สามีข้าคือขุนนางใหญ่บทที่ 931 บำรุงครรภ์

Now you are reading สามีข้าคือขุนนางใหญ่ Chapter บทที่ 931 บำรุงครรภ์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 931 บำรุงครรภ์

……….

ท่านชายหมิงเย่ว์ย่นคิ้วครั้งแล้วครั้งเล่า ราวกับไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน

“เจ้าจะไม่เล่าก็ได้ พวกเราจะได้ไม่ต้องคืนกระบี่ให้เจ้า” เซียวเหิงเอ่ยดึงกระบี่กลับเข้ามา

“ข้าเล่า ข้าเล่า ข้าเล่า!” ท่านชายหมิงเย่ว์รีบคว้ากระบี่ไว้

“รีบเอ่ยมาสิ เอ่ยดีๆ ไม่งั้นโดนแน่!” กู้เจียวทำเสียงดุใส่

ท่านชายหมิงเย่ว์พยายามข่มอารมณ์ร้อนของตัวเอง เขารู้ดีว่าเอาชนะอีกฝ่ายไม่ได้ จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมโอนอ่อนให้

“พวกเจ้าเคยได้ยินชื่อของเจี้ยนหลูหรือไม่” เขาถาม

กู้เจียวเซียวเหิงพยักหน้าพร้อมกัน

กู้เจียวเคยสู้รบปรบมือกับคนของเจี้ยนหลูอยู่บ้างตอนไปทำสงคราม ทว่าหลังสงครามจบลง แคว้นจิ้นพ่ายแพ้ ก็ไม่ได้ยินข่าวคราวของพวกเจี้ยนหลูอีกเลย

ไม่รู้ว่าจะใช้เจี้ยนหลูเดียวกันหรือไม่

“อาจารย์ของข้าเป็นประมุขแห่งเจี้ยนหลู หรือก็คือผู้นำเจี้ยนหลู ส่วนกระบี่เล่มนี้มีชื่อว่านิลบุหลัน เป็นสมบัติของอาจารย์ ที่ข้าเดินทางมาแคว้นเจาในครั้งนี้เป็นเพราะมีคนทรยศแอบหนีมาที่นี่พร้อมกับกระบี่เล่มนี้ ข้าจึงมาสืบข่าว แต่จู่ๆ กระบี่เล่มนี้ก็ดันถูกนักบวชหน้าไม่อายคนนั้นขโมยไปเสียก่อน”

กู้เจียวนึกขึ้นได้ จึงถามไป “เจ้ากำลังเอ่ยถึงเหลี่ยวเฉินใช่ไหม เขาไม่ได้ขโมยกระบี่ของเจ้า แต่เขาเก็บได้ต่างหาก”

ท่านชายหมิงเย่ว์ยังคงยืนกราน “ข้าไม่เชื่อ”

กู้เจียวหัวเราะแห้ง “เชื่อไม่เชื่อก็เรื่องของเจ้า”

ท่านชายหมิงเย่ว์ถึงกับชะงัก

ไม่มีประโยชน์ที่เขาจะสะกดรอยตามนักบวชคนนั้นต่อ เพราะตอนนี้เขาเจอกระบี่เล่มนี้แล้ว เขาจึงสามารถกลับไปที่เจี้ยนหลูได้แล้ว

กู้เจียวถามอีกครั้ง “เจี้ยนหลูมีกี่เจ้ากันแน่”

ท่านชายหมิงเย่ว์ตอบโดยไม่ลังเลใจ “มีแค่เจ้าเดียว” จากนั้นเขาก็นึกอะไรขึ้นได้ แล้วเอ่ย “แต่ก็มีสำนักเล็กๆ ข้างนอกที่แอบอ้างชื่อของเจี้ยนหลู”

กู้เจียวเอามือลูบคางเรียว พร้อมกับถาม “แล้วเจี้ยนหลูที่ไปมาหาสู่กับราชสำนักแคว้นจิ้นใช่เจี้ยนหลูเดียวกับของเจ้าหรือไม่”

ท่านชายหมิงเย่ว์ทำหน้าตะลึง ก่อนตอบไป “ราชสำนักแคว้นจิ้นรึ อ๋อ อืม จะมองแบบนั้นก็ได้ พวกเขาเป็นหน่วยแยกย่อยออกมาอีกที คนที่มาจากในลัทธิจริงๆ มีแค่สองคนเท่านั้น”

“หมายถึงพิฆาตเวหากับวิญญาณทมิฬใช่ไหม” กู้เจียวถาม

“เจ้ารู้จักพวกเขาด้วยรึ” ท่านชายหมิงเย่ว์ทำหน้าตะลึงอีกครั้ง

กู้เจียวเอ่ยในใจ ยิ่งกว่ารู้จักอีก

ทั้งเคยสู้ด้วยหมัดกับวิญญาณทมิฬ และเคยสู้ด้วยดินสอกับพิฆาตเวหา!

ก็ว่าแล้วเชียวว่าทำไมทั้งสองคนถึงฝีมือเก่งกันมาก เป็นเพราะพวกเขาเป็นลูกศิษย์จริงๆ นั่นเอง ส่วนพวกเจี้ยนหลูที่เจอที่ชายแดนเรียกได้ว่ากระจอกสุดๆ

ท่านชายหมิงเย่ว์ฮึดฮัดก่อนเอ่ย “ในยุทธภพไม่มีใครรู้ว่าเจี้ยนหลูมีการแบ่งเช่นนี้ โชคดีที่พวกเจ้าเจอข้า ไม่เช่นนั้นพวกเจ้าก็คงไม่มีทางรู้ว่าเจี้ยนหลูที่ติดต่อกับแคว้นจิ้นเป็นเพียงสาขาหนึ่งเท่านั้น”

กู้เจียวทำหน้าไม่เข้าใจ “แล้วเหตุใดถึงต้องไปสมรู้ร่วมคิดกับแคว้นจิ้นด้วย”

ท่านชายหมิงเย่ว์หน้าถมึงทึงและเอ่ย “เป็นการติดต่อ ไม่ใช่การสมคบคิด! รายละเอียดข้าไม่รู้ เพราะไม่ได้เป็นหน้าที่ของข้า แต่สองคนนั้นที่เจ้าเพิ่งเอ่ยถึง ตามลำดับผู้อาวุโสแล้ว…บางทีข้าอาจจะต้องเรียกพวกเขาว่าศิษย์พี่”

“ใครแก่กว่ากัน” กู้เจียวถาม

“วิญญาณทมิฬเป็นศิษย์พี่คนโต ส่วนพิฆาตเวหาอายุน้อยสุด…ไม่สิ ตอนนี้ควรเป็นข้าที่อายุน้อยสุด ตอนที่พวกเขาแยกออกไป ข้ายังเด็กอยู่ ยังไม่เคยพบพวกเขา แค่ได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพวกเขาจากปากท่านอาจารย์เท่านั้น”

“เล่าต่อสิ” กู้เจียวพยักหน้า

“สรุปเจ้าจะถามเรื่องกระบี่หรือเรื่องศิษย์พี่กันแน่” ท่านชายหมิงเย่ว์ทำหน้าสงสัย

“ก็ถามทั้งหมดนั่นแหละ เหตุใดพวกเขาถึงต้องแยกออกไปด้วย” กู้เจียวถาม

“เหมือนพวกเขาจะต้องไปฆ่าใครสักคนนี่แหละ”

ซึ่งก็คือเซวียนหยวนฉี ทายาทเงามืดรุ่นสอง

ซึ่งเป็นภารกิจที่ทำให้หลงอีต้องเดินทางมาที่แคว้นเจา

แต่ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นตอนนั้น หลงอีถึงยกเลิกภารกิจของตัวเองไปโดยปริยาย

ทำให้วิญญาณทมิฬต้องมาสานต่องานของเขา และร่วมมือกับพวกราชวงศ์แคว้นจิ้นเพื่อวางแผนลอบฆ่าเซวียนหยวนฉี

“หลงอี…ชักจะคิดถึงหลงอีขึ้นมาแล้วสิ” กู้เจียวเอ่ยเบาๆ

เซียวเหิงกุมมือกู้เจียว

เขาเองก็คิดถึงหลงอีเหมือนกัน

คิดถึงเอามากๆ

ไม่รู้ว่าป่านนี้หลงอีได้พบกับสิ่งที่เขาต้องการแล้วหรือยัง

“ถามเสร็จรึยังพวกเจ้า ถ้าเสร็จก็เอากระบี่คืนข้าได้แล้ว” ท่านชายหมิงเย่ว์ทักท้วง

“ยังไม่ได้” เซียวเหิงตอบ

“พวกเจ้าไม่รักษาสัจจะ!”

เซียวเหิงตอบกลับ “ข้าบอกแล้วว่าจะคืนให้ต่อเมื่อพวกเราพอใจคำตอบของเจ้าแล้ว”

ท่านชายหมิงเย่ว์กัดฟัน “แล้วพวกเจ้ายังไม่พอใจอะไรอีกละ ข้าก็ตอบพวกเจ้าไปหมดแล้ว ไม่ได้ปิดบังอะไรเลยนะ!”

เซียวเหิงตอบหน้าตาย “พวกเราพอใจกับคำตอบของเจ้า และจะพิจารณาว่าจะคืนกระบี่ให้เจ้าดีหรือไม่”

ท่านชายหมิงเย่ว์รู้สึกราวกับกำลังถูกปั่นหัว และเริ่มโมโห

“เจ้าเคยเห็นสิ่งนี้ไหม” เซียวเหิงยื่นภาพที่กู้เจียววาดไว้ให้ดู

เขาเบือนหน้าหนี “เฮอะ! ไยข้าต้องบอกพวกเจ้าด้วย”

เซียวเหิงตอบกลับ “สงสัยเจ้าคงไม่อยากได้กระบี่ของอาจารย์เจ้าคืนแล้วสินะ”

ท่านชายหมิงเย่ว์จ้องเขาอย่างเย็นชา แล้วหันไปมองหน้ากากเขี้ยวในภาพพร้อมเอ่ย “ไม่เคยเห็น”

“เจ้าแน่ใจรึ” เซียวเหิงถามด้วยน้ำเสียงเข้มงวด

“ข้าจะโกหกพวกเจ้าไปเพื่ออะไร ก็แค่หน้ากากอันนึงไม่ใช่เรอะ! ถ้าข้าเคยเห็นข้าก็จะตอบว่าเคยเห็น” ท่านชายหมิงเย่ว์ตอบพร้อมกับถอนหายใจ

เซียวเหิงถามพร้อมกับจ้องเข้าไปในดวงตาของท่านชายหมิงเย่ว์ “เอาละ คำถามสุดท้าย เจี้ยนหลูอยู่ที่ไหน”

เวลาสองเค่อผ่านไป ทหารยามชุดเทาก็ตามหาเจ้านายของเขาจนพบ และเห็นว่าเขาอยู่สภาพหายใจหอบพร้อมกับเอามือพิงกำแพง

“ท่านชายขอรับ! เกิดอะไรขึ้น ไม่เป็นอะไรใช่ไหมขอรับ! ไยท่านชายทิ้งข้าน้อยไว้คนเดียวละขอรับ!” ทหารยามรีบเข้าไปช่วยพยุงนายตัวเองพร้อมกับถามไถ่ด้วยความกังวล

“ไม่มีอะไรหรอก” ท่านชายหมิงเย่ว์ยกมือกุมหน้าอก “ข้าไปเจอท่านโหวน้อยแคว้นเจากับแม่สาวตรอกปี้สุ่ยคนนั้นมา”

“เอ๋ พวกนั้นหรือขอรับ แล้วพวกนั้นได้กลั่นแกล้งอะไรท่านชายหรือไม่ขอรับ” ทหารยามถามต่อ

ท่านชายส่ายศีรษะ “ไม่หรอก แค่ถามคำถามกับข้าเล็กน้อยเกี่ยวกับกระบี่เสวียนเย่ว์ รวมถึงศิษย์พี่อีกสองคน แล้วก็ที่ตั้งของเจี้ยนหลู”

“เหตุใดจู่ๆ พวกนั้นถึงถามเรื่องพวกนี้ขึ้นมาละขอรับ แล้วท่านชายตอบไปว่าอย่างไรขอรับ” ทหารยามชุดเทาถาม

จากนั้นท่านชายก็เหม่อมองไปทางรถม้าที่เคลื่อนตัวออกไป พร้อมกับตอบเบาๆ “ก็ตอบไปบางส่วนน่ะ”

บนรถม้า

กู้เจียวหยิบกระบี่ขึ้นมาพร้อมกับถามเซียวเหิง “เจ้าว่าท่านชายหมิงเย่ว์อะไรนั่นโกหกหรือไม่”

“เขาไม่ได้โกหก เพียงแต่เล่าความจริงไม่หมด” เซียวเหิงตอบ

กู้เจียว “หืม”

“ไม่แปลกหรอก เป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกสำนักย่อมมีความลับ” เซียวเหิงเอ่ย

“แล้วแผนที่ที่เขาวาดขึ้นมานี่ของจริงหรือไม่” กู้เจียวชี้กระดาษที่วางอยู่บนโต๊ะ

เซียวเหิงทำสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนตอบไป “น่าจะจริงนะ อีกอย่าง เขาก็ไม่ได้ดูมีท่าทีปิดบังอะไรตอนที่เขาบอกว่าไม่เคยเห็นหน้ากากนั้นมาก่อน”

พวกเขายังคงไม่รู้อยู่ดีว่าบุคคลในฝันที่สังหารกู้เจียวนั้นเป็นใคร

พวกเขาไม่โดดเดี่ยวเหมือนเมื่อก่อนอีกต่อไป บัดนี้พวกเขามีทั้งกำลังทหารและอำนาจจากราชวงศ์ทั้งสองแคว้นคอยเกื้อหนุน

กู้เจียวส่ายศีรษะ “ข้าไม่ได้กังวล”

เซียวเหิงจับมือของนางแล้วยิ้มให้ “ดีมาก เดี๋ยวเราก็ได้แต่งงานกันแล้ว ไม่ต้องกังวลอะไรอีกต่อไป นั่งสวยๆ เตรียมรอเป็นภรรยาของรองราชเลขาได้เลย”

“ภรรยาของรองราชเลขารึ” กู้เจียวกะพริบตาปริบๆ

เซียวเหิงยกมุมปากขึ้นเบาๆ “ข้าลืมบอกเรื่องนี้กับเจ้าสนิทเลย ราชเลขาหยวนได้เสนอการสอบรองราชเลขาต่อฮ่องเต้เมื่อปีที่แล้ว ฮ่องเต้ก็ทรงเห็นด้วย แต่เนื่องด้วยเหตุผลบางประการ การสอบจึงเลื่อนออกไปหนึ่งปี และจะจัดขึ้นในเดือนหน้า”

“เจ้าไม่อยากเป็นองค์ชายแคว้นเยี่ยนแล้วรึ” กู้เจียวอุทานด้วยความสงสัย

เซียวเหิงหัวเราะ “ฐานะขององค์รัชทายาทเป็นสิ่งที่พ่อแม่ให้มา ตำแหน่งรองราชเลขานั้นเป็นสิ่งที่ข้าได้มาด้วยการสอบเอง”

กู้เจียวเลิกคิ้ว “เอ่ยอย่างกับสอบได้แล้ว ถ้าเกิดพลาดขึ้นมาจะทำอย่างไรล่ะ”

เซียวเหิงหันมาทำตาเยิ้มใส่ภรรยา “ถ้าสอบไม่ผ่าน เชิญภรรยาทำโทษข้าได้ตามสบาย แต่หากข้าสอบได้ เจ้าต้องให้รางวัลข้า”

ฟังก็รู้ว่าไม่ใช่รางวัลธรรมดาๆ แน่นอน

กู้เจียวทำหน้าจริงจังพร้อมเอ่ย “เรื่องวันนี้ยังไม่คิดบัญชีเลยนะ จะก่อหนี้ใหม่อีกแล้วรึ”

เซียวเหิงกุมมือนุ่มของนาง จากนั้นขยับเข้ามาที่ข้างหูและกระซิบด้วยเสียงทุ้มปนแหบแห้ง “เจ้าหมายความว่า พวกเราควรรีบกลับไปคิดบัญชีให้เร็วขึ้นใช่หรือไม่”

กู้เจียว “ข้าเปล่านะ”

เซียวเหิง “ไม่ เจ้าคิดอยู่แน่ๆ”

กู้เจียว “…”

จากนั้นทั้งสองคนกลับมาที่จวนขององค์หญิง พอมาถึงก็เข้าไปทักทายองค์หญิงซิ่นหยางและเซวียนผิงโหว เสร็จก็เข้าไปเล่นกับเจ้าหนูอีอีสักพักหนึ่ง

ดูเหมือนว่ากล้ามเนื้อของเจ้าตัวเล็กเริ่มมีพัฒนาการมากขึ้น สามารถถีบขาไปมาได้แล้ว

องค์หญิงซิ่นหยางถามพวกเขาว่าได้ไปเยี่ยมแม่นางเหยามาแล้วหรือยัง

“ไปเยี่ยมมาแล้ว” เซียวเหิงตอบ

พวกเขาเดินทางไปจวนกั๋วกงตอนช่วงเช้า จากนั้นก็แวะไปที่ตรอกปี้สุ่ยช่วงบ่าย แล้วก็ไปคว้าตัวท่านชายหมิงเย่ว์มาสอบปากคำตอนช่วงเย็น

“ท่านพ่อ ข้ามีเรื่องต้องคุยกับท่าน” เซียวเหิงเอ่ยกับเซวียนผิงโหว “เกี่ยวกับเจี้ยหลู่”

ตอนที่ทำศึกที่ชายแดน เซวียนผิงโหวคือคนที่ปะทะกับพวกเจี้ยนหลูบ่อยสุด แต่ท้ายที่สุด พวกเจี้ยนหลูบางส่วนก็ต้องมาตายด้วยน้ำมือของเขา

“มาที่ห้องหนังสือสิ” เซวียนผิงโหวเดินไขว้มือออกไปอย่างรวดเร็ว

องค์หญิงซิ่นหยางมองเขม่นใส่เขาหนึ่งทีพร้อมบ่นอุบอิบ “นั่นมันห้องหนังสือข้านะ!”

แล้วสองพ่อลูกก็เดินเข้าไปในห้องหนังสือ

อวี้จิ่นถือถ้วยยาที่มีน้ำสีดำเข้ามา แล้วมองกู้เจียวด้วยสายตาที่มีความหมายลึกซึ้ง

“อะไรน่ะ” กู้เจียวสัมผัสได้ถึงความมีพิรุธ

“ดื่มนี่สิ” องค์หญิงเอ่ย

“นี่มัน…” กู้เจียวดมแค่ปราดเดียวก็รู้ได้ถึงวัตถุดิบที่อยู่ในถ้วยยานี้

องค์หญิงซิ่นหยางยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “ยาบำรุงครรภ์ รีบดื่มตอนที่ยังร้อนอยู่ ถ้าเย็นแล้วเดี๋ยวยาจะออกฤทธิ์ไม่ดี”

กู้เจียว “…”

กู้เจียวคิดในใจ ควรบอกดีไหมนะว่านางใช้ถุงยาง

“กลัวขมรึ ถึงไม่กล้าดื่ม” องค์หญิงซิ่นหยางหรี่ตามองกู้เจียว

ดื่มก็ได้ อย่างไรเสียก็ไม่มีเจ้าตัวน้อยอยู่แล้ว

แล้วกู้เจียวก็ดื่มยาจนหยดสุดท้ายในรวดเดียว

……….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด