สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 821 ไล่เสือเพื่อกินหมาป่า

Now you are reading สามีข้าคือขุนนางใหญ่ Chapter บทที่ 821 ไล่เสือเพื่อกินหมาป่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 821 ไล่เสือเพื่อกินหมาป่า

จิ้งคงเป็นเด็กมีมารยาท โดยเฉพาะกับบิดาของเพื่อนร่วมชั้น

เขารับรู้ได้ถึงความอึดอัดใจของอีกฝ่าย และนึกในใจว่าควรเข้าไปกอดเขาดีหรือไม่

“สวัสดีขอรับ พ่อของอาเสวี่ย”

สุดท้ายเขาก็เลือกใช้วิธีจับมือทักทายอีกฝ่าย

อ้อมกอดของเขามีแค่กู้เจียวเท่านั้นที่คู่ควร!

เยี่ยนซานจวินผู้ซึ่งไม่ได้รู้สึกดีขึ้นเท่าใดนัก “…”

จากนั้นองค์หญิงน้อยก็แนะนำบิดาของตนให้กู้เจียวรู้จัก และแนะนำเพื่อนร่วมชั้นกับอาจารย์ของนางให้บิดาได้รู้จักเช่นกัน

เยี่ยนซานจวินเพิ่งรู้ว่าแม่นางคนนี้เป็นอาจารย์ของบุตรสาวตนเอง

“นางสอนอะไรรึ”

สอนวิชาสังหารคนหรืออย่างไร

เพราะเขาเห็นกับตาตอนที่นางยิงธนูสังหารคนของตระกูลหันอย่างเลือดเย็น!

ราวกับมีพรสวรรค์ด้านยิงธนูมาตั้งแต่เกิด!

“สอนขี่ม้าอย่างไรเล่าเพคะ!” องค์หญิงน้อยโวยวาย “ท่านชายเซียวเป็นครูสอนขี่ม้าของหม่อมฉัน!”

เยี่ยนซานจวินได้ยินดังนั้นก็ถอนหายใจโล่งอก ดีนะที่แค่สอนขี่ม้า

กู้เจียว “ไว้ครั้งหน้าจะสอนยิงธนูนะ”

เยี่ยนซานจวินถึงกับสะดุ้งโหยง!

ในหัวเขาปรากฏภาพลูกสาวสุดที่รักกำลังดึงสายธนูออก ก่อนจะปล่อยมือออกและทำให้ลูกธนูพุ่งเข้าใส่หัวของศัตรู ไม่นะ เขาไม่อยากให้ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของเขาเป็นคนป่าเถื่อนแบบนั้น!

จากนั้นเด็กทั้งสองคนก็ออกไปวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน

มีเด็กบางคนไม่ติดพ่อเสียแล้วสิ

เยี่ยนซานจวินเริ่มไปต่อไม่ถูก พลางนึกในใจ เขาแค่ออกไปข้างนอกไม่กี่วัน เหตุใดพอกลับมาอีกทีถึงเริ่มรู้สึกว่านางแทบจะไม่ใช่ลูกสาวของเขาแล้วล่ะ

กู้เจียวหรี่ตามองเยี่ยนซานจวินหนึ่งที ก่อนจะเดินกลับไปที่ห้อง

ขณะที่กำลังเดินผ่านเขาไปนั้น กู้เจียวพยายามยืดอกขึ้น

พร้อมกับส่งสายตาเป็นนัยน์ว่า ตำแหน่งเราเท่ากันแล้วนะ

ซ่างกวานเยี่ยนเองก็ยืดตัวขึ้นตรงขณะที่เดินผ่านเขาไป

เหอะ ตำแหน่งข้าสูงกว่าแล้ว!

นี่สินะที่เขาเรียกกันว่าการยกระดับสถานะของทั้งครอบครัวด้วยตัวคนเดียว

เยี่ยนซานจวินผู้กำลังทำหน้าดำคร่ำเครียด “…”

กู้เจียวไปหาหลงอีก่อนเพื่อดูอาการให้เขา กู้เจียวเคยกำชับกับเขาไว้แล้วว่าห้ามขยับตัวมั่วซั่ว หากเขาถอดผ้าพันแผลออกก็มีโอกาสที่แผลจะติดเชื้อได้สูง ไม่รู้ว่าเขาจะเชื่อฟังในสิ่งที่นางเอ่ยหรือไม่

พอกู้เจียวเข้าไปเห็นสภาพในห้อง ก็ถึงกับต้องกระตุกมุมปากหนึ่งที

หลงอียังคงทำท่าเดิมเหมือนกับตอนก่อนที่กู้เจียวจะออกไป มือข้างหนึ่งเหยียดไปข้างหน้าและอีกมือหนึ่งยกขึ้นสูงแนบที่ด้านข้างศีรษะ ราวกับว่าเขากำลังจะโยนลูกบอล

“ทำอะไรน่ะ หลงอี”

กู้เจียวเดินเข้าไปถาม

หลงอียังคงไม่ขยับตัว แค่กลอกตาไปมา

ราวกับต้องการจะทำให้กู้เจียวเห็นว่า ดูสิ เขาไม่ได้ขยับเลยนะ

กู้เจียว “…”

กู้เจียวยกมือขึ้นมาปิดตาตัวเอง พลางคิด ไม่ได้หมายความแบบนั้นสักหน่อย

เห็นปกติดื้อจะตาย เหตุใดคราวนี้กลับเชื่อฟังเสียได้

กู้เจียวรู้สึกได้ว่าหลงอีกำลังรอคำชมจากนางอยู่

น่าแปลกที่กู้เจียวมองว่าเขากำลังคิดแบบนี้

กู้เจียวมองไปที่ผ้าพันแผลรอบแขนและเอวของเขา และตัดสินใจชมเขา “เก่งมากหลงอี ยอดเยี่ยมมาก…เจ้าเชื่อฟังข้าดีมาก เอาละ ขยับตัวได้แล้ว”

ค้างท่าเดิมนานขนาดนี้ ไม่กลัวตะคริวกินเลยหรือไร

ความคิดของกู้เจียวยังไม่ทันหยุดลง ก็เห็นหลงอีคลายท่าทั้งหมดแล้วรีบหยิบกล่องดินสอถ่านขึ้นมา

หลงอีผู้เชื่อฟังจะต้องได้รับรางวัล ตอนนี้ถึงเวลาวาดเขียนของหลงอีแล้วสิ!

กู้เจียว “…”

เหตุใดถึงรู้สึกเหมือนถูกหลอกอย่างไรอย่างนั้น

ไท่จื่อและแม่นางหันถูกส่งตัวไปยังศาลต้าหลี่ โดยมีหัวหน้าผู้บัญชาการเป็นผู้ไต่สวน

สองแม่ลูกถูกส่งขังคนละห้อง ในตอนแรกไม่มีพวกเขาคนไหนที่ยอมสารภาพเลย แต่หากหัวหน้าผู้บัญชาการไม่รู้วิธีที่จะทำให้พวกเขาเปิดปาก ก็ไม่ควรที่จะได้ขึ้นมานั่งในตำแหน่งนี้

แม้ไท่จื่อเป็นคนแข็งแกร่ง แต่เขาก็มีจุดอ่อนเช่นกัน และจุดอ่อนของเขาก็คือลูกสาวตัวน้อยวัยสองขวบของเขา

เพื่อบังคับให้ไท่จื่อสารภาพ ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่จึงนำตัวลูกสาวเขามาที่นี่ ก่อนจะพาไปยังอีกห้อง

ทันใดนั้น เสียงร้องไห้อาละวาดของเด็กผู้หญิงก็ดังขึ้น ไท่จื่อได้ยินดังนั้นก็เริ่มกระวนกระวาย “พวกเจ้าหยุดเดี๋ยวนี้! นั่นองค์หญิงของแคว้นเยียนเชียวนะ! พวกเจ้าทำแบบนี้กับนางไม่ได้เด็ดขาด!!”

“ท่านก่ออาชญากรรมที่เลวร้ายเช่นนี้ คิดว่ายังสามารถเป็นไท่จื่อต่อได้อีกหรือ อาชญากรรมของท่านร้ายแรงกว่าขององค์หญิงซ่างกวานเยียนมาก พวกท่านเตรียมกลายเป็นสามัญชนได้เลย!”

“เสด็จพ่อ ฮือ ข้ากลัว เสด็จพ่อ ข้ากลัวเหลือเกิน”

เสียงร้องไห้ของเด็กสาวยังคงระงมจนไท่จื่อเริ่มใจเสีย

ดวงตาของเขาแดงก่ำ พร้อมกำหมัดในมือจนแน่น กัดฟันแล้วเอ่ยขึ้น “พวกเจ้าอย่าทำร้ายนาง…ข้ายอมสารภาพแล้ว… ข้าจะเล่าทุกอย่าง!”

ตัดภาพมาที่ห้องข้างๆ กู้เฉิงเฟิงกำลังนวดลำคอของตัวเองที่แทบจะลุกเป็นไฟ

เสียงเด็กนี่เลียนแบบยากที่สุดเลยให้ตาย

อันที่จริงเขาไม่ได้ทำเสียงเหมือนขนาดนั้นเสียทีเดียว

แต่ด้วยความที่มีกำแพงกั้นระหว่างพวกเขา บวกกับความกังวลของไท่จื่อ จึงทำให้ไม่ทันได้สังเกต

และแล้วไท่จื่อก็ยอมสารภาพผิด เหตุการณ์ในวังครั้งนี้แทบไม่เกี่ยวอะไรกับเขาเลย เขาไม่รู้แผนการของตระกูลหัน ความผิดใหญ่ที่สุดของเขาคือเขาปฏิเสธที่จะเชื่อว่าฮ่องเต้เป็นตัวปลอม ซึ่งนั่นไม่ได้ก่อให้เกิดผลเสียหายอย่างร้ายแรงแต่อย่างใด

เขาไม่รู้แม้กระทั่งเรื่องที่ตระกูลหันนำกองทหารมาล้อมและจับฮ่องเต้ตัวจริงไปขังด้วยซ้ำ

อาชญากรรมหลักของเขาคือการใส่ร้ายพระราชนัดดาตัวจริง ซึ่งก็คือเซียวเหิง

ขณะบันทึกปากคำ ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ก็อุทานในใจเพราะไม่คิดว่าเรื่องของพระราชนัดดาจะสลับซับซ้อนขนาดนี้

“พระราชนัดดาตัวจริงอยู่ที่ไหน ตัวตนที่แท้จริงของซ่างกวานชิ่งคือใครกัน” ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่ถาม

“เรื่องนี้พวกเจ้าไปถามซ่างกวานเยี่ยนเองสิ ข้าไม่รู้” ไท่จื่อตอบเบาๆ

ใครมันจะโง่เสียเวลากับพระราชนัดดาตัวปลอมกันล่ะ ส่วนเจ้าเซียวเหิงอะไรนั่น จู่ๆ ก็ดันหายตัวไปจากเซิ่งตู ตามหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอเสียอย่างนั้น!

ผู้บัญชาการศาลต้าหลี่จึงถามต่อ “ท่านบงการใคร คนตระกูลหันรึ”

“…ตระกูลหนานกง” ไท่จื่อตอบพร้อมกับกำหมัดแน่น

ณ จวนกั๋วกง

กู้เจียวถึงกับนอนตะแคงราบลงไปบนโต๊ะอย่างเหนื่อยล้าพร้อมกับถอนหายใจ

หลงอีเองก็อยู่ในช่วงพัก

เขากำลังไปหยิบดินสอมาใหม่

เซียวเหิงเดินเข้าไปในห้องพร้อมถือจานแตงโมและผลไม้ที่เพิ่งปอกใหม่ๆ เมื่อเห็นกู้เจียวนอนพาดบนโต๊ะ จึงเดินเข้าไปบีบพวงแก้มของนาง “เหนื่อยแล้วรึ”

กู้เจียว “เปล่านี่”

แค่เมื่อยมือแล้วเท่านั้น

“กินอะไรก่อนสิ” เซียวเหิงเอ่ย “หวานๆ ไม่เย็นมาก”

กู้เจียวลุกขึ้นนั่งตัวตรง ก่อนจะใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มแตงขึ้นมาหนึ่งชิ้น ทว่าไม่ได้เอาเข้าปากทันที

“มีอะไรรึ” เซียวเหิงถาม

“ข้ากำลังคิดถึงเรื่องที่ข้าเคยฝันถึง” กู้เจียวเอ่ย

“เอ๋ เจ้าฝันเห็นอะไรรึ” เซียวเหิงถามด้วยความสงสัย

กู้เจียวลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจเล่าไปตามจริง “ข้าฝันว่าแม่นางหันยืมมือของฮ่องเต้ตัวปลอมก่อเรื่องขึ้นในวัง ทำให้สิบตระกูลเข่นฆ่ากันเอง แม้แต่ตระกูลหันและตระกูลหนางกงซึ่งแต่เดิมเป็นพวกเดียวกันกับไท่จื่อก็ลุกขึ้นมาต่อสู้กันเองเช่นกัน”

เซียวเหิงมองดูนางนิ่งๆ และเข้าใจว่าเป็นอีกครั้งที่นางฝันเห็นเหตุการณ์ในอนาคต

ไม่แปลกที่นางรู้เรื่องฮ่องเต้ตัวปลอม

คราวก่อนพายุที่จวนผิงเยว่ นางเคยเอ่ยกับเขาแล้วว่าเคยฝันถึงเหตุการณ์นี้ ตอนนั้นเขายังเชื่อไม่สนิทใจอยู่เลย

เซียวเหิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ย “ไท่จื่อต้องการทั้งตระกูลหันและตระกูลหนานกง และเขาต้องคานอำนาจของทั้งสองตระกูลนี้ให้ได้ ทว่าแม่นางหันมักใหญ่ไฝ่สูง กระหายที่จะให้ตระกูลหันเป็นใหญ่ ก็เท่ากับว่าทั้งสองตระกูลอยู่ขั้วตรงข้ามกัน”

กู้เจียวพยักหน้า “ไม่แปลกที่พวกเขาจะตีกัน”

“แล้วสุดท้ายใครชนะ” เซียวเหิงถาม

กู้เจียวส่ายศีรษะ “ไม่มี”

สงครามภายในที่เกิดขึ้น ไม่มีใครได้เป็นผู้ชนะที่แท้จริง แม่นางหันคิดว่าตัวเองคุมสถานการณ์ได้ แต่นางกลับไม่รู้ว่าการตอบโต้ของตระกูลใหญ่นั้นรุนแรงกว่าที่นางจินตนาการไว้มาก

ทุกตระกูลได้รับความสูญเสียอย่างหนัก ตระกูลหันและตระกูลหนานกงซึ่งเป็นสองตระกูลทหารที่ใหญ่ที่สุดได้ต่อสู้อย่างดุเดือด ทำให้พวกแคว้นจิ้นและแคว้นเหลียงใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้และเข้ามาแทรกแซงในที่สุด

ทั้งตระกูลหันและตระกูลหนานกงจะต้องรับผิดชอบในการกระทำของพวกเขา เนื่องจากพวกเขามีศัตรูร่วมกันและไม่มีพลังที่จะต่อสู้ภายใน พวกเขาจึงน่าจะรวมพลังชั่วคราวเพื่อจัดการกับคนนอกก่อน

และแล้ว สิ่งที่กู้เจียวคาดการณ์ไว้ก็เกิดขึ้นในคืนนั้นจริงๆ

ผู้ดูแลเจิ้งคาบข่าวมาบอกในทันทีว่า ตระกูลหันปฏิเสธที่จะมอบเครื่องยศทหาร และพาทหารระดับสูงกลุ่มหนึ่งออกไปทางประตูเมืองทิศประจิม

ต่อมาราวครึ่งชั่วยาม ตระกูลหนานกงก็พากองทัพเดินทางออกนอกเขตเมืองเซิ่งตู

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ละตระกูลใหญ่ได้แทรกซึมคนสนิทของตนจำนวนมากเข้าไปในค่ายทหาร ดังนั้นกองทหารส่วนใหญ่จึงรับคำสั่งจากตระกูลชนชั้นสูงด้วยตนเอง

หลังจากที่ทั้งสองตระกูลหลักต่อสู้เพื่อออกจากเซิ่งตู พวกเขาก็รวบรวมกองกำลังจากค่ายทหารต่างๆ ที่อยู่นอกเมืองเซิ่งตู และมุ่งหน้าเข้าสู่ประตูชายแดนในชั่วข้ามคืน

พวกเขายังมีกองกำลังทหารสมทบที่ชายแดนอีกจำนวนมาก

การที่ไท่จื่อและแม่นางหันถูกจับกุมไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว หากตระกูลหันต้องการอยู่รอด สิ่งที่แย่ที่สุดที่พวกเขาทำได้คือการก่อกบฏ สิ่งที่ตระกูลเซวียนหยวนทำไม่ได้ พวกเขาตระกูลหันจะเป็นผู้สานต่อเอง!

แล้วก็บังเอิญเหลือเกินที่ตระกูลหนานกงคิดแบบนี้เช่นกัน

“สงครามภายในจะต้องเกิดขึ้นอย่างเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ใช่ไหม” กู้เจียวแหงนมองผืนฟ้ามืดที่มีดวงดาวระยิบระยับ

เช่นนั้น แคว้นจิ้นและแคว้นเหลียง…

ในความฝันของกู้เจียว ทั้งสิบตระกูลจะต้องต่อสู้กัน แต่ความเป็นจริงตอนนี้ ทั้งเก้าตระกูลจะต้องร่วมกันโจมตีตระกูลหันและตระกูลหนานกง

กู้เจียวพึมพำกับตัวเอง “หากตระกูลหนานกงและตระกูลหันไม่มีทางไปต่อ พวกเขาจะทำอย่างไร”

เซียวเหิงเงยหน้ามองฟ้า “คงจะเปิดประตูชายแดน เพื่อขับไล่เสือออกไปและกลืนกินหมาป่าแทน”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด