ารู้แล้ว ช่วงนี้เจ้าเพิ่มกำลังคนคุ้มกันจวนแห่งนี้ คนข้างกายฮูหยินยกเว้นแม่นมฝาง ไล่ออกไปให้หมด”

“ขอรับ!”

ท่านโหวกู้ไปยังห้องของแม่นางเหยา

แม่นมฝางเฝ้าอยู่ในห้องทั้งที่ยังป่วย สีหน้าดูไม่สู้ดีนัก

ท่านโหวกู้บอกกับนาง “เจ้าพักเถิด คืนนี้ไม่ต้องมาแล้ว”

แม่นมฝางมิได้ออกไปในทันใด แต่กลับชะงักไป ก่อนจะรวบรวมความกล้าเอ่ยออกมา “ท่านโหว ท่านต้องพาฮูหยินกลับเมืองหลวงให้ได้หรือเจ้าคะ”

“มีอะไรหรือ” ท่านโหวกู้ถาม

แม่นมฝางเอ่ยความในใจ “ข้ารู้ว่าท่านโหวรักฮูหยินเพียงใด แต่เกรงว่าคนทั้งจวนโหวยกเว้นท่านโหว จะไม่ยินดีการกลับไปของฮูหยินสักเท่าไหร่ ”

ท่านโหวกู้กำหมัดแน่น “นางเป็นภรรยาของข้า ข้าจะปกป้องนางเอง ไม่ใช่หน้าที่เจ้าที่ต้องกังวล!”

“ท่านโหว…”

สองตาของท่านโหวราวกับเปลวไฟ “ข้าจะไม่ยอมให้เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับนางอีกเด็ดขาด”

แม่นมฝางไม่ตอบโต้ ก่อนจะโค้งคำนับให้ท่านโหวกู้ “ข้าขอตัวลา”

เรื่องที่ท่านโหวกู้ปิดจวนของแม่นางเหยานั้นไม่ได้บอกให้กู้เหยี่ยนและกู้จิ่นอวี้รับรู้

หนึ่งชั่วยามหลังจากนั้น แม่นางเหยาค่อยฟื้นขึ้นมา

ท่านโหวกู้นั่งอยู่ข้างเตียง กุมมือนางเอาไว้ ก่อนจะเอ่ยถามเสียงแผ่วเบา “เจ้าฟื้นแล้วหรือ เจ็บตรงไหนหรือไม่”

แม่นางเหยาส่ายหน้าอย่างอ่อนแรง จ้องมองไปที่เขา “ลูกเล่า ลูกข้าอยู่ที่ไหน”

ในเมื่อเรื่องมาถึงขนาดนี้แล้ว ท่านโหวกู้ก็ไม่มีอะไรต้องปิดบังอีกต่อไป เขากระชับมือนางแน่น ก่อนจะสูดหายใจลึกแล้วพูดว่า “เมื่อครู่นางก็มา อยู่ตรงนี้เลย”

แม่นางเหยาตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง

ท่านโหวกู้กลัวว่านางจะเป็นลมไปอีก ก็รีบประคองไหล่ทั้งสองของนางแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าอย่าเพิ่งตื่นเต้นไป ฟังข้าพูดให้จบก่อน นางสบายดีมาก ข้าหานางเจอแล้ว รอเจ้ารักษาตัวให้หายดี ข้าจะพบเจ้าไปเจอนาง”

แม่นางเหยาตอบโดยไม่คิด “ข้าหายดีแล้ว!”

ท่านโหวกู้เอ่ย “ข้ารู้ ข้ารู้ เพียงแต่วันนี้ฟ้ามืดแล้ว หากเจ้าก็รบกวนเวลาพักผ่อนนางเสียเปล่าๆ วันพรุ่งนี้ เช้า ข้ารับปากเจ้า”

ได้ยินเช่นนั้นแม่นางเหยาถึงได้ล้มตัวนอนลงอีกครั้ง

นางมองเขาอย่างไม่เข้าใจ “เหตุใดท่านไม่บอกข้าให้เร็วกว่านี้”

ท่านโหวกู้นิ่งเงียบ

แม่นางเหยาขมวดคิ้ว “ท่านไม่อยากรับนางกลับมาเลี้ยงใช่หรือไม่”

ท่านโหวกู้ทำให้นางหัวใจเต้นรั่วไม่เป็นจังหวะ เหตุผลในการมีชีวิตอยู่ของนางขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขาว่าพูดความจริงหรือพูดโกหก “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร! เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว! นางเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของข้า เหตุใดข้าถึงจะอยากรับนางกลับมาเลี้ยง เพียงแต่… ข้าเคยพลาดมาหนหนึ่งแล้ว จึงไม่อยากพลาดเป็นหนที่สอง”

ท่านโหวกู้เล่าเรื่องตัวนำยาให้แม่นางเหยาฟัง

“…ข้าคิดว่าจะรอเก็บเลือดของนางแล้วนำไปเทียบของกู้เหยี่ยนก่อน จากนั้นค่อยบอกเจ้า อีกอย่างเหยี่ยนเอ๋อร์เองก็เขากับนางได้ดีมาก ข้าคิดว่าหากไม่ใช่เพราะผูกพันทางสายเลือด เหยี่ยนเอ๋อร์คงชอบนางถึงเพียงนี้ได้อย่างไน”

แม่นางเหยาตกตะลึง “เหยี่ยนเอ๋อร์ก็เคยเจอนางหรือ”

ท่านโหวกู้พยักหน้าช้าๆ “…ใช่ นางคือเด็กหยิบยาจากหุยชุนถัง”

“มีรูปวาดของนางหรือไม่” แม่นางเหยาดูเหมือนอยากเจอลูกสาวเหลือเกิน

ท่านโหวกู้นิ่งไป “เรื่องนั้น…”

“ข้าขอร้องท่านล่ะ ท่านโหว” แม่นางเหยาอ้อนวอนเขาเป็นครั้งแรก

เพียงเพราะต้องการภาพวาดของนางเด็กตัวดีนั่น ท่านโหวกู้เจ็บแปลบอยู่ในใจ

ทว่าท่านโหวกู้กัดฟันวาดให้ ราวกับว่าชั่วชีวิตนี้เขาไม่สามารถปฏิเสธแม่นางเหยาได้เลยสักครั้ง

ทว่ายามที่แม่นางเหยาคลี่ม้วนภาพออกด้วยความตื่นเต้นนั้น รอยยิ้มของนางก็แข็งทื่อไปในทันใด “ท่านวาดอะไรของท่าน”

กลมๆ ขีดๆ กลมๆ นี่คืออะไร

ขนมเปี๊ยะที่จะกลมก็ไม่ใช่จะเหลี่ยมก็ไม่เชิงนี้คือใบหน้าหรือ

เม็ดถั่วเขียวาองเม็ดที่ไม่สมมาตรกันนี้คือดวงตาหรือ

รูจมูกจะเชิดขึ้นฟ้าหรืออย่างไร

แถมปากยังเบี้ยวอีกต่างหาก!

ท่านโหวกู้กระแอมอย่างเก้อเขิน ก่อนจะเอ่ยเสียงจริงจัง “นางหน้าตาขี้เหร่”

เขาไม่มีทางยอมรับว่าตัวเองว่าไม่สวย!

ท่านโหวกู้ผู้เก่งกาจรอบด้านมีความลับหนึ่งที่ไม่มีใครรู้ นั่นก็คือฝีมือเขียนพู่กันและวาดภาพของเขานั่นห่วยแตกเป็นที่สุด คนนอกลือกันว่าน้ำหมึกจากปลายพู่กันของท่านโหวกู้นั้นหายากนัก แต่ความจริงแล้วเขาไม่กล้าให้คนอื่นเห็นต่างหาก

“ท่านต่างหากที่ขี้เหร่!” แม่นางเหยาเขวี้ยงภาพวาดใส่แผงอกของเขา ก่อนจะดึงผ้าห่มออกแล้งลงจากเตียง

ท่านโหวกู้มองปราดเดียวก็รู้ว่านางคิดจะทำอะไร ก่อนจะเอ่ยเสียงนุ่มนวลว่า “เจ้าจะไปหาเหยี่ยนเอ๋อร์ให้วาดภาพให้หรือ เหอะเหอะเหอะ ข้าวาดไม่สวยเท่าข้าหรอก”

แม่นางเหยาอยากตีเขาให้ตาย “…”

สุดท้ายแม่นางเหยาก็ได้ภาพวาดของลูกสาวมาจนได้

กู้จิ่นอวี้เป็นคนวาดให้

ท่านโหวกู้ไม่ได้บอกความจริงกับกู้จิ่นอวี้ เพียงแค่บอกให้นางวาดภาพของเด็กหยิบยา ฝีมือวาดภาพของกู้จิ่นอวี้นั่นเข้าขั้น น่าจะอยู่ในสามอันดับแรกท่ามกลางบรรดาหญิงสาวสูงศักดิ์ในเมืองหลวง

ท่านโหวกู้ยื่นภาพวาดให้แก่แม่นางเหยา

เมื่อแม่นางเหยาได้เห็นภาพวาดของเด็กสาวอย่างชัดเจน สีหน้าของนางก็ตกตะลึงในทันที

วันนี้ฟ้ามืดค่อนข้างช้า ยามกู้เจียวกลับมาถึงหมู่บ้านตะวันยังไม่ตกดิน กลุ่มควันพวยพุ่งขโมงไปทั้งหมู่บ้าน กลิ่นหอมของอาหารอบอวลไปทั่วทิศ ทั้งหมู่บ้านปกคลุมไปด้วยหมอกควัน

พักนี้เรือนตระกูลกู้นั้นเงียบสงัดนัก

ได้ยินมาว่านายใหญ่กู้ถูกถอดจากตำแหน่งนายอากร ที่นาหลายสิบหมู่ของตระกูลกู้ก็ถูกริบคืนเช่นกัน ที่นาเหล่านั้นได้มาจากเจ้านายที่มอบให้ตระกูลกู้เพาะปลูก แม้จะเรียกว่าที่นา ทว่าค่าเช่าที่เก็บแต่ละปีนั้นก็แค่ไม่กี่ร้อย ไม่ต่างอะไรกับให้เปล่า

ทว่านั่นประดับบารมีให้แก่นายใหญ่กู้ไม่น้อย และประดับบารมีให้แก่กู้ต้าซุ่นเช่นกัน

ทว่าเพียงพริบตาเดียว ทั้งหมดก็มลายหายไป

แต่ละคืนวันของตระกูลกู้มีปัญหาถาโถมไม่หยุดหย่อน

ได้ข่าวมาว่าแทบจะไม่มีเงินจ่ายค่าเล่าเรียนของกู้ต้าซุ่น

ทว่านั่นไม่เกี่ยวอะไรกับกู้เจียว กู้เจียวก็คร้านจะใส่ใจพวกเขา

ความปวดแสบปวดร้อนบนแผ่นหลังของกู้เจียวยังไม่จางหาย ทว่านางไม่ใส่ใจ เดินเข้าครัวไปเพื่อทำอาหารเย็น

เสี่ยวจิ้งคงนั่งย่อให้อาหารไก่อยู่ที่ลานท้ายเรือน เพิ่งให้เพียงครึ่ง เขาก็คว้าลูกเจี๊ยบเหลืองตัวหนึ่งวิ่งเข้ามา “เจียวเจียว เจียวเจียว เสี่ยวชีไม่ยอมกินข้าว! มันไม่สบายหรือเปล่า”

“บอกแต่แรกแล้วว่าเจ้าเลี้ยงไม่ไหว เห็นไหมล่ะ เจ้าจะทำให้มันตายแล้ว”

นั่นคือเสียงเยาะเย้ยของเซียวลิ่วหลัง

เสี่ยวจิ้งคงเหลียวไปมองอย่างขุ่นเคือง ก่อนจะเท้าเอวกระทืบเท้า “ข้าเปล่าเสียหน่อย! เสี่ยวชีไม่มีทางตาย! ข้าจะเลี้ยงมันอย่างดี!

“ไหนข้าดูซิ” กู้เจียวยื่นมือออกไป

เสี่ยวจิ้งคงวางเสี่ยวชีลงบนฝ่ามือของกู้เจียวอย่างรู้สึกผิด

ปากเขาพูดอย่างมั่นอกมั่นใจ ทว่าขอบตากลับแดงก่ำ

เห็นได้ชักว่าเจ้าหนูน้อยคนนี้กังวลเขาจะทำให้เสี่ยวชีตายจริงๆ

กู้เจียวลูบท้องของเจ้าไก่น้อยก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “มันแค่อิ่ม กินไม่ไหวแล้ว”

“เอ๊ะ” ดวงตาสีดำขลับของเสี่ยวจิ้งคงเบิกโพลงจ้องมองไปที่ไก่น้อย เขาเกาหัวแก้เก้อ ก่อนจะถามเชิงตำหนิ “เสี่ยวชี เจ้าแย่งอาหารเพื่อนใช่หรือไม่”

เสี่ยวชี “จิ๊บ”

เสี่ยวจิ้งคงรับไก่น้อยกลับมา ก่อนจะแลบลิ้นปลิ้นตาใส่พี่เขยจอมนิสัยเสีย จากนั้นก็วิ่งตึงตังพาเสี่ยวชีกลับไปที่เล้าไก่

เซียวลิ่วหลังมองเขาอยากขำขัน ก่อนสายตาจะหันมาจับจ้องที่ใบหน้าของกู้เจียว ก่อนจะสังเกตเห็นว่าหน้าของนางดูซีดเผือดกว่าปกติ

“อาหารเสร็จแล้ว กินข้าวกันเถอะ” กู้เจียวเอ่ย

เซียวลิ่วหลังนิ่งไปครู่หนึ่ง “อืม”

ยามกินมื้อเย็น กู้เจียวไม่ค่อยอยากอาหารนัก

เสี่ยวจิ้งคงที่ถือถ้วยและตะเกียบอยู่เอ่ยถาม “เจียวเจียว เจ้าอิ่มแล้วหรือ”

เซียวลิ่วหลังมองนางด้วยสายตาซับซ้อน

หญิงชราเองก็มองนางเช่นกัน

ส่วนกู้เสี่ยวนั้นก็เงยหน้าขึ้นก่อนจะโพล่งถามขึ้นมา “ท่านพี่ เหตุใดสีหน้าท่านพี่ย่ำแย่เช่นนั้น ท่านไม่สบายหรือเปล่า”

เสี่ยวจิ้งคงวางตะเกียบลง ก่อนจะยืนขึ้นบนเก้าอี้ “เหลวไหล! เจียวเจียวไม่ได้ป่วยเสียหน่อย!”

“ข้าไม่ได้ป่วยหรอก”

ไม่ได้ป่วยจริงๆ แต่บาดเจ็บเล็กน้อย

เจ็บก็เจ็บอยู่หรอก เพียงแต่ตวามเจ็บปวดเช่นนี้นางคุ้นชินมาตั้งแต่ชาติก่อนแล้ว นางไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ทว่านางลืมไปว่าร่างกายนี้มิได้แข็งแกร่งดังแต่ก่อน จะทนแรงแส้ทหารได้อย่างไร

กลางดึก อาการของกู้เจียวก็ยิ่งรุนแรงขึ้น

สายฟ้าแลบสาดแสงท่ามกลางฟ้ามืดสนิท สว่างวาบไปทั่วบ้าน เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง

เสี่ยวจิ้งคงที่นอนแพ่อยู่บนเตียงหมุนหมอนใบน้อยของเขา หลับสนิทจนน้ำลายไหลยืด

เซียวลิ่วหลังลืมตาขึ้น ทอดมองไปยังประตู ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะหยัดตัวลุกขึ้นนั่ง จากนั้นจึงดึงผ้าห่มที่เสี่ยวจิ้งคงถีบออกขึ้นมาคลุมให้เขา ก่อนจะสวมเสื้อแล้วเดินไปยังห้องของกู้เจียว

แต่ไหนแต่ไรมากู้เจียวลงกลอนประตูห้องเสมอ ทว่าตั้งแต่คราวนั้นที่เสี่ยวจิ้งคงสะดุ้งตื่นตกใจเพราะฝันร้ายกลางดึก เดินกอดหมอนมาหานางที่ห้องแล้วเปิดประตูห้องไม่ได้ ก็ร้องไห้งอแงอยู่นานสองนาน

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา กู้เจียวก็ไม่ลงกลอนประตูห้องอีกต่อไป

เซียวลิ่วหลังผลักประตูห้องที่เปิดแง้มอยู่ออก กลิ่นคาวเลือดเจือจางลอยเตะจมูกในทันใด

เซียวลิ่วหลังคิ้มขมวด ชะงักไปครู่หนึ่ง แต่ก็ก้าวเดินเข้ามาในห้อง

“กู้…กู้เจียว”

เขาเอ่ยเสียงนางทว่าไม่มีเสียงตอบหลับ เพราะอย่างนั้นจึงเดินไปที่หน้าเตียง

เขายื่นมือออกไปลูบหน้าผากของกู้เจียว สัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร้อนระอุ!

สายฟ้าแลบสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง พาให้ห้องทั้งห้องสว่างจ้าราวกับยามกลางวัน เซียวลิ่วหลังเห็นเสื้อเปื้อนเลือดที่อยู่บนเก้าอี้

สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป เขาหยิบเสื้อขึ้นมาก่อนจะพบว่านั่นเป็นเสื้อซับในผืนหนึ่ง

ผ้าราคาถูกที่ไม่ได้เนื้อนุ่มนักนั้นเคยสัมผัสกับผิวกายของกู้เจียวมาก่อน แม้จะมีกลิ่นคาวเลือดกลบอยู่แต่ก็ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ ของเด็กสาวออกมา

เซียวลิ่วหลังใบหูแดงระเรื่อ มองหาว่าคราบเลือดนั้นเกิดขึ้นที่บริเวณใด ก่อนจะมั่นใจได้ว่ากู้เจียวบาดเจ็บบริเวณแผ่นหลัง เขาสูดหายใจลึก ตั้งใจว่าจะพลิกตัวกู้เจียวแล้วค่อยไปตามหมอมา

มือของเขากำลังจะเอื้อมไปใกล้กู้เจียว แต่ก็ถูกฝ่ามือน้อยเย็นเฉียบของกู้เจียวคว้าไว้ก่อน

นางโพล่งเอ่ยขึ้น “ดึกดื่นไม่หลับไม่น้อย คิดจะฉวยโอกาสข้าหรือ”

เซียวลิ่งหลังทำอะไรไม่ถูกก่อนจะอธิบาย “ไม่ใช่… เขาแค่…”

“อย่าให้มากเกินไปก็แล้วกัน” กู้เจียวเอ่ยพึมพำจบก็ผล็อยหลับไป

เมื่อครู่…ละเมออย่างนั้นหรือ

เซียวลิ่วหลังหายใจไม่ทั่วท้อง เหงื่อเย็นผุดซึมออกมา

ทว่าไม่ใช่เพราะหวาดกลัว

เขาบังเอิญหันไปอีกทาง จากนั้นฟ้าก็แลบจนสว่างโร่ขึ้นมาอีกครั้ง เงาร่างบางของหญิงชราปรากฏขึ้นที่หน้าประตู

เสื้อด้านหลังของเซียวลิ่วหลังเปียกชุ่มจนมองเห็นทะลุเข้าใน

เขาเองก็ไม่แน่ใตว่าหวาดกลัวหรือว่ารู้สึกผิดมากกว่ากัน

เพราะมือของเขากำลังกดที่หน้าอกของนาง แม้จะถูกนางคว้าเอาไว้ แต่ไม่ว่ามองอย่างไรก็เหมือนว่าเขาจะเป็นฝ่ายรุก

“ท่านย่า ท่านอย่าเข้าใจผิด…”

“เป็นสามีภรรยากันไม่ใช่หรือ มีอะไรให้เข้าใจผิดกัน”

หญิงชราวางยาลง ก่อนจะพ่นลมฮึดฮัดทางจมูก

ให้มันได้แบบนี้!

แสนจันทร์ยามค่ำคืน ลมพัดโหมกระหน่ำ!

อีกไม่นาน นางคงได้อุ้มหลานแล้ว!

Comments

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *