สายตาที่เหมือนโคลนนั่น กำลังคาดหวังสิ่งใด? (Nigoru Hitomi de Nani wo Negau)ตอนที่37
เจอราร์ด เบเกอร์ปล่อยตัวไปกับความคิดอยู่ในห้องห้องหนึ่งที่แข็งแรงในป้อมปราการซาราเยโว่
” “ผู้กล้าทั้งสาม” ของไครซิท พวกมันอันตรายกว่าที่คิด ไม่คิดเลยว่ากองพันลิกูเรียจะถูกทำลาย”
กองพันลิกูเรียที่มีประสบการณ์การการต่อสู้มากที่สุดที่ซึ่งได้ขัดเกลาฝีมือการต่อสู้ตั้งแต่การรบกับลิเบอริโต้ เป็นหนึ่งในกองกำลังที่มีทหารราบที่มีฝีมือมากทึ่สุดของจักรวรรดิไฮเซิร์ค รอดชีวิตจากสนามรบที่ไม่มีที่สิ้นสุดทั้ง ศึกปิดล้อม ศึกประชันหน้า ศึกตั้งรับ และในตอนนี้ถูกมองว่าเป็นปีกทั้งสองข้างที่สนับสนุนแนวหน้าต่อเฟอร์เรียสร่วมกับกองพันทหารม้าจาฟฟ์
สมบัติชิ้นที่สองที่ยอดเยี่ยมเทียบเท่ากับทองคำหรือแม้กระทั่งกับแร่เงินเวทมนตร์ได้หายไปแล้ว พลังทำลายของศัตรูนั้นถูกประเมินไว้ต่ำเกินไป และคำสั่งถอยทัพก็ล่าช้า ส่งผลให้กองพันลิกูเรียได้มีการต่อสู้ประชิดตัวกับศัตรูที่มากกว่าสองเท่า ผู้บัญชาการกองพันลิกูเรียได้เสียชีวิตลง และบุคลการหลักที่เหลืออยู่บางส่วนก็ถูกบังคับให้ถอยไปแนวหลัง แต่มันยังไม่แล้วเสร็จและการสร้างใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
“แม้ว่าฉันจะเปิดใช้กับดัก แต่มันก็ไม่มีอันไหนี่สามารถจะเบนความสนใจได้ ตามที่คาดไว้ กองพันควรจะเก็บไว้ที่ด้านหลังตั้งแต่แรก”
แม้ว่าเขาจะได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพสงคราม แต่เขาก็ได้อ่านกองทัพศัตรูผิดพลาดและได้สูญเสียกองพันหนึ่งกองพันที่เปรียบได้กับสมบัติ เจอราร์ดอดไม่ได้ที่จะก่นด่าความโง่เขลาของตัวเอง
“ไม่ได้ แม้ว่าจะต้องการให้พวกเขากลับมา แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ มันสายไปแล้ว แต่กระนั้นฉันไม่สามารถยอมแพ้ได้”
เจอราร์ดเปลี่ยนความคิดของเขา แม้ว่าจะเปิดใช้งานกับดัก แต่ถ้าไม่มีใครสามารถรักษาชั้นสุดท้ายรูปตัว U ไว้ได้ ก็จะไม่สามารถผลักศัตรูออกไปได้ และการลอบสังหารVIPก็จำเป็นต้องมีหน่วยพลีชีพ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ได้ที่จะทำ นอกนั้นผลลัพธ์ก็ไม่ได้รับประกันอีกด้วย แต่เมื่อพิจารณาถึงเวลาการถอยแล้ว ดีที่สุดมันก็ได้แค่รบกวนเวลานอนของทหารข้าศึกและเสียอาหารเช้าบางส่วนเท่านั้น
“ตามแผนสองแล้ว ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำให้พวกมันเสียเลือดในปราการซาราเยโว่ให้ได้มากที่สุด และทุ่มกองทัพชะลอข้าศึกด้วยกลยุทธ์แผ่นดินไหม้เกรียมในดินแดนไมยาร์ดสินะ”
ถ้าเป็นแบบนั้น สถานะของเจอราร์ดก็จะถูกริบโดยรัฐสภา
“ในระหว่างที่จักวรรดิกำลังถูกทำลาย บางทีฉันควรจะซ่อนตัวอยู่ในชนบทหรือเปล่านะ? แน่ใจเลยว่าฉันจะเบื่อและผิดหวังแทบตาย”
คำถามคือศัตรูจะหยุดที่ไหน แน่นอนว่าทุกประเทศในพันธมิตรสี่ดินแดนเป็นประเทศที่ดีทั้งในและนองประเทศ แต่สำหรับเจอราร์ดมันเป็นเหมือนเรื่องตลก บนพื้นผิวความสัมพันธ์อาจดูดี แต่เบื้องหลัง ความขัดแย้งได้เริ่มต้นขึ้น เดิมพันด้วยผลประโยชน์ การต่อสู้เพื่อเป็นผู้นำและตำแหน่งในพันธมิตร
“สิ่งที่ไมยาร์ดจะทำก็เดาได้ง่ายๆ ปัญหาคือพวกมันจะพยายามเอาดินแดนคืนกลับมามากแค่ไหน”
ชี้ตามแผนที่ด้วยนิ้ว นายพลเฒ่าครุ่นคิด เขาพ่นควันสีม่วงออกมาและทิ้งขี้เท้าไว้ หน้าต่างสั่นเล็กน้อยขณะที่เขาเอื้อมมือไปที่ตะเกียงเพื่อจุดมวนใหม่
“เกิดอะไรขึ้นกัน?”
“กระผมจะออกไปตรวจดู”
เจอราร์ดห้ามผู้ดูแลที่จะออกจากห้อง
“ไม่ ฉันจะไปดูเอง”
เจอร์าร์ดออกจากห้องของเขาและมุ่งหน้าไปยังห้องที่เสนาธิการรออยู่กับคนใช้ของเขา
“เกิดอะไรขึ้น”
เจอราร์ดเข้ามาในห้องและทักเสนาธิการที่อยู่ใกล้ที่สุด เห็นได้ชัดจากบรรยากาศของห้องว่ามีบางอย่างที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
“เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ที่ค่ายของเฟอร์เรียสในชั้นที่ 3 และชั้นที่ 6 ที่ซึ่งต่อมาถูกตั้งเป็นค่ายหลักของพันธมิตรสี่ดินแดนและก็กำลังเกิดไฟไหม้ครับท่าน”
“ไฟไหม้? น้ำดำของลิเบอริโต้ถูกบางคนจุดเรอะ?”
กองพันทหารราบนั้นอยู่ติดกับชั้นสุดท้ายรูปตัว U แต่เจอราร์ดไม่ได้สั่งให้พวกเขาดำเนินการใดๆในตอนกลางคืน เขาไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นอุบัติเหตุหรือเป็นการอำพรางบางสิ่ง
“เตรียมกองทัพทั้งหมดให้พร้อมสำหรับการสู้รบ รวมถึงกำลังสำรองด้วย กองพันของจาฟฟ์ก็ด้วย”
“ท่านกำลังจะไปไหนน่ะครับ!?”
“ฉันต้องดูจากที่ที่ดีกว่านี้ ฉันจะไปที่เชิงเทิน”
เจอราร์ดข้ามบันไดหินสองหรือสามก้าว วิ่งขึ้นไปบนเชิงเทิน ทิ้งทหารยามที่ตกตะลึงไว้ข้างหลัง เขาเข้าไปในหอคอยและเอนตัวออกจากช่องยิงธนูด้านบน ค่ายของข้าศึกกำลังถูกไฟไหม้อยู่อย่างแน่นอน นอกจากนี้มันยังครอบคลุมเป็นวงกว้างตั้งแต่ชั้นที่ 3 จนถึงชั้นที่ 6 ที่กับดักติดตั้งไว้ เสียงกรีดร้องที่ดังก้องเข้ามาในหูจะต้องเป็นเสียงของข้าศึกในค่าย แต่เหนือสิ่งอื่นใด มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เจอราร์ดระทึกใจ นั่นก็คือเปลวเพลิงสีฟ้า
“ฮะฮ่าๆ พวกมันกำลังมอดไหม้ เปลวเพลิงสีฟ้านั่นต้องเป็น《เพลิงปีศาจ》ของวอล์มจากหน่วยดูเวยแน่!!”
เจอราร์ดบอกกับเสนาธิการที่ตามมาทัน
“ได้เวลาออรบแล้ว!! ฉันจะใช้กับดัก มาระดมกำลังสำรองกันเถอะ ศึกครั้งนี้จะเป็นการชี้ขาด!!”
“ทะ ท่าน!?”
ตบไหล่ของเสนาธิการที่ตกตะลึง แล้วเจอราร์ดก็ตะโกน
“หลบไปเดี๋ยวนี้!! ความรวดเร็วจะไม่มีวันทรยศเรา พวกนายได้เรียนอะไรมาจากโรงเรียนทหารบ้าง!? เวลาจะตัดสินทุกอย่าง งั้นก็วิ่งซะ!! เดี๋ยวนี้! วิ่ง!!”
เชิงเทินล้อมรอบไปด้วยความกระฉับกระเฉง เสนาธิการกลิ้งลงบนไดและส่งผู้ส่งสารไปยังแต่ละกองพัน
◆
เอวของวอล์มได้รับบาดเจ็บ มันถูกแทง ความรู้สึกของนิ้วก็ได้หายไปเช่นกัน ขณะที่เขาวิ่งต่อไป ขาของเขาก็กรีดร้อง ในขณะที่เขายังคงสูญเสียเลือดและมานาอย่างต่อเนื่อง วิสัยทัศน์ของเขาก็เริ่มบิดเบือน
เหตุผลที่เขาเริ่มต้นสิ่งเหล่านี้ก็คือตัวเขาเอง ตัวเขาที่ซึ่งเต็มไปด้วยเหตุผลและศีลธรรมจากโลกสมัยใหม่ ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอารมณ์ การตายของเพื่อนพ้องทำให้เขากระจายความตายไปรอบๆอย่างไร้ความหมาย
มั่นใจเลยว่าพวกนั้นต้องกำลังหัวเราะจากในนรกแน่เลย
วอล์มไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเยาะเย้ยตัวเอง ทหารผู้ใช้เวทมนตร์คนหนึ่งของจักรวรรดิไฮเซิร์คที่นับว่าตายไปแล้ว กำลังโจมตีทหารข้าศึกที่กำลังหลบใหลจากด้านหลังก่อนการโจมตีครั้งใหญ่ วอล์มผู้ซึ่งยังคงต่อสู้ด้วยการกระทำที่ไร้ความหมายไม่ได้ยินเสียงเชียร์จากเชิงเทินในเวลานั้น
เมื่อวอล์มฟาดฮาลเบิร์ดใส่ทหารที่ยืนขวางทางอยู่ ทหารก็ทรุดตัวลงเหมือนหุ่นเชิดที่ด้ายขาดโดยไม่ส่งเสียงใดๆ วอล์มก้าวต่อไปโดยไม่ชำเลืองมอง เป็าหมายของเขาคือการไปยังที่ที่มีเสบียงจำนวนมาก ท้ายที่สุดแล้ว ในโกดังมีแต่ของที่ติดไฟได้อย่างดี มันจะเป็นกองไฟที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน แม้ว่าจะถูกปล้นไป แต่ก็ยังใช่้ได้ พันธมิตสี่ดินแดนจะใช้สิ่งที่เหลือตามความเหมาะสม
ทหารสองคนกระโจนเข้ามา เขาไม่สามารถขยับนิ้วซ้ายได้อย่างเหมาะสม วอล์มขยับฮาลเบิร์ดของเขาด้วยเพียงฝ่ามือเท่านั้นและพุ่งเขาหาคออย่างรุนแรง ปลายฮาลเบิร์ดถูกหลบได้ ด้านซ้ายของฮาลเบิร์ดที่เป็นขวาน และด้านขวาที่ใบมีดรูปเคียว แม้ว่าทหารจะเลี่ยงส่วนปลายได้ แต่ทหารก็ไม่สามารถเลี่ยงใบมีดรูปเคียวได้
ตัดคอและพันรอบด้านขวาของทหาร เหลือเพียงอีกคนเดียว ทหารที่เหลืออยู่พยายามวิ่งเข้าหาวอล์มด้วยความโกรธ แต่ในขณะที่วอล์มและศพของทหารที่ตายลงผสานกัน ปลายหอกของทหารที่กำลังตายไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ และส่งผลให้ทหารทรุดตัวลงกับพื้นหลังจากส่งเสียงครวญครางเล็กน้อย
วอล์มวิ่งต่อไปพร้อมกับเสียงน้ำเดือดบนหลังของเขา (bubbling water )
ในเวลาสั้นๆนี้วอล์มรู้สึกได้ถึงพัฒนาการของเขา เขามีตาที่เป็นโคลนที่ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ แต่เขาไม่รู้สึกพิการ แต่เขากับรู้สึกว่าประสาทสัมผัสทั้งหกนั้นเฉียบคมขึ้น
ทหารจำนวนมากคอยคุ้มกันที่มุมหนึ่งของโกดัง ทหารจากหลายประเทศอยู่ที่นั่น
“อย่าปล่อยให้มันเข้ามาได้!!”
หนึ่งให้เหล่าทหารตะโกนออกมา บางทีอาจเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจหรือสร้างแรงผลักดันให้ตัวเขาเอง แต่สำหรับวอล์มแล้ว มันเป็นข่าวดี
“ความถี่ในการใช้《เพลิงปีศาจ》ของมันน้อยลงแล้ว ล้อมมันไว้ ทำให้มันหมดแรง!!”
มี่ทหารที่ใช้หัวคิด ความคิดของทหารที่ให้คำสั่งนั้นโดยทั่วไปถูกต้องแล้ว แต่ก็ยังมีข้อผิดพลาด ระหว่างทาง วอล์มไม่ได้ใช้ทักษะเพื่อเก็บมานาของเขาไว้ เพื่อตอนที่เขาได้เจอกับ “ผู้กล้าทั้งสาม” และภาคีอัศวินเรฮาเซน เขายังมีมานาและแรงเหลืออยู่เพราะเขาไม่ต้องควบคุมทักษะ
วอล์มเตรียมพร้อมและเปิดใช้งาน《เพลิงปีศาจ》ลมร้อมได้พัดออกมาและเพลิงสีฟ้าก็ลุกออกมาจากร่าง
วอล์มรู้ได้รางๆว่าไม่มีสหายที่ต้องปกป้องหรือโล่คุ้มกัน มีเพียงทหารข้าศึกที่จะต้องฆ่าเท่านั้น ดังนั้นจึงคิดว่าการใช้ทักษะโดยไม่ต้องคิดในแดนข้าศึกนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าเพื่อตั้งรับ
“พ《เพลิงปีศาจ》อ๊ากกกก!!”
“วะ วิ่ง――อากก!!”
“หลบเร็วเข้า!! ออกห่างให้ว้ายยย!!”
ทหารที่มีประสบการณ์พบเจอได้ละทิ้งทุกสิ่งในขณะที่เพลิงสีฟ้าประทุออกมาจากร่าง บรรดาผู้ที่เลือกการต่อสู้และพวกที่ตอบสนองช้าถูกเพลิงสีฟ้ากลืนกิน
วอล์มค่อยๆเดินผ่านไป ในท้ายที่สุดแล้วทั้ง”ผู้กล้าทั้งสาม”ที่สร้างผาดแผลร้ายแรงให้วอล์มและฆ่าคนในหน่วย หรือกองกำลังหลักของภาคีอัศวินเรฮาเซนก็ไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าเขา
วอล์มไม่รู้ว่าค่ายได้ถูกเผาทำลายลงและทหารและอัศวินก็เข้าไปมีส่วนร่วมอย่างมากจนไม่สามารถรวมพลได้ในเวลาอันสั้น
วอล์มเปิดมุมหนึ่งของโกดังเสบียงที่ลุกไหม้ กลิ่นหอมไหลทะลุจมูกของเขาในทันที สำหรับวอล์มที่ซึ่งอยู่ในภาวะขาดอากาศหายใจและไม่ได้กินอะไรเลยเป็นเวลาเกือบสัปดาห์แล้ว
ถ้าไม่มีกลิ่นของความตายล่ะก็…
“ฉันควรจะต้องเปลี่ยนชุดดีไหมนะ”
กองไฟนี่ ก็น่าจะพอแล้วที่จะนำทางพวกเขาไปสู่ยมโลก
วอล์มลากศพหนึ่งที่เขาฆ่าเข้าไปในโกดังและถอดเครื่องสวมใส่ออก เขาคิดว่ามันจะถูกมองออกได้อย่างรวดเร็วถ้าหากใส่เครื่องสวมใส่ของทหารไครซิทที่ซึ่งเป็นศัตรู วอล์มเลือกทหารเฟอร์เรียสเนื่องจากเขาค่อนข้างคุ้นเคยกับพฤติกรรมของพวกเขา เขาคุ้นเคยกับพฤติกรรมของทหารลิเบอริโต้เช่นกัน แต่เขาได้พูดคุยกับเชลยศึกของเฟอร์เรียสมากกว่า แล้วก็เพราะการเรียกรวมพลฉุกเฉิน ดังนั้นกองทัพจึงมีอาสาสมัครจำนวนมาก มันจึงง่ายกว่าที่จะเนียนเข้าไป
ช่างน่าเศร้า ที่เป็นเขาที่ทำให้ทหารเฟอร์เรียสนี้ตายและสวมเครื่องสวมใส่ของเขาและโยนเขาไปในโกดังที่ลุกไหม้ วอล์มกังวลว่าจะทำยังไงดีกับหน้ากาก แต่หน้ากากนั้นสั่นอย่างรุนแรง เขาจึงเลิกที่จะโยนมันทิ้ง
โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นหน้ากากที่ไม่มีชีวิต แต่ถ้าฉันทิ้งมันไปอย่างไม่ระวังล่ะก็ ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
วอล์มเก็บหน้ากากใส่กระเป๋าแล้วย้ายออกจากโกดังพร้อมกับเครื่องสวมใส่ที่หยิบมาแล้วเลียนแบบผู้บาดเจ็บ ท้ายที่สุดแล้ว วอล์มเองก็ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง เขาจัดนิ้วที่หักให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีและระงับบาดแผลที่เลือดออกด้วยการจี้ด้วยไฟ
ตอนนี้วอล์มดูเหมือนทหารที่ได้ถูกลอบโจมตี เขาจะดูไม่เหมือนกับปีศาจที่อาละวาดแล้ว เขานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของกำแพงดินเหนียว ปะปนอยู่กับคนตายและคนที่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง เขาได้กลายเป็นหนึ่งในทหารเฟอร์เรียสที่ได้รับบาดแผลเผาไหม้
“เวรเอ้ย ไอ้ไฟนั่น..พาผู้บาดเจ็บไปที่ศูนย์แพทย์ซะ!!”
“อย่าคลายระวังลง โกดังและฐานบัญชาการได้ถูกโจมตีไปแล้ว”
“เอาล่ะ ลุกขึ้นเร็วไม่งั้นโดนไฟคลอกเอา”
ทหารเฟอร์เรียสคนหนึ่งจับไหล่ของวอล์มแล้วยืนขึ้น
“อาการบาดเจ็บแย่มากจริง เดี๋ยวฉันจะพานายไปที่ศูนย์แพทย์เอง ที่นั่นปลอดภัยมากเลยล่ะ”
มันเป็นข้อเสนอที่วอล์มคาดไม่ถึง ในแดนที่ยังคงลุกไหม้อย่างต่อเนื่อง การค้นหาผู้ใช้《เพลิงปีศาจ》ยังคงดำเนินอยู่ในขณะที่ทหารส่วนใหญ่ดับไฟ หากเป็นทหารเฟอร์เรียสที่ได้รับบาดเจ็บแล้วล่ะก็ มันจะง่าสำหรับวอล์มที่จะได้รับการรักษาและหลบหนีอย่างง่ายดาย
วอล์มถูกแบกไปที่ศูนย์แพทย์
เมื่อวอล์มได้มาถึงศูนย์แพทย์ มีผู้ได้รับบาดเจ็บนับไม่ถ้วนมารวมกัยภายใต้เต็นท์ ไม่ใช่แค่คนที่ได้รับบาดเจ็บจากวอล์มเท่านั้น บางคนนั้นได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับจักรวรรดิไฮเซิร์คของในแต่ละวัน
“ท่านนักเวทย์รักษา ชายคนนี้เขาได้รับบาดเจ็บร้ายแรง”
“เป็นบาดแผลร้ายแรงจริงๆ แต่ก็ยังไม่สายเกินไป โปรดแบกเขามาด้วย”
ที่ปลายทาง มีกลิ่นของสมุนไพรแพทย์ผสมกับกลิ่นแห่งความตายที่อาจทำให้คนต้องร้องให้และอาเจียน
“กรุณาวางเขาไว้ตรงนั้น”
ทหารที่แบกวอล์มมาได้กลับไปที่ค่ายที่กำลังลุกไหม้อยู่ในทันที อาจไปเพื่อดับไฟหรืออาจไปเพื่อนำผู้บาดเจ็บมาอีก
มีคนกำลังจะตายประมาณ 20 คนเข้าแถวอยู่และทุกคนนั้นถูกเผาอย่างรุนแรง พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าคนร้ายนั้นจะเข้าแถวอยู่เคียงข้างพวกเขา มันเป็นภาพที่ช่างน่าขัน
วอล์มผ่อนคลายลง และมุ่งสติของเขาไปที่โต๊ะผ่าตัด นักเวทย์รักษาได้ตัดเสื้อผ้าออกและทำความสะอาดบาดแผลด้วยมืออย่างเชี่ยวชาญ สิ่งที่น่าทึ่งคือมานาและความสามารถในการรักษาของนักเวทย์รักษาที่รักษาบาดแผล
ความเร็วในการรักษาก็น่าทึ่งเช่นกัน ผิวหนังและเส้นเลือดที่ขาดมากมายถูกเชื้อมเข้าด้วยกันและสร้างขึ้นมาใหม่ นักเวทย์รักษานั้นอายุยังน้อยอยู่และดูเหมือนวัยรุ่นตอนปลาย เธอมีผมยาวถูกมัดซุกไว้ในฮูด เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว วอล์มมั่นใจว่าหญิงสาวคนนี้จะต้องเป็นคนสุดท้ายใน”ผู้กล้าทั้งสาม”ของไครซิท หญิงสาวคนนี้อาจเป็นคนที่มาจากโลกก่อนของเขา เขารู้ได้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้วอล์มมีความสุข เพราะตอนนี้พวกเขาเป็น”ศัตรู”ที่กำลังเข่นฆ่ากันอยู่ ถ้าเขาโง่และหลงไหลไปกับความรู้สึกมีความสุข มันอาจจบลงด้วยการที่หัวของเขาต้องกลิ้งลงกับพื้น
“ท่านอายาเนะ ผู้บาดเจ็บรายต่อไปมาแล้ว”
ถึงคราวของวอล์มแล้ว เขาถูกวางลงบนโต๊ะผ่าตัด เกราะและเสื้อผ้าของเขาถูกถอดออกอย่างน่าอาย
“มีรอยฟกช้ำตามร่างกาย มีแผลไหม้และแผลที่หน้าท้องด้านขวา ซี่โครงหักสามซี่และนิ้วซ้ายทั้งหมดหัก”
ผู้หญิงคนนี้อาจเป็นผู้ช่วย เธอตรวจสอบบาดแผลของวอล์ม
“จะเริ่มแล้ว”
หญิงสาวพูดออกมาเช่นนั้นและวางมือของเธอเหนือบาดแผลของวอล์มด้วยท่าทางจริงจัง มันรู้สึกอบอุ่นกว่าเวทมนตร์รักษาที่เขาเคยพบ และความเจ็บปวดก็บรรเทาลงอย่างรวดเร็ว
เห็นด้วยเลยกับเวทย์รักษาแบบนี้ ทหารจะสามารถกระโจนกลับเข้าสู่สนามรบได้โดยไม่ลัง เธอเป็นอุปสรรคที่ต้องกำจัดเพื่อจักรวรรดิไฮเซิร์ค
แต่อย่างไรก็ตาม วอล์มนั้นไม่ได้เป็นอะไรไปนอกซะจากทหารที่ได้รับบาดเจ็บ และเขาก็ไม่ได้รับคำสั่งให้ฆ่าเธอเช่นกัน ตอนนี้เขาเป็นเพียงผู้ได้บาดเจ็บที่กำลังได้รับการรักษา ถ้าเขาทำร้ายเธอตอนนี้ เขาอาจต้องเสียชีวิตที่พยายามมาอย่างยากลำบาก เขาต้องการเลี่ยงการกระทำที่เสี่ยงเช่นนั้น หากสถานการณ์เอื้ออำรวยเขาต้องการตอบแทนเธอสำหรับการรักษาบาดแผลของเขาถ้าทำได้
“ขอบคุณครับ ท่านนักเวทย์รักษา ร่างกายรู้สึกเบาราวกับบาดแผลเมื่อกี้เป็นเรื่องตลกเลย”
“ฉันดีใจนะที่ได้ยินเช่นนั้นนะ”
หลังจากได้การรักษาไม่ถึง 10 นาที วอล์มก็ขอบคุณหญิงสาวจากก้นบึ้งของหัวใจ เธอหัวเราะเล็กน้อยเช่นสาวขี้อาย แล้วก็ทำความสะอาดโต๊ะผ่าตัดและวางผู้บาดเจ็บรายต่อไปในทันที วอล์มออกจากห้องรักษาและมุ่งหน้าไปยังมุมหนึ่งทึ่มีผู้บาดเจ็บจำนวนมากรวมตัวกันอยู่
“…จิส์”
วอล์มส่งเสียงออกมาเบาๆ อัศวินหญิงที่เคยสู้ด้วยมาก่อนและ”ผู้กล้าทั้งสาม”คนที่เหลือได้มาที่ศูนย์แพทย์
“ดี ดูเหมือนผู้ใช้《เพลิงปีศาจ》จะไม่ได้มาที่นี่”
“พอฉันได้ยินว่าโจฮานน่าได้รับบาดเจ็บ หัวใจแทบวายเลยนะ”
“ถ้าฉันไม่พลาดล่ะก็ ความเสียหายคงไม่ขนาดนี้”
“มันเป็นการโจมตีที่ไม่าดฝัน มันไม่ได้เป็นเพราะโจฮานน่าซังหรอกครับ”
เด็กหนุ่มผมดำปลอบอัศวินหญิง
แค่พูดไปเรื่อยสินะ…
ด้วยความหวังเช่นนั้น วอล์มจึงเดินต่อไป
“แต่ถึงจะได้รับบาดเจ็บมากขนาดนั้น แต่มันกับยังมีชีวิตอยู่ ฉันคิดไม่ถึงเลย”
ระยะห่างเหลืออีกประมาณห้าก้าว เหงื่อเย็นไหลออกจากหน้าผากของวอล์ม
“โกดังถูกไฟไหม้เละไม่มีวี่แววว่าจะดับลงในเร็วๆนี้ ความมืดได้ช่วยให้มันซ่อนตัวได้อีก”
วอล์มผ่านกลุ่มนั้นไปได้ เขาเอาแต่บอกกับตัวเองในใจว่าอย่างได้เร่งเดินอย่างกะทันหัน
“หืม?”
“มีอะไรเหรอ?ครับ”
“ฉันเห็นทหารที่ดูคุ้นเคยยังไงก็ไม่รู้ แต่ฉันไม่ได้รู้จักใครในกองทหารเฟอร์เรียสสักคน”
“บางทีอาจเป็นแค่คนที่ดูเหมือนคนรู้จักหรือเปล่า?”
“อาจเป็นอย่างนั้น”
“นาย ทหารเฟอร์เรียสคนนั้นน่ะ เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า?”
แน่นอนว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้นสินะ…
วอล์มดูจะเกลียดชะตากรรมที่เกิดกับเขา เมื่อคิดว่าเขาได้ยินเสียงนี้แล้ว เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลายเป็นเหมือนทหารที่แตกพ่าย
“…บางทีฉันอาจอยู่ในสายตาของคุณเมื่อตอนบุกโจมตีชั้น”
ได้บินเสียงแย่ๆของตัวเองแล้ววอล์มก็อยากจะเยาะเย้ยตัวเอง แต่เขาก็ไม่ได้โกหก
“อืม ฉันได้บุกโจมตีบางชั้นกับทหารเฟอร์เรียส ฉันน่าจะเคยเห็นนายที่นั่น ว่าแต่ นายปิดตาข้างหนึ่ง เกิดอะไรขึ้น?”
“เป็นเพราะเวทมนตร์ของศัตรูน่ะ”
“ช่างโชคร้ายจริงๆ แต่ก็ยังดีที่หัวยังอยู่ ดูโชคจะอยู่ข้างนายนะ”
“ครับ ขอบคุณมาก”
“ขอโทษด้วยที่จู่ๆก็หยุดไว้”
“ไม่ ฉันยินดีที่ได้มีโอกาศพูดคุยกับอัศวินแห่งไครซิท”
วอล์มพยายามสงบอารมณ์ไว้และก้าวไปข้างหน้า โดยคิดว่าครั้งนี้เขานั้นทำได้ดีแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำต่อจากนี้คือหลบหนีเมื่อพบช่องโหว่
” “ผู้กล้าทั้งสาม”อยู่ไหนกัน!!?”
ทหารผู้ส่งสารกระโจนเข้ามาในศูนย์แพทย์และเรียกหา”ผู้กล้าทั้งสาม” โดยไม่แม้แต่มองไปที่วอล์ม
“ตรงนี้”
“อา ท่านโจฮานน่าก็อยู่ด้วย!!? สารคือจะต้องไปช่วยท่านแกรนโดยทันที ตอนนี้มีทหารไฮเซิร์คมากมายอยู่ในชั้นแล้ว!!”
“แนวหน้าเอาไม่อยู่อย่างงั้นเหรอ!?”
วอล์มจดจ่อกับหูของเขา จากที่เขาเข้าใจ มันเกี่ยวกับทหารไฮเซิร์คที่ควรจะละทิ้งชั้นไปแล้วและเหลือเพียงชั้นสุดท้าย
“ดูเหมือนศัตรูจะใช้โอกาศนี้เพื่อโจมตีกลับ พวกมันบุกออกมาจากอุโมงค์ใต้ดิน แม้กระทั่งที่ชั้นสุดท้าย กองพันทหารม้าจาฟฟ์ก็เริ่มโต้กลับ ขณะนี้มีผู้บุกรุกหลายร้อยคนจากอุโมงค์ แต่ดูเหมือนการบุกจะไม่หยุดลงเลย ท่านแกรนต้องการทำลายทางเข้าด้วยเวทมนตร์”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นวอล์มก็นึกขึ้นได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่เขาสงสัยว่าทำไมเนินที่ชั้นที่ 6 ถึงสูงจังและดินที่ใช้สร้างไปเอามาจากไหน วอล์มนั้นมีประสบการณ์ในการขุดดิน อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ทั้งหมดของเขาในการขุดคูน้ำเปล่าๆ สนามเพลาะ และรูแมงมุม เขาคิดว่ามันไม่เพียงพอที่จะสร้างเนินที่สูงขนาดนั้น วอล์มคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะมาจากการสร้างอุโมงค์ใต้ดิน (spider hole)
วอล์มคงจะต้องรับการปรากกฏตัวของกองทัพพัทธมิตรด้วยการกระโดน แต่โชคชะตาช่างเลวร้าย เขาเข้าใจดีว่าผู้คนที่อยู่ใกล้ๆเขามีพลังในการทำลายทางเข้า
วอล์มกำลังขัดแย้งในความคิด หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้ทำอะไร ทหารหลายร้อยคนจะถูกฆ่า
ฉันควรให้ความสำคัญกับชีวิตเองก่อนดีไหม?
“เข้าใจแล้ว ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
――วอล์มตั้งใจจะบอกตัวเองว่าเขาทำงานหนักมามากพอแล้ว เขาทำหน้าที่ของเขาได้สำเร็จแล้ว แต่เขากลับเปิดปากออกมาโดยธรรมชาติ
“ขอโทษนะ?”
วอล์มคิดว่าเขาเองนั้นช่างเป็นคนที่โง่เขลา แต่ถ้าเขาไม่ทำอย่างนี้ที่นี่ เขาจะไม่สามารถเรียกตัวเองว่าทหารได้
“อะไรกัน? ตอนนี้มันไม่ใช่――”
อัศวินหญิงเปลี่ยนสายตาที่เบาบางของเธอและมองมาที่วอล์มอย่างเฉียบคม
“นาย เกิดอะไรขึ้นกับตาของนาย? เสียงก็ด้วย?”
วอล์มเปลี่ยนเสียงที่แย่ๆของเขากลับและลืมตาโคลนของเขา
“ก็ไม่มีอะไรมาก ฉันแค่สงสัยว่าฉันจะสามารถจับนักเวทย์รักษาและผู้บาดเจ็บเป็นตัวประกันได้ไหมแค่นั้นเอง”
“โจฮานน่าซัง คนคนนั้นมัน!”
ยูโตะได้สังเกตเห็นแและพยายามตั้งท่า
วอล์มเปลี่ยนน้ำเสียงและตะโกน
“อย่าขยับ!! หากนายชักออกมาล่ะก็ ที่รอบๆนี้ทั้งหมดจะปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงสีฟ้า”
สายตาทั้งหมดในศูนย์แพทย์มุ่งตรงมาที่วอล์มด้วยจิตสังหาร
“แกมันผู้ใช้《เพลิงปีศาต》กล้าขนาดมาจับตัวประกันในที่โล่งๆนี่เลยเรอะ?”
โจฮานน่าประณามวอล์มที่เผยคมเขี้ยวของเขาในวงกว้าง
“ก็อย่างที่เดาได้”
วอล์มสงสัยว่าเขาควรจะโจมตีพวกเขาด้วยการโจมตีทีเผลอหรือไม่ แต่ไม่ต้องคิดเลยว่ามานาของเขาจะหมดลงอย่างรวดเร็วหากเขาใช้《เพลิงปีศาจ》ในกรณีนั้น มีอัศวันที่ยอดเยี่ยมและ”ผู้กล้าทั้งสาม”ที่มีมานาจำนวนมากและแม้ว่าทหารจะถูกกำจัดออกไปแล้วก็ตาม ก็ไม่มั่นใจว่าเขาจะสามารมล้มพวกเขาในสถานการณ์แบบนั้นได้ไหม
อย่างไรก็ตาม หากเขาพูดกว้างๆว่าเขาจับเป็นตัวประกัน การเคลื่อนไหวก็จะถูกตัดสินโดยธรรมชาติ วอล์มถูกล้อม แต่เขาไม่ได้ตั้งใจให้ศัตรูเริ่มก่อน
“ทำไมเธอไม่เงียบสักแปปล่ะ ฉันไม่ต้องการเผาผู้บาดเจ็บที่ไม่ต่อต้านและนักเวทย์รักษาที่รักษาแผลของฉันหรอกนะ”
วอล์มพูดความจริง ในฐานะทหารวอล์มไม่มีเจตนาที่จะฆ่าคนเพียงคุ่นเคือง แต่ในสนามรบนั้นเป้าหมายมุ่งไปที่คนที่มีความคุ่นเคืองหรือญาติสนิทของบุคลนั้น…เขาไม่ต้องการที่จะยอมรับมัน แต่แน่นอนเขาคิดว่ามันจะเกิดขึ้น มันไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ล้างแค้นให้กับสหายของเขา เขาแค่คิดว่าการฆ่าพวกเขาเมื่อสถานการณืเป็นแบบนี้นั้นดีที่สุด
“แกมันคนขี้คลาด”
ได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มที่ชื่อยูโตะ วอล์มรู้สึกได้ถึงความโกรธของเด็กหนุ่มที่เพิ่มขึ้น แต่เขาไม่ต้องการให้มีการถกเถียงที่นี่ โจฮานน่าพยายามยั่วยุวอล์มที่เฉยเมยต่อพวกเขา
“แกคิดว่าเราไม่สามารถทน《เพลิงปีศาจ》ได้หรือไง”
“แน่นอนว่าบางคนคงทนได้ แต่ส่วนมากก็ไม่น่าได้นะ”
มันจะเป็นกระโยชน์ในการยับยั้งศัตรูหลายคนด้วยความแข็งแกร่งสูงสุด แม้ว่าการยับยั้งจะล้มเหลว แต่ผู้บาดเจ็บและนักเวทย์รักษาก็จะถูกเผาทิ้ง วอล์มอาจตายก็ได้ แต่ในกลุ่มของอัศวินหญิง เด็กสาวผิวน้ำตาลกับเด็กหนุ่มผมดำ หนึ่งในนั้นอาจตายด้วย
“ในทันใดนั้นผิวหนังจะเจ็บแสบและจะรู้สึกเจ็บปวดแม้จะอยู่ในน้ำ น้ำจะเริ่มไหลออกจากลูกตา และจะมีคนล้มกลิ้งลงไปบนพื้น หลายคนคงจะรู้ดีอยู่แล้ว”
วอล๋มบอกกับผู้บาดเจ็บที่ถูกไฟเผา ยิ่งคนได้ลิ้มรส《เพลิงปีศาจ》มากเท่าไร ก็จะยิ่งหน้าซีกและตัวสั่นมากเท่านั้น
“เป็นวิธีการที่แย่ชะมัด”
“ฉันรู้ว่ามันน่ากลัว แต่พวกแกก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันนิ คนในหน่วยของฉันถูกมัดและเบ้าตาของพวกเขาก็กลวงโบ๋ และก็ถูกฆ่า”
“ภาคีเรฮาเซนจะไม่มีทางทำ――”
“แล้วใครกัน? ทหารไครซิทคนอื่น? หรือทหารจากประเทศที่เหลือ? ใครสนเรื่องนั้นกัน ในมุมขอฉันแล้ว มันก็คือพวกแกนั่นแหละ”
ทหารที่อยู่รอบๆที่กลืนสถานการณ์เข้าไปอยู่ในความเงียบ ไม่เหมือนกับความเร่งรีบและคึกโคมของทหารที่อยู่ห่างออกไปเพียงเล็กน้อย เสียงกระอัก เสียงพันผ้าและแม้แต่เสียงเพียงเล็กน้อยก็ยังอยู่ในหู
วอล์มได้ซื้อเวลามาไม่กี่นาทีแล้ว ทั้งหมดที่เขาต้องทำคือรอให้กองทัพไฮเซิร์คบุกเข้าโจมตีชั้น เขาแค่ต้องตั้งคำถามและคำตอบโง่ๆต่อไป
เป็นผู้ส่งสารของไครซิทที่ทำลายความเงียบเช่นนั้น บางทีอาจเป็นเพราะเขาเป็นทหารที่ได้รับข้อมูล เขาจึงไม่สามารถทนต่อความรู้สึกหงุดหงิดได้ และด้วยการกระทำอย่างกระทันหันนั้น เขาได้ชักดาบอออกมาทันทีและฟันใส่วอล์ม
วอล์มย่อสะโพกลงแล้วดึงดาบยาวออกมาด้วยมือขวา ก้าวขาข้างหนึ่งออกไปและใช้《จู่โจม》เพื่อฟันทหารด้วยดาบของเขา เมื่อวอล์มกระโดนกลับ อัศวินหญิงและยูโตะก็ดึงดาบออกมาด้วย ทหารยามก็รุดเข้ามาพร้อมกัน วอล์มไม่รู้ว่ามันเป็นความจงใจหรือไม่ แต่เป็นวามจริงที่พวกเขาทำให้ต้องย้ายเข้ามา
“ใช่ ถูกต้องแล้ว”
การข่มขู่จะไม่สมเหตุผลถ้าไม่มีการทำอะไรเลยในระดับหนึ่ง หากลังเล ก็จะถูกมองออกและถูกโค่นลง
วอล์มปล่อยมานาที่เหลืออยู่ออกมาและ《เพลิงแห่งประตูนรก》ก็ตอบรับ
“ดะเดี๋ยว――”
มีเสียงที่น่าเศร้าของเด็กสาวผิวน้ำตาลที่ไม่ได้ดึงอาวุธออกมาที่ส่งมาถึงวอล์ม แต่ความเป็นมนุษย์ที่เหลืออยู่ในวอล์มไม่พอที่จะทำให้เขาลังเล
นักเวทย์รักษากำลังสงสัยเกี่ยวกับความโกลาหลและแง้มทางเข้าเต็นท์เพียงเล็กน้อยเพื่อแอบดู ในขณะนั้น รอบพื้นที่ก็ปลกคลุมไปด้วย 《เพลิงปีศาจ》
―――――――――――――――――――――――――――――――――――――――
จบ – เป็นตอนที่ยาวดีจริงๆ
ขอขอบคุณ ENG จากKinokura Translation
เพจผู้แปล (1) เหนื่อยน้อ การแปล | Facebook
Comments
สายตาที่เหมือนโคลนนั่น กำลังคาดหวังสิ่งใด? (Nigoru Hitomi de Nani wo Negau)ตอนที่37
เจอราร์ด เบเกอร์ปล่อยตัวไปกับความคิดอยู่ในห้องห้องหนึ่งที่แข็งแรงในป้อมปราการซาราเยโว่
” “ผู้กล้าทั้งสาม” ของไครซิท พวกมันอันตรายกว่าที่คิด ไม่คิดเลยว่ากองพันลิกูเรียจะถูกทำลาย”
กองพันลิกูเรียที่มีประสบการณ์การการต่อสู้มากที่สุดที่ซึ่งได้ขัดเกลาฝีมือการต่อสู้ตั้งแต่การรบกับลิเบอริโต้ เป็นหนึ่งในกองกำลังที่มีทหารราบที่มีฝีมือมากทึ่สุดของจักรวรรดิไฮเซิร์ค รอดชีวิตจากสนามรบที่ไม่มีที่สิ้นสุดทั้ง ศึกปิดล้อม ศึกประชันหน้า ศึกตั้งรับ และในตอนนี้ถูกมองว่าเป็นปีกทั้งสองข้างที่สนับสนุนแนวหน้าต่อเฟอร์เรียสร่วมกับกองพันทหารม้าจาฟฟ์
สมบัติชิ้นที่สองที่ยอดเยี่ยมเทียบเท่ากับทองคำหรือแม้กระทั่งกับแร่เงินเวทมนตร์ได้หายไปแล้ว พลังทำลายของศัตรูนั้นถูกประเมินไว้ต่ำเกินไป และคำสั่งถอยทัพก็ล่าช้า ส่งผลให้กองพันลิกูเรียได้มีการต่อสู้ประชิดตัวกับศัตรูที่มากกว่าสองเท่า ผู้บัญชาการกองพันลิกูเรียได้เสียชีวิตลง และบุคลการหลักที่เหลืออยู่บางส่วนก็ถูกบังคับให้ถอยไปแนวหลัง แต่มันยังไม่แล้วเสร็จและการสร้างใหม่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย
“แม้ว่าฉันจะเปิดใช้กับดัก แต่มันก็ไม่มีอันไหนี่สามารถจะเบนความสนใจได้ ตามที่คาดไว้ กองพันควรจะเก็บไว้ที่ด้านหลังตั้งแต่แรก”
แม้ว่าเขาจะได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพสงคราม แต่เขาก็ได้อ่านกองทัพศัตรูผิดพลาดและได้สูญเสียกองพันหนึ่งกองพันที่เปรียบได้กับสมบัติ เจอราร์ดอดไม่ได้ที่จะก่นด่าความโง่เขลาของตัวเอง
“ไม่ได้ แม้ว่าจะต้องการให้พวกเขากลับมา แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ มันสายไปแล้ว แต่กระนั้นฉันไม่สามารถยอมแพ้ได้”
เจอราร์ดเปลี่ยนความคิดของเขา แม้ว่าจะเปิดใช้งานกับดัก แต่ถ้าไม่มีใครสามารถรักษาชั้นสุดท้ายรูปตัว U ไว้ได้ ก็จะไม่สามารถผลักศัตรูออกไปได้ และการลอบสังหารVIPก็จำเป็นต้องมีหน่วยพลีชีพ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ได้ที่จะทำ นอกนั้นผลลัพธ์ก็ไม่ได้รับประกันอีกด้วย แต่เมื่อพิจารณาถึงเวลาการถอยแล้ว ดีที่สุดมันก็ได้แค่รบกวนเวลานอนของทหารข้าศึกและเสียอาหารเช้าบางส่วนเท่านั้น
“ตามแผนสองแล้ว ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำให้พวกมันเสียเลือดในปราการซาราเยโว่ให้ได้มากที่สุด และทุ่มกองทัพชะลอข้าศึกด้วยกลยุทธ์แผ่นดินไหม้เกรียมในดินแดนไมยาร์ดสินะ”
ถ้าเป็นแบบนั้น สถานะของเจอราร์ดก็จะถูกริบโดยรัฐสภา
“ในระหว่างที่จักวรรดิกำลังถูกทำลาย บางทีฉันควรจะซ่อนตัวอยู่ในชนบทหรือเปล่านะ? แน่ใจเลยว่าฉันจะเบื่อและผิดหวังแทบตาย”
คำถามคือศัตรูจะหยุดที่ไหน แน่นอนว่าทุกประเทศในพันธมิตรสี่ดินแดนเป็นประเทศที่ดีทั้งในและนองประเทศ แต่สำหรับเจอราร์ดมันเป็นเหมือนเรื่องตลก บนพื้นผิวความสัมพันธ์อาจดูดี แต่เบื้องหลัง ความขัดแย้งได้เริ่มต้นขึ้น เดิมพันด้วยผลประโยชน์ การต่อสู้เพื่อเป็นผู้นำและตำแหน่งในพันธมิตร
“สิ่งที่ไมยาร์ดจะทำก็เดาได้ง่ายๆ ปัญหาคือพวกมันจะพยายามเอาดินแดนคืนกลับมามากแค่ไหน”
ชี้ตามแผนที่ด้วยนิ้ว นายพลเฒ่าครุ่นคิด เขาพ่นควันสีม่วงออกมาและทิ้งขี้เท้าไว้ หน้าต่างสั่นเล็กน้อยขณะที่เขาเอื้อมมือไปที่ตะเกียงเพื่อจุดมวนใหม่
“เกิดอะไรขึ้นกัน?”
“กระผมจะออกไปตรวจดู”
เจอราร์ดห้ามผู้ดูแลที่จะออกจากห้อง
“ไม่ ฉันจะไปดูเอง”
เจอร์าร์ดออกจากห้องของเขาและมุ่งหน้าไปยังห้องที่เสนาธิการรออยู่กับคนใช้ของเขา
“เกิดอะไรขึ้น”
เจอราร์ดเข้ามาในห้องและทักเสนาธิการที่อยู่ใกล้ที่สุด เห็นได้ชัดจากบรรยากาศของห้องว่ามีบางอย่างที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
“เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ที่ค่ายของเฟอร์เรียสในชั้นที่ 3 และชั้นที่ 6 ที่ซึ่งต่อมาถูกตั้งเป็นค่ายหลักของพันธมิตรสี่ดินแดนและก็กำลังเกิดไฟไหม้ครับท่าน”
“ไฟไหม้? น้ำดำของลิเบอริโต้ถูกบางคนจุดเรอะ?”
กองพันทหารราบนั้นอยู่ติดกับชั้นสุดท้ายรูปตัว U แต่เจอราร์ดไม่ได้สั่งให้พวกเขาดำเนินการใดๆในตอนกลางคืน เขาไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นอุบัติเหตุหรือเป็นการอำพรางบางสิ่ง
“เตรียมกองทัพทั้งหมดให้พร้อมสำหรับการสู้รบ รวมถึงกำลังสำรองด้วย กองพันของจาฟฟ์ก็ด้วย”
“ท่านกำลังจะไปไหนน่ะครับ!?”
“ฉันต้องดูจากที่ที่ดีกว่านี้ ฉันจะไปที่เชิงเทิน”
เจอราร์ดข้ามบันไดหินสองหรือสามก้าว วิ่งขึ้นไปบนเชิงเทิน ทิ้งทหารยามที่ตกตะลึงไว้ข้างหลัง เขาเข้าไปในหอคอยและเอนตัวออกจากช่องยิงธนูด้านบน ค่ายของข้าศึกกำลังถูกไฟไหม้อยู่อย่างแน่นอน นอกจากนี้มันยังครอบคลุมเป็นวงกว้างตั้งแต่ชั้นที่ 3 จนถึงชั้นที่ 6 ที่กับดักติดตั้งไว้ เสียงกรีดร้องที่ดังก้องเข้ามาในหูจะต้องเป็นเสียงของข้าศึกในค่าย แต่เหนือสิ่งอื่นใด มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้เจอราร์ดระทึกใจ นั่นก็คือเปลวเพลิงสีฟ้า
“ฮะฮ่าๆ พวกมันกำลังมอดไหม้ เปลวเพลิงสีฟ้านั่นต้องเป็น《เพลิงปีศาจ》ของวอล์มจากหน่วยดูเวยแน่!!”
เจอราร์ดบอกกับเสนาธิการที่ตามมาทัน
“ได้เวลาออรบแล้ว!! ฉันจะใช้กับดัก มาระดมกำลังสำรองกันเถอะ ศึกครั้งนี้จะเป็นการชี้ขาด!!”
“ทะ ท่าน!?”
ตบไหล่ของเสนาธิการที่ตกตะลึง แล้วเจอราร์ดก็ตะโกน
“หลบไปเดี๋ยวนี้!! ความรวดเร็วจะไม่มีวันทรยศเรา พวกนายได้เรียนอะไรมาจากโรงเรียนทหารบ้าง!? เวลาจะตัดสินทุกอย่าง งั้นก็วิ่งซะ!! เดี๋ยวนี้! วิ่ง!!”
เชิงเทินล้อมรอบไปด้วยความกระฉับกระเฉง เสนาธิการกลิ้งลงบนไดและส่งผู้ส่งสารไปยังแต่ละกองพัน
◆
เอวของวอล์มได้รับบาดเจ็บ มันถูกแทง ความรู้สึกของนิ้วก็ได้หายไปเช่นกัน ขณะที่เขาวิ่งต่อไป ขาของเขาก็กรีดร้อง ในขณะที่เขายังคงสูญเสียเลือดและมานาอย่างต่อเนื่อง วิสัยทัศน์ของเขาก็เริ่มบิดเบือน
เหตุผลที่เขาเริ่มต้นสิ่งเหล่านี้ก็คือตัวเขาเอง ตัวเขาที่ซึ่งเต็มไปด้วยเหตุผลและศีลธรรมจากโลกสมัยใหม่ ปล่อยให้ตัวเองตกอยู่ในอารมณ์ การตายของเพื่อนพ้องทำให้เขากระจายความตายไปรอบๆอย่างไร้ความหมาย
มั่นใจเลยว่าพวกนั้นต้องกำลังหัวเราะจากในนรกแน่เลย
วอล์มไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเยาะเย้ยตัวเอง ทหารผู้ใช้เวทมนตร์คนหนึ่งของจักรวรรดิไฮเซิร์คที่นับว่าตายไปแล้ว กำลังโจมตีทหารข้าศึกที่กำลังหลบใหลจากด้านหลังก่อนการโจมตีครั้งใหญ่ วอล์มผู้ซึ่งยังคงต่อสู้ด้วยการกระทำที่ไร้ความหมายไม่ได้ยินเสียงเชียร์จากเชิงเทินในเวลานั้น
เมื่อวอล์มฟาดฮาลเบิร์ดใส่ทหารที่ยืนขวางทางอยู่ ทหารก็ทรุดตัวลงเหมือนหุ่นเชิดที่ด้ายขาดโดยไม่ส่งเสียงใดๆ วอล์มก้าวต่อไปโดยไม่ชำเลืองมอง เป็าหมายของเขาคือการไปยังที่ที่มีเสบียงจำนวนมาก ท้ายที่สุดแล้ว ในโกดังมีแต่ของที่ติดไฟได้อย่างดี มันจะเป็นกองไฟที่ยิ่งใหญ่อย่างแน่นอน แม้ว่าจะถูกปล้นไป แต่ก็ยังใช่้ได้ พันธมิตสี่ดินแดนจะใช้สิ่งที่เหลือตามความเหมาะสม
ทหารสองคนกระโจนเข้ามา เขาไม่สามารถขยับนิ้วซ้ายได้อย่างเหมาะสม วอล์มขยับฮาลเบิร์ดของเขาด้วยเพียงฝ่ามือเท่านั้นและพุ่งเขาหาคออย่างรุนแรง ปลายฮาลเบิร์ดถูกหลบได้ ด้านซ้ายของฮาลเบิร์ดที่เป็นขวาน และด้านขวาที่ใบมีดรูปเคียว แม้ว่าทหารจะเลี่ยงส่วนปลายได้ แต่ทหารก็ไม่สามารถเลี่ยงใบมีดรูปเคียวได้
ตัดคอและพันรอบด้านขวาของทหาร เหลือเพียงอีกคนเดียว ทหารที่เหลืออยู่พยายามวิ่งเข้าหาวอล์มด้วยความโกรธ แต่ในขณะที่วอล์มและศพของทหารที่ตายลงผสานกัน ปลายหอกของทหารที่กำลังตายไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ และส่งผลให้ทหารทรุดตัวลงกับพื้นหลังจากส่งเสียงครวญครางเล็กน้อย
วอล์มวิ่งต่อไปพร้อมกับเสียงน้ำเดือดบนหลังของเขา (bubbling water )
ในเวลาสั้นๆนี้วอล์มรู้สึกได้ถึงพัฒนาการของเขา เขามีตาที่เป็นโคลนที่ไม่สามารถมองเห็นอะไรได้ แต่เขาไม่รู้สึกพิการ แต่เขากับรู้สึกว่าประสาทสัมผัสทั้งหกนั้นเฉียบคมขึ้น
ทหารจำนวนมากคอยคุ้มกันที่มุมหนึ่งของโกดัง ทหารจากหลายประเทศอยู่ที่นั่น
“อย่าปล่อยให้มันเข้ามาได้!!”
หนึ่งให้เหล่าทหารตะโกนออกมา บางทีอาจเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจหรือสร้างแรงผลักดันให้ตัวเขาเอง แต่สำหรับวอล์มแล้ว มันเป็นข่าวดี
“ความถี่ในการใช้《เพลิงปีศาจ》ของมันน้อยลงแล้ว ล้อมมันไว้ ทำให้มันหมดแรง!!”
มี่ทหารที่ใช้หัวคิด ความคิดของทหารที่ให้คำสั่งนั้นโดยทั่วไปถูกต้องแล้ว แต่ก็ยังมีข้อผิดพลาด ระหว่างทาง วอล์มไม่ได้ใช้ทักษะเพื่อเก็บมานาของเขาไว้ เพื่อตอนที่เขาได้เจอกับ “ผู้กล้าทั้งสาม” และภาคีอัศวินเรฮาเซน เขายังมีมานาและแรงเหลืออยู่เพราะเขาไม่ต้องควบคุมทักษะ
วอล์มเตรียมพร้อมและเปิดใช้งาน《เพลิงปีศาจ》ลมร้อมได้พัดออกมาและเพลิงสีฟ้าก็ลุกออกมาจากร่าง
วอล์มรู้ได้รางๆว่าไม่มีสหายที่ต้องปกป้องหรือโล่คุ้มกัน มีเพียงทหารข้าศึกที่จะต้องฆ่าเท่านั้น ดังนั้นจึงคิดว่าการใช้ทักษะโดยไม่ต้องคิดในแดนข้าศึกนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าเพื่อตั้งรับ
“พ《เพลิงปีศาจ》อ๊ากกกก!!”
“วะ วิ่ง――อากก!!”
“หลบเร็วเข้า!! ออกห่างให้ว้ายยย!!”
ทหารที่มีประสบการณ์พบเจอได้ละทิ้งทุกสิ่งในขณะที่เพลิงสีฟ้าประทุออกมาจากร่าง บรรดาผู้ที่เลือกการต่อสู้และพวกที่ตอบสนองช้าถูกเพลิงสีฟ้ากลืนกิน
วอล์มค่อยๆเดินผ่านไป ในท้ายที่สุดแล้วทั้ง”ผู้กล้าทั้งสาม”ที่สร้างผาดแผลร้ายแรงให้วอล์มและฆ่าคนในหน่วย หรือกองกำลังหลักของภาคีอัศวินเรฮาเซนก็ไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าเขา
วอล์มไม่รู้ว่าค่ายได้ถูกเผาทำลายลงและทหารและอัศวินก็เข้าไปมีส่วนร่วมอย่างมากจนไม่สามารถรวมพลได้ในเวลาอันสั้น
วอล์มเปิดมุมหนึ่งของโกดังเสบียงที่ลุกไหม้ กลิ่นหอมไหลทะลุจมูกของเขาในทันที สำหรับวอล์มที่ซึ่งอยู่ในภาวะขาดอากาศหายใจและไม่ได้กินอะไรเลยเป็นเวลาเกือบสัปดาห์แล้ว
ถ้าไม่มีกลิ่นของความตายล่ะก็…
“ฉันควรจะต้องเปลี่ยนชุดดีไหมนะ”
กองไฟนี่ ก็น่าจะพอแล้วที่จะนำทางพวกเขาไปสู่ยมโลก
วอล์มลากศพหนึ่งที่เขาฆ่าเข้าไปในโกดังและถอดเครื่องสวมใส่ออก เขาคิดว่ามันจะถูกมองออกได้อย่างรวดเร็วถ้าหากใส่เครื่องสวมใส่ของทหารไครซิทที่ซึ่งเป็นศัตรู วอล์มเลือกทหารเฟอร์เรียสเนื่องจากเขาค่อนข้างคุ้นเคยกับพฤติกรรมของพวกเขา เขาคุ้นเคยกับพฤติกรรมของทหารลิเบอริโต้เช่นกัน แต่เขาได้พูดคุยกับเชลยศึกของเฟอร์เรียสมากกว่า แล้วก็เพราะการเรียกรวมพลฉุกเฉิน ดังนั้นกองทัพจึงมีอาสาสมัครจำนวนมาก มันจึงง่ายกว่าที่จะเนียนเข้าไป
ช่างน่าเศร้า ที่เป็นเขาที่ทำให้ทหารเฟอร์เรียสนี้ตายและสวมเครื่องสวมใส่ของเขาและโยนเขาไปในโกดังที่ลุกไหม้ วอล์มกังวลว่าจะทำยังไงดีกับหน้ากาก แต่หน้ากากนั้นสั่นอย่างรุนแรง เขาจึงเลิกที่จะโยนมันทิ้ง
โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นหน้ากากที่ไม่มีชีวิต แต่ถ้าฉันทิ้งมันไปอย่างไม่ระวังล่ะก็ ไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น
วอล์มเก็บหน้ากากใส่กระเป๋าแล้วย้ายออกจากโกดังพร้อมกับเครื่องสวมใส่ที่หยิบมาแล้วเลียนแบบผู้บาดเจ็บ ท้ายที่สุดแล้ว วอล์มเองก็ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง เขาจัดนิ้วที่หักให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีและระงับบาดแผลที่เลือดออกด้วยการจี้ด้วยไฟ
ตอนนี้วอล์มดูเหมือนทหารที่ได้ถูกลอบโจมตี เขาจะดูไม่เหมือนกับปีศาจที่อาละวาดแล้ว เขานั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของกำแพงดินเหนียว ปะปนอยู่กับคนตายและคนที่ได้รับบาดเจ็บร้ายแรง เขาได้กลายเป็นหนึ่งในทหารเฟอร์เรียสที่ได้รับบาดแผลเผาไหม้
“เวรเอ้ย ไอ้ไฟนั่น..พาผู้บาดเจ็บไปที่ศูนย์แพทย์ซะ!!”
“อย่าคลายระวังลง โกดังและฐานบัญชาการได้ถูกโจมตีไปแล้ว”
“เอาล่ะ ลุกขึ้นเร็วไม่งั้นโดนไฟคลอกเอา”
ทหารเฟอร์เรียสคนหนึ่งจับไหล่ของวอล์มแล้วยืนขึ้น
“อาการบาดเจ็บแย่มากจริง เดี๋ยวฉันจะพานายไปที่ศูนย์แพทย์เอง ที่นั่นปลอดภัยมากเลยล่ะ”
มันเป็นข้อเสนอที่วอล์มคาดไม่ถึง ในแดนที่ยังคงลุกไหม้อย่างต่อเนื่อง การค้นหาผู้ใช้《เพลิงปีศาจ》ยังคงดำเนินอยู่ในขณะที่ทหารส่วนใหญ่ดับไฟ หากเป็นทหารเฟอร์เรียสที่ได้รับบาดเจ็บแล้วล่ะก็ มันจะง่าสำหรับวอล์มที่จะได้รับการรักษาและหลบหนีอย่างง่ายดาย
วอล์มถูกแบกไปที่ศูนย์แพทย์
เมื่อวอล์มได้มาถึงศูนย์แพทย์ มีผู้ได้รับบาดเจ็บนับไม่ถ้วนมารวมกัยภายใต้เต็นท์ ไม่ใช่แค่คนที่ได้รับบาดเจ็บจากวอล์มเท่านั้น บางคนนั้นได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้กับจักรวรรดิไฮเซิร์คของในแต่ละวัน
“ท่านนักเวทย์รักษา ชายคนนี้เขาได้รับบาดเจ็บร้ายแรง”
“เป็นบาดแผลร้ายแรงจริงๆ แต่ก็ยังไม่สายเกินไป โปรดแบกเขามาด้วย”
ที่ปลายทาง มีกลิ่นของสมุนไพรแพทย์ผสมกับกลิ่นแห่งความตายที่อาจทำให้คนต้องร้องให้และอาเจียน
“กรุณาวางเขาไว้ตรงนั้น”
ทหารที่แบกวอล์มมาได้กลับไปที่ค่ายที่กำลังลุกไหม้อยู่ในทันที อาจไปเพื่อดับไฟหรืออาจไปเพื่อนำผู้บาดเจ็บมาอีก
มีคนกำลังจะตายประมาณ 20 คนเข้าแถวอยู่และทุกคนนั้นถูกเผาอย่างรุนแรง พวกเขาไม่เคยคิดเลยว่าคนร้ายนั้นจะเข้าแถวอยู่เคียงข้างพวกเขา มันเป็นภาพที่ช่างน่าขัน
วอล์มผ่อนคลายลง และมุ่งสติของเขาไปที่โต๊ะผ่าตัด นักเวทย์รักษาได้ตัดเสื้อผ้าออกและทำความสะอาดบาดแผลด้วยมืออย่างเชี่ยวชาญ สิ่งที่น่าทึ่งคือมานาและความสามารถในการรักษาของนักเวทย์รักษาที่รักษาบาดแผล
ความเร็วในการรักษาก็น่าทึ่งเช่นกัน ผิวหนังและเส้นเลือดที่ขาดมากมายถูกเชื้อมเข้าด้วยกันและสร้างขึ้นมาใหม่ นักเวทย์รักษานั้นอายุยังน้อยอยู่และดูเหมือนวัยรุ่นตอนปลาย เธอมีผมยาวถูกมัดซุกไว้ในฮูด เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ภายนอกแล้ว วอล์มมั่นใจว่าหญิงสาวคนนี้จะต้องเป็นคนสุดท้ายใน”ผู้กล้าทั้งสาม”ของไครซิท หญิงสาวคนนี้อาจเป็นคนที่มาจากโลกก่อนของเขา เขารู้ได้ แต่นั่นไม่ได้ทำให้วอล์มมีความสุข เพราะตอนนี้พวกเขาเป็น”ศัตรู”ที่กำลังเข่นฆ่ากันอยู่ ถ้าเขาโง่และหลงไหลไปกับความรู้สึกมีความสุข มันอาจจบลงด้วยการที่หัวของเขาต้องกลิ้งลงกับพื้น
“ท่านอายาเนะ ผู้บาดเจ็บรายต่อไปมาแล้ว”
ถึงคราวของวอล์มแล้ว เขาถูกวางลงบนโต๊ะผ่าตัด เกราะและเสื้อผ้าของเขาถูกถอดออกอย่างน่าอาย
“มีรอยฟกช้ำตามร่างกาย มีแผลไหม้และแผลที่หน้าท้องด้านขวา ซี่โครงหักสามซี่และนิ้วซ้ายทั้งหมดหัก”
ผู้หญิงคนนี้อาจเป็นผู้ช่วย เธอตรวจสอบบาดแผลของวอล์ม
“จะเริ่มแล้ว”
หญิงสาวพูดออกมาเช่นนั้นและวางมือของเธอเหนือบาดแผลของวอล์มด้วยท่าทางจริงจัง มันรู้สึกอบอุ่นกว่าเวทมนตร์รักษาที่เขาเคยพบ และความเจ็บปวดก็บรรเทาลงอย่างรวดเร็ว
เห็นด้วยเลยกับเวทย์รักษาแบบนี้ ทหารจะสามารถกระโจนกลับเข้าสู่สนามรบได้โดยไม่ลัง เธอเป็นอุปสรรคที่ต้องกำจัดเพื่อจักรวรรดิไฮเซิร์ค
แต่อย่างไรก็ตาม วอล์มนั้นไม่ได้เป็นอะไรไปนอกซะจากทหารที่ได้รับบาดเจ็บ และเขาก็ไม่ได้รับคำสั่งให้ฆ่าเธอเช่นกัน ตอนนี้เขาเป็นเพียงผู้ได้บาดเจ็บที่กำลังได้รับการรักษา ถ้าเขาทำร้ายเธอตอนนี้ เขาอาจต้องเสียชีวิตที่พยายามมาอย่างยากลำบาก เขาต้องการเลี่ยงการกระทำที่เสี่ยงเช่นนั้น หากสถานการณ์เอื้ออำรวยเขาต้องการตอบแทนเธอสำหรับการรักษาบาดแผลของเขาถ้าทำได้
“ขอบคุณครับ ท่านนักเวทย์รักษา ร่างกายรู้สึกเบาราวกับบาดแผลเมื่อกี้เป็นเรื่องตลกเลย”
“ฉันดีใจนะที่ได้ยินเช่นนั้นนะ”
หลังจากได้การรักษาไม่ถึง 10 นาที วอล์มก็ขอบคุณหญิงสาวจากก้นบึ้งของหัวใจ เธอหัวเราะเล็กน้อยเช่นสาวขี้อาย แล้วก็ทำความสะอาดโต๊ะผ่าตัดและวางผู้บาดเจ็บรายต่อไปในทันที วอล์มออกจากห้องรักษาและมุ่งหน้าไปยังมุมหนึ่งทึ่มีผู้บาดเจ็บจำนวนมากรวมตัวกันอยู่
“…จิส์”
วอล์มส่งเสียงออกมาเบาๆ อัศวินหญิงที่เคยสู้ด้วยมาก่อนและ”ผู้กล้าทั้งสาม”คนที่เหลือได้มาที่ศูนย์แพทย์
“ดี ดูเหมือนผู้ใช้《เพลิงปีศาจ》จะไม่ได้มาที่นี่”
“พอฉันได้ยินว่าโจฮานน่าได้รับบาดเจ็บ หัวใจแทบวายเลยนะ”
“ถ้าฉันไม่พลาดล่ะก็ ความเสียหายคงไม่ขนาดนี้”
“มันเป็นการโจมตีที่ไม่าดฝัน มันไม่ได้เป็นเพราะโจฮานน่าซังหรอกครับ”
เด็กหนุ่มผมดำปลอบอัศวินหญิง
แค่พูดไปเรื่อยสินะ…
ด้วยความหวังเช่นนั้น วอล์มจึงเดินต่อไป
“แต่ถึงจะได้รับบาดเจ็บมากขนาดนั้น แต่มันกับยังมีชีวิตอยู่ ฉันคิดไม่ถึงเลย”
ระยะห่างเหลืออีกประมาณห้าก้าว เหงื่อเย็นไหลออกจากหน้าผากของวอล์ม
“โกดังถูกไฟไหม้เละไม่มีวี่แววว่าจะดับลงในเร็วๆนี้ ความมืดได้ช่วยให้มันซ่อนตัวได้อีก”
วอล์มผ่านกลุ่มนั้นไปได้ เขาเอาแต่บอกกับตัวเองในใจว่าอย่างได้เร่งเดินอย่างกะทันหัน
“หืม?”
“มีอะไรเหรอ?ครับ”
“ฉันเห็นทหารที่ดูคุ้นเคยยังไงก็ไม่รู้ แต่ฉันไม่ได้รู้จักใครในกองทหารเฟอร์เรียสสักคน”
“บางทีอาจเป็นแค่คนที่ดูเหมือนคนรู้จักหรือเปล่า?”
“อาจเป็นอย่างนั้น”
“นาย ทหารเฟอร์เรียสคนนั้นน่ะ เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนหรือเปล่า?”
แน่นอนว่ามันไม่ง่ายอย่างนั้นสินะ…
วอล์มดูจะเกลียดชะตากรรมที่เกิดกับเขา เมื่อคิดว่าเขาได้ยินเสียงนี้แล้ว เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลายเป็นเหมือนทหารที่แตกพ่าย
“…บางทีฉันอาจอยู่ในสายตาของคุณเมื่อตอนบุกโจมตีชั้น”
ได้บินเสียงแย่ๆของตัวเองแล้ววอล์มก็อยากจะเยาะเย้ยตัวเอง แต่เขาก็ไม่ได้โกหก
“อืม ฉันได้บุกโจมตีบางชั้นกับทหารเฟอร์เรียส ฉันน่าจะเคยเห็นนายที่นั่น ว่าแต่ นายปิดตาข้างหนึ่ง เกิดอะไรขึ้น?”
“เป็นเพราะเวทมนตร์ของศัตรูน่ะ”
“ช่างโชคร้ายจริงๆ แต่ก็ยังดีที่หัวยังอยู่ ดูโชคจะอยู่ข้างนายนะ”
“ครับ ขอบคุณมาก”
“ขอโทษด้วยที่จู่ๆก็หยุดไว้”
“ไม่ ฉันยินดีที่ได้มีโอกาศพูดคุยกับอัศวินแห่งไครซิท”
วอล์มพยายามสงบอารมณ์ไว้และก้าวไปข้างหน้า โดยคิดว่าครั้งนี้เขานั้นทำได้ดีแล้ว สิ่งที่เขาต้องทำต่อจากนี้คือหลบหนีเมื่อพบช่องโหว่
” “ผู้กล้าทั้งสาม”อยู่ไหนกัน!!?”
ทหารผู้ส่งสารกระโจนเข้ามาในศูนย์แพทย์และเรียกหา”ผู้กล้าทั้งสาม” โดยไม่แม้แต่มองไปที่วอล์ม
“ตรงนี้”
“อา ท่านโจฮานน่าก็อยู่ด้วย!!? สารคือจะต้องไปช่วยท่านแกรนโดยทันที ตอนนี้มีทหารไฮเซิร์คมากมายอยู่ในชั้นแล้ว!!”
“แนวหน้าเอาไม่อยู่อย่างงั้นเหรอ!?”
วอล์มจดจ่อกับหูของเขา จากที่เขาเข้าใจ มันเกี่ยวกับทหารไฮเซิร์คที่ควรจะละทิ้งชั้นไปแล้วและเหลือเพียงชั้นสุดท้าย
“ดูเหมือนศัตรูจะใช้โอกาศนี้เพื่อโจมตีกลับ พวกมันบุกออกมาจากอุโมงค์ใต้ดิน แม้กระทั่งที่ชั้นสุดท้าย กองพันทหารม้าจาฟฟ์ก็เริ่มโต้กลับ ขณะนี้มีผู้บุกรุกหลายร้อยคนจากอุโมงค์ แต่ดูเหมือนการบุกจะไม่หยุดลงเลย ท่านแกรนต้องการทำลายทางเข้าด้วยเวทมนตร์”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นวอล์มก็นึกขึ้นได้ว่ามีครั้งหนึ่งที่เขาสงสัยว่าทำไมเนินที่ชั้นที่ 6 ถึงสูงจังและดินที่ใช้สร้างไปเอามาจากไหน วอล์มนั้นมีประสบการณ์ในการขุดดิน อย่างไรก็ตาม จากประสบการณ์ทั้งหมดของเขาในการขุดคูน้ำเปล่าๆ สนามเพลาะ และรูแมงมุม เขาคิดว่ามันไม่เพียงพอที่จะสร้างเนินที่สูงขนาดนั้น วอล์มคิดไม่ถึงเลยว่ามันจะมาจากการสร้างอุโมงค์ใต้ดิน (spider hole)
วอล์มคงจะต้องรับการปรากกฏตัวของกองทัพพัทธมิตรด้วยการกระโดน แต่โชคชะตาช่างเลวร้าย เขาเข้าใจดีว่าผู้คนที่อยู่ใกล้ๆเขามีพลังในการทำลายทางเข้า
วอล์มกำลังขัดแย้งในความคิด หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ได้ทำอะไร ทหารหลายร้อยคนจะถูกฆ่า
ฉันควรให้ความสำคัญกับชีวิตเองก่อนดีไหม?
“เข้าใจแล้ว ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
――วอล์มตั้งใจจะบอกตัวเองว่าเขาทำงานหนักมามากพอแล้ว เขาทำหน้าที่ของเขาได้สำเร็จแล้ว แต่เขากลับเปิดปากออกมาโดยธรรมชาติ
“ขอโทษนะ?”
วอล์มคิดว่าเขาเองนั้นช่างเป็นคนที่โง่เขลา แต่ถ้าเขาไม่ทำอย่างนี้ที่นี่ เขาจะไม่สามารถเรียกตัวเองว่าทหารได้
“อะไรกัน? ตอนนี้มันไม่ใช่――”
อัศวินหญิงเปลี่ยนสายตาที่เบาบางของเธอและมองมาที่วอล์มอย่างเฉียบคม
“นาย เกิดอะไรขึ้นกับตาของนาย? เสียงก็ด้วย?”
วอล์มเปลี่ยนเสียงที่แย่ๆของเขากลับและลืมตาโคลนของเขา
“ก็ไม่มีอะไรมาก ฉันแค่สงสัยว่าฉันจะสามารถจับนักเวทย์รักษาและผู้บาดเจ็บเป็นตัวประกันได้ไหมแค่นั้นเอง”
“โจฮานน่าซัง คนคนนั้นมัน!”
ยูโตะได้สังเกตเห็นแและพยายามตั้งท่า
วอล์มเปลี่ยนน้ำเสียงและตะโกน
“อย่าขยับ!! หากนายชักออกมาล่ะก็ ที่รอบๆนี้ทั้งหมดจะปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงสีฟ้า”
สายตาทั้งหมดในศูนย์แพทย์มุ่งตรงมาที่วอล์มด้วยจิตสังหาร
“แกมันผู้ใช้《เพลิงปีศาต》กล้าขนาดมาจับตัวประกันในที่โล่งๆนี่เลยเรอะ?”
โจฮานน่าประณามวอล์มที่เผยคมเขี้ยวของเขาในวงกว้าง
“ก็อย่างที่เดาได้”
วอล์มสงสัยว่าเขาควรจะโจมตีพวกเขาด้วยการโจมตีทีเผลอหรือไม่ แต่ไม่ต้องคิดเลยว่ามานาของเขาจะหมดลงอย่างรวดเร็วหากเขาใช้《เพลิงปีศาจ》ในกรณีนั้น มีอัศวันที่ยอดเยี่ยมและ”ผู้กล้าทั้งสาม”ที่มีมานาจำนวนมากและแม้ว่าทหารจะถูกกำจัดออกไปแล้วก็ตาม ก็ไม่มั่นใจว่าเขาจะสามารมล้มพวกเขาในสถานการณ์แบบนั้นได้ไหม
อย่างไรก็ตาม หากเขาพูดกว้างๆว่าเขาจับเป็นตัวประกัน การเคลื่อนไหวก็จะถูกตัดสินโดยธรรมชาติ วอล์มถูกล้อม แต่เขาไม่ได้ตั้งใจให้ศัตรูเริ่มก่อน
“ทำไมเธอไม่เงียบสักแปปล่ะ ฉันไม่ต้องการเผาผู้บาดเจ็บที่ไม่ต่อต้านและนักเวทย์รักษาที่รักษาแผลของฉันหรอกนะ”
วอล์มพูดความจริง ในฐานะทหารวอล์มไม่มีเจตนาที่จะฆ่าคนเพียงคุ่นเคือง แต่ในสนามรบนั้นเป้าหมายมุ่งไปที่คนที่มีความคุ่นเคืองหรือญาติสนิทของบุคลนั้น…เขาไม่ต้องการที่จะยอมรับมัน แต่แน่นอนเขาคิดว่ามันจะเกิดขึ้น มันไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ล้างแค้นให้กับสหายของเขา เขาแค่คิดว่าการฆ่าพวกเขาเมื่อสถานการณืเป็นแบบนี้นั้นดีที่สุด
“แกมันคนขี้คลาด”
ได้ยินคำพูดของเด็กหนุ่มที่ชื่อยูโตะ วอล์มรู้สึกได้ถึงความโกรธของเด็กหนุ่มที่เพิ่มขึ้น แต่เขาไม่ต้องการให้มีการถกเถียงที่นี่ โจฮานน่าพยายามยั่วยุวอล์มที่เฉยเมยต่อพวกเขา
“แกคิดว่าเราไม่สามารถทน《เพลิงปีศาจ》ได้หรือไง”
“แน่นอนว่าบางคนคงทนได้ แต่ส่วนมากก็ไม่น่าได้นะ”
มันจะเป็นกระโยชน์ในการยับยั้งศัตรูหลายคนด้วยความแข็งแกร่งสูงสุด แม้ว่าการยับยั้งจะล้มเหลว แต่ผู้บาดเจ็บและนักเวทย์รักษาก็จะถูกเผาทิ้ง วอล์มอาจตายก็ได้ แต่ในกลุ่มของอัศวินหญิง เด็กสาวผิวน้ำตาลกับเด็กหนุ่มผมดำ หนึ่งในนั้นอาจตายด้วย
“ในทันใดนั้นผิวหนังจะเจ็บแสบและจะรู้สึกเจ็บปวดแม้จะอยู่ในน้ำ น้ำจะเริ่มไหลออกจากลูกตา และจะมีคนล้มกลิ้งลงไปบนพื้น หลายคนคงจะรู้ดีอยู่แล้ว”
วอล๋มบอกกับผู้บาดเจ็บที่ถูกไฟเผา ยิ่งคนได้ลิ้มรส《เพลิงปีศาจ》มากเท่าไร ก็จะยิ่งหน้าซีกและตัวสั่นมากเท่านั้น
“เป็นวิธีการที่แย่ชะมัด”
“ฉันรู้ว่ามันน่ากลัว แต่พวกแกก็เป็นแบบนั้นเหมือนกันนิ คนในหน่วยของฉันถูกมัดและเบ้าตาของพวกเขาก็กลวงโบ๋ และก็ถูกฆ่า”
“ภาคีเรฮาเซนจะไม่มีทางทำ――”
“แล้วใครกัน? ทหารไครซิทคนอื่น? หรือทหารจากประเทศที่เหลือ? ใครสนเรื่องนั้นกัน ในมุมขอฉันแล้ว มันก็คือพวกแกนั่นแหละ”
ทหารที่อยู่รอบๆที่กลืนสถานการณ์เข้าไปอยู่ในความเงียบ ไม่เหมือนกับความเร่งรีบและคึกโคมของทหารที่อยู่ห่างออกไปเพียงเล็กน้อย เสียงกระอัก เสียงพันผ้าและแม้แต่เสียงเพียงเล็กน้อยก็ยังอยู่ในหู
วอล์มได้ซื้อเวลามาไม่กี่นาทีแล้ว ทั้งหมดที่เขาต้องทำคือรอให้กองทัพไฮเซิร์คบุกเข้าโจมตีชั้น เขาแค่ต้องตั้งคำถามและคำตอบโง่ๆต่อไป
เป็นผู้ส่งสารของไครซิทที่ทำลายความเงียบเช่นนั้น บางทีอาจเป็นเพราะเขาเป็นทหารที่ได้รับข้อมูล เขาจึงไม่สามารถทนต่อความรู้สึกหงุดหงิดได้ และด้วยการกระทำอย่างกระทันหันนั้น เขาได้ชักดาบอออกมาทันทีและฟันใส่วอล์ม
วอล์มย่อสะโพกลงแล้วดึงดาบยาวออกมาด้วยมือขวา ก้าวขาข้างหนึ่งออกไปและใช้《จู่โจม》เพื่อฟันทหารด้วยดาบของเขา เมื่อวอล์มกระโดนกลับ อัศวินหญิงและยูโตะก็ดึงดาบออกมาด้วย ทหารยามก็รุดเข้ามาพร้อมกัน วอล์มไม่รู้ว่ามันเป็นความจงใจหรือไม่ แต่เป็นวามจริงที่พวกเขาทำให้ต้องย้ายเข้ามา
“ใช่ ถูกต้องแล้ว”
การข่มขู่จะไม่สมเหตุผลถ้าไม่มีการทำอะไรเลยในระดับหนึ่ง หากลังเล ก็จะถูกมองออกและถูกโค่นลง
วอล์มปล่อยมานาที่เหลืออยู่ออกมาและ《เพลิงแห่งประตูนรก》ก็ตอบรับ
“ดะเดี๋ยว――”
มีเสียงที่น่าเศร้าของเด็กสาวผิวน้ำตาลที่ไม่ได้ดึงอาวุธออกมาที่ส่งมาถึงวอล์ม แต่ความเป็นมนุษย์ที่เหลืออยู่ในวอล์มไม่พอที่จะทำให้เขาลังเล
นักเวทย์รักษากำลังสงสัยเกี่ยวกับความโกลาหลและแง้มทางเข้าเต็นท์เพียงเล็กน้อยเพื่อแอบดู ในขณะนั้น รอบพื้นที่ก็ปลกคลุมไปด้วย 《เพลิงปีศาจ》
―――――――――――――――――――――――――――――――――――――――
จบ – เป็นตอนที่ยาวดีจริงๆ
ขอขอบคุณ ENG จากKinokura Translation
เพจผู้แปล (1) เหนื่อยน้อ การแปล | Facebook
Comments