สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 120 สัญญาครึ่งปี

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 120 สัญญาครึ่งปี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 120 สัญญาครึ่งปี

บทที่ 120 สัญญาครึ่งปี

ณ สำนักเหวินชาง เหวินซิ่วไฉ่เอ่ยถามมู่เจิ้งหานและลู่ฉาวอวี่สองสามคำเพื่อดูว่าพวกเขามีพื้นฐานหรือไม่ จากนั้นจึงเริ่มถามคำถามใหม่

เขาลูบเคราของตนพลางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “บุตรชายของพวกเจ้ามีความสามารถ พื้นฐานมากเพียงพอ สามารถเรียนชั้นปีหนึ่งได้ แต่เขายังเด็กเกินไป ชั้นปีหนึ่งมีไว้สำหรับเด็กอายุสิบหนาว ข้าแนะนำให้เขาเรียนชั้นปีสอง ส่วนหานเอ๋อร์ ข้าแนะนำให้เขาเริ่มจากชั้นปีสาม มีปัญหาใดกับการตัดสินใจนี้หรือไม่?”

“ไม่มีปัญหาเลยท่านอาจารย์ ฝากท่านดูแลด้วย” มู่ซืออวี่กล่าวอย่างสุภาพ

เหวินซิ่วไฉมองลู่อี้ “ลู่อี้เล่า มีสิ่งใดจะเอ่ยหรือไม่?”

“ท่านอาจารย์ โปรดให้หานเอ๋อร์เรียนชั้นปีสองด้วย” ลู่อี้กล่าวอย่างแผ่วเบา “อีกครึ่งปีหากเขาสอบผ่านจะได้เข้าชั้นปีหนึ่งพร้อมฉาวอวี่”

มู่ซืออวี่ “…”

ผู้ใดมอบความมั่นใจนี้ให้เขา?

มู่ซืออวี่พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว

“แม้ข้าจะไม่เคยพบลู่อี้มาก่อน แต่ก็เคยได้ยินชื่อเสียงและความสามารถมาไม่น้อย ข้ารู้ว่าเจ้ารักภรรยาและน้องชายของนางมาก แต่เจ้าก็ต้องเข้าใจด้วยว่า หากให้เขาเริ่มเรียนชั้นปีสอง เขาอาจตามไม่ทันผู้อื่น”

ลู่อี้จ้องมองมู่เจิ้งหาน “เจ้าคิดว่าจะตามทันหรือไม่?”

“ข้า…” มู่เจิ้งหานลังเล

“หากเรียนชั้นปีสาม เจ้าจะได้เรียนร่วมกับเพื่อนอายุห้าหนาว ถูกล้อแค่เรื่องโตที่สุด แต่หากเข้าเรียนชั้นปีสองแล้วสอบไม่ผ่าน เจ้าก็จะถูกเยาะเย้ยมากกว่าเดิม เจ้าอยากถูกคนอายุน้อยล้อหรือโดนดูถูกมากกว่ากัน?”

มู่ซืออวี่ไม่เห็นด้วย “ถูกคนอายุน้อยกว่าล้อก็เจ็บปวดเหมือนกันไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงเรียนกับคนที่อายุเท่ากันไม่ได้?”

มู่ซืออวี่จ้องมองเข้าไปในแววตาของน้องชาย เห็นความไม่ยอมแพ้ฉายวาบออกมา

“ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถให้ได้เข้าเรียนชั้นปีสอง ข้าจะทำให้สำเร็จภายในเวลาครึ่งปี คอยดูได้เลย” มู่เจิ้งหานกล่าว

“ไม่ หลังจากผ่านไปครึ่งปี เจ้าและฉาวอวี่จะต้องเข้าเรียนชั้นปีหนึ่งให้ได้” ลู่อี้กล่าว “เจ้าจะรั้งให้ฉาวอวี่ซ้ำชั้นอยู่กับเจ้าไม่ได้”

มู่ซืออวี่ “…”

เหวินซิ่วไฉลูบเคราของเขา เขาเอาแต่แย้มยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรออกมา

คนธรรมดาทั่วไปจะต้องคิดว่าลู่อี้แปลกประหลาดแน่นอน

ห้องเรียนชั้นปีหนึ่ง สอง และสามฟังดูแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ระดับความรู้แตกต่างกันมากทีเดียว

ชั้นปีสามเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น เรียกได้ว่าเริ่มต้นจากศูนย์

ชั้นปีสองเหมาะสำหรับผู้ที่ได้รับการศึกษามานานกว่าสองปี หากไม่ผ่านการประเมินก็จะไม่ได้เลื่อนขั้น

การเลื่อนจากชั้นปีสองสู่ชั้นปีหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ว่ากันว่ามีนักเรียนหลายคนซ้ำชั้นอยู่ในชั้นปีสองเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถสอบเลื่อนระดับได้

ทว่าลู่อี้กลับไม่เพียงขอให้มู่เจิ้งหานสอบเข้าห้องเรียนชั้นปีสองให้ได้ แต่ยังขอให้เขาสอบเข้าห้องเรียนชั้นปีหนึ่งให้ได้ภายในครึ่งปี แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก

ลู่อี้เป็นคนที่ต้องการทำอะไรให้ได้ดั่งใจโดยไร้เหตุผลหรือ?

ไม่ใช่เช่นนั้นแน่

“ท่านอาจารย์ ข้าเต็มใจเข้าเรียนในชั้นปีสอง และจะพยายามอย่างหนักเพื่อสอบเลื่อนขั้นสู่ชั้นปีหนึ่งให้ได้ภายในครึ่งปี ข้าไม่อาจทิ้งหลานชายของข้าให้ร่ำเรียนผู้เดียวได้” มู่เจิ้งหานกล่าวอย่างหนักแน่น

ลู่ฉาวอวี่สวมเสื้อผ้าชุดงาม ดูดีราวกับเด็กชายจากครอบครัวผู้ร่ำรวย ส่วนมู่เจิ้งหานดูแข็งแกร่ง แตกต่างจากเด็กทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด สองน้าหลานมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน หน้าตาพวกเขาก็หล่อเหลาไม่น้อย

เหวินซิ่วไฉในวัยสามสิบหนาวเองก็หล่อเหลาและสง่างาม ในเวลานี้รอยยิ้มที่ยากจะเข้าใจปรากฏบนใบหน้าของเขา

มู่ซืออวี่ไม่อาจขัดขวางการสนทนาของพวกเขาได้ นางปิดปากเงียบ ไม่เอ่ยสิ่งใด เรื่องเช่นนี้สมควรปล่อยให้พวกเขาตัดสินใจกันเอง แต่เรื่องที่น่าเศร้าในวันนี้คือน้องชายของนางจะต้องเรียนกับเด็กคนอื่นในห้องเรียนชั้นปีสาม เจ้าตัวจะกลายเป็นพี่ใหญ่ในหมู่พวกเขา

หลังออกจากสำนัก มู่ซืออวี่ก็จ้องไปยังประตูที่ปิดสนิท

“จะปล่อยพวกเขาไว้ที่นี่ตามลำพังหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม “ข้าถามเรื่องนี้อย่างละเอียดแล้ว พวกเขาไปกลับได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ประจำที่นี่ทุกวัน”

ตอนนี้ลู่อี้ตัดสินใจที่จะทิ้งเด็กสองคนให้อยู่ประจำในสำนักเป็นเวลาสิบวัน ต่างจากที่นางเคยวางแผนไว้ในตอนแรก

“เขาต้องเริ่มต้นจากศูนย์ มีเวลาเพียงครึ่งปีในการเข้าเรียนชั้นปีหนึ่ง เจ้าคิดว่าสมควรให้พวกเขาเสียเวลาเปล่าไปกับการเดินทางหรือ?” ลู่อี้เอ่ยถามอย่างแผ่วเบา “แม้หานเอ๋อร์จะฉลาดเฉลียว แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับความฉลาดของลู่ฉาวอวี่ เขาต้องทำงานหนักกว่าผู้อื่นเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ”

“แล้วฉาวอวี่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่หรือ?”

“เขาต้องการอยู่ช่วยเหลือหานเอ๋อร์” ลู่อี้ตอบกลับอย่างใจเย็น “เขาเป็นคนมีนิสัยเย็นชา ไม่สนใจทั้งเจ้าและข้า บุคคลเดียวที่เขาห่วงใยมากที่สุดในโลกใบนี้ก็มีเพียงน้องสาวของเขา จะกักขังเขาไว้ในโลกของตนไม่ได้ ต้องให้เขาออกมาพบปะผู้คนเสียบ้าง”

มู่ซืออวี่พึมพำ “ผู้ใดเล่าที่ทำให้เขามีนิสัยเช่นนี้? ไม่ใช่เจ้าหรอกหรือ”

ลู่อี้เผยรอยยิ้ม “คนเราย่อมเปลี่ยนแปลงได้”

เมื่อมาถึงศาลาว่าการ มู่ซืออวี่ก็หยุดเดินแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่คาดคิดมาก่อนว่าพวกเขาจะต้องอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่ได้เตรียมสิ่งใดมาให้เลย ข้าจะเช่าเกวียนวัวของหัวหน้าหมู่บ้าน นำของมาส่งให้พวกเขาในภายหลัง”

“เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่เถิด” ลู่อี้กล่าว “ไม่ต้องไป”

“เจ้าจะทำอะไร?!” มู่ซืออวี่ตะโกนตามหลังลู่อี้

ลู่อี้เข้าไปในศาลาว่าการ

มู่ซืออวี่เอนกายพิงกำแพงพลางเหยียบก้อนกรวดอย่างเกียจคร้าน นางปรายตาไปเห็นขอทานผู้หนึ่งนั่งอยู่ นางจึงมองด้วยความสงสัย

ขอทานชราผู้หนึ่งเดินผ่านมา คว้าเหรียญทองแดงในชามของขอทานผู้นั้นก่อนจะวิ่งหนีไป ทว่าขอทานเจ้าของชามกลับไม่ขยับ ราวกับกำลังหลับใหลอย่างไรอย่างนั้น

ช่างเป็นขอทานที่แปลกประหลาด

ทันใดนั้น ขอทานผู้นั้นก็ลืมตาขึ้น

มู่ซืออวี่ที่ถูกจับได้ว่าแอบมองอยู่เบือนหน้าหนีด้วยความลำบากใจ

“มีเหล้าหรือไม่?” ขอทานคนนั้นเอ่ยถาม

มู่ซืออวี่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันกลับมาพบว่าขอทานผู้นั้นถามนาง

ดวงตาที่เฉียบคมของขอทานจับจ้องมายังนาง แววตาของขอทานสง่างามถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

“ไม่มี”

ขอทานหลับตาลงอีกครั้ง

กุบกับ กุบกับ…

มู่ซืออวี่หันมามองก็เห็นรถม้าวิ่งมา ลู่อี้กล่าวว่า “ขึ้นมา”

“เจ้าไปเอารถม้ามาจากที่ใด?”

“เช่ามา” ลู่อี้ตอบ “ราคาเพียง 2 ตำลึงต่อเดือนเท่านั้น”

2 ตำลึง… ฟังดูเข้าท่าไม่น้อย

ช่วงนี้นางจำเป็นต้องใช้รถม้า แต่นางขับรถม้าไม่เป็น!

เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้าน ผู้คนมากมายต่างตกใจเมื่อได้เห็นลู่อี้ขับรถม้า แต่หลังจากได้ทราบว่ารถม้าถูกเช่ามาในราคา 2 ตำลึงต่อเดือน พวกเขาก็ค่อนขอดครอบครัวนี้อีกครั้ง

มู่ซืออวี่ไปหาถงซื่อ บอกนางว่ามู่เจิ้งหานไปเรียนแล้ว และจะกลับมาในสิบวันหลัง สีหน้าของถงซื่อดูผ่อนคลายลง ไม่พร่ำบ่นแม้เพียงนิด

“ข้าเองก็หายห่วงพอรู้ว่าเจ้ากับลูกเขยหาสำนักศึกษาดี ๆ ให้หานเอ๋อร์ ข้าขอบคุณพวกเจ้ายิ่งที่ให้โอกาสเขาก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป ข้าไม่อยากให้เขาเป็นกังวลเรื่องครอบครัว เพียงแค่อยากให้ตั้งใจเรียน ตอนเด็ก ๆ เขาเคยอิจฉามู่เจิ้งอี้ที่ได้เรียนหนังสือ สิ่งนี้ติดค้างอยู่ในใจข้าเสมอ แต่เหตุใดข้าถึงไม่ตระหนักคิดสักนิดว่าข้าเป็นหนี้เขา ตอนนี้ทุกอย่างดีขึ้นมากแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้เรียนหนังสือ ข้าปลาบปลื้มใจเหลือเกิน”

“ตอนนี้หานเอ๋อร์กำลังศึกษาอย่างจริงจัง ในอนาคต เขาจะไม่ด้อยไปกว่ามู่เจิ้งอี้อย่างแน่นอน นับจากนี้ไปท่านคาดหวังได้เลย ลูกชายจะเป็นพรของท่าน หานเอ๋อร์เป็นเด็กกตัญญู ทำงานหนักมาโดยตลอด เขาจะกลายเป็นเสาหลักของท่านอย่างแน่นอน”

“ฉาวอวี่เองก็เป็นเด็กฉลาด ทั้งยังมีพ่อเป็นผู้รู้หนังสือ นี่คือต้นกล้าที่ดีของพวกเจ้า ตอนนี้ชีวิตพวกเจ้ากำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ เจ้ารักลูกให้มากเข้าไว้เถอะ ข้าเองก็ดีใจกับพวกเจ้า จริงสิ ตอนนี้เจ้ากับลูกเขยยังแยกห้องนอนกันอยู่หรือเปล่า?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 120 สัญญาครึ่งปี

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 120 สัญญาครึ่งปี at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 120 สัญญาครึ่งปี

บทที่ 120 สัญญาครึ่งปี

ณ สำนักเหวินชาง เหวินซิ่วไฉ่เอ่ยถามมู่เจิ้งหานและลู่ฉาวอวี่สองสามคำเพื่อดูว่าพวกเขามีพื้นฐานหรือไม่ จากนั้นจึงเริ่มถามคำถามใหม่

เขาลูบเคราของตนพลางกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “บุตรชายของพวกเจ้ามีความสามารถ พื้นฐานมากเพียงพอ สามารถเรียนชั้นปีหนึ่งได้ แต่เขายังเด็กเกินไป ชั้นปีหนึ่งมีไว้สำหรับเด็กอายุสิบหนาว ข้าแนะนำให้เขาเรียนชั้นปีสอง ส่วนหานเอ๋อร์ ข้าแนะนำให้เขาเริ่มจากชั้นปีสาม มีปัญหาใดกับการตัดสินใจนี้หรือไม่?”

“ไม่มีปัญหาเลยท่านอาจารย์ ฝากท่านดูแลด้วย” มู่ซืออวี่กล่าวอย่างสุภาพ

เหวินซิ่วไฉมองลู่อี้ “ลู่อี้เล่า มีสิ่งใดจะเอ่ยหรือไม่?”

“ท่านอาจารย์ โปรดให้หานเอ๋อร์เรียนชั้นปีสองด้วย” ลู่อี้กล่าวอย่างแผ่วเบา “อีกครึ่งปีหากเขาสอบผ่านจะได้เข้าชั้นปีหนึ่งพร้อมฉาวอวี่”

มู่ซืออวี่ “…”

ผู้ใดมอบความมั่นใจนี้ให้เขา?

มู่ซืออวี่พูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว

“แม้ข้าจะไม่เคยพบลู่อี้มาก่อน แต่ก็เคยได้ยินชื่อเสียงและความสามารถมาไม่น้อย ข้ารู้ว่าเจ้ารักภรรยาและน้องชายของนางมาก แต่เจ้าก็ต้องเข้าใจด้วยว่า หากให้เขาเริ่มเรียนชั้นปีสอง เขาอาจตามไม่ทันผู้อื่น”

ลู่อี้จ้องมองมู่เจิ้งหาน “เจ้าคิดว่าจะตามทันหรือไม่?”

“ข้า…” มู่เจิ้งหานลังเล

“หากเรียนชั้นปีสาม เจ้าจะได้เรียนร่วมกับเพื่อนอายุห้าหนาว ถูกล้อแค่เรื่องโตที่สุด แต่หากเข้าเรียนชั้นปีสองแล้วสอบไม่ผ่าน เจ้าก็จะถูกเยาะเย้ยมากกว่าเดิม เจ้าอยากถูกคนอายุน้อยล้อหรือโดนดูถูกมากกว่ากัน?”

มู่ซืออวี่ไม่เห็นด้วย “ถูกคนอายุน้อยกว่าล้อก็เจ็บปวดเหมือนกันไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงเรียนกับคนที่อายุเท่ากันไม่ได้?”

มู่ซืออวี่จ้องมองเข้าไปในแววตาของน้องชาย เห็นความไม่ยอมแพ้ฉายวาบออกมา

“ข้าจะพยายามอย่างสุดความสามารถให้ได้เข้าเรียนชั้นปีสอง ข้าจะทำให้สำเร็จภายในเวลาครึ่งปี คอยดูได้เลย” มู่เจิ้งหานกล่าว

“ไม่ หลังจากผ่านไปครึ่งปี เจ้าและฉาวอวี่จะต้องเข้าเรียนชั้นปีหนึ่งให้ได้” ลู่อี้กล่าว “เจ้าจะรั้งให้ฉาวอวี่ซ้ำชั้นอยู่กับเจ้าไม่ได้”

มู่ซืออวี่ “…”

เหวินซิ่วไฉลูบเคราของเขา เขาเอาแต่แย้มยิ้ม ไม่ได้พูดอะไรออกมา

คนธรรมดาทั่วไปจะต้องคิดว่าลู่อี้แปลกประหลาดแน่นอน

ห้องเรียนชั้นปีหนึ่ง สอง และสามฟังดูแตกต่างกันเล็กน้อย แต่ระดับความรู้แตกต่างกันมากทีเดียว

ชั้นปีสามเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้น เรียกได้ว่าเริ่มต้นจากศูนย์

ชั้นปีสองเหมาะสำหรับผู้ที่ได้รับการศึกษามานานกว่าสองปี หากไม่ผ่านการประเมินก็จะไม่ได้เลื่อนขั้น

การเลื่อนจากชั้นปีสองสู่ชั้นปีหนึ่งก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ว่ากันว่ามีนักเรียนหลายคนซ้ำชั้นอยู่ในชั้นปีสองเป็นเวลาสามปีแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถสอบเลื่อนระดับได้

ทว่าลู่อี้กลับไม่เพียงขอให้มู่เจิ้งหานสอบเข้าห้องเรียนชั้นปีสองให้ได้ แต่ยังขอให้เขาสอบเข้าห้องเรียนชั้นปีหนึ่งให้ได้ภายในครึ่งปี แน่นอนว่านี่เป็นสิ่งที่เป็นไปได้ยาก

ลู่อี้เป็นคนที่ต้องการทำอะไรให้ได้ดั่งใจโดยไร้เหตุผลหรือ?

ไม่ใช่เช่นนั้นแน่

“ท่านอาจารย์ ข้าเต็มใจเข้าเรียนในชั้นปีสอง และจะพยายามอย่างหนักเพื่อสอบเลื่อนขั้นสู่ชั้นปีหนึ่งให้ได้ภายในครึ่งปี ข้าไม่อาจทิ้งหลานชายของข้าให้ร่ำเรียนผู้เดียวได้” มู่เจิ้งหานกล่าวอย่างหนักแน่น

ลู่ฉาวอวี่สวมเสื้อผ้าชุดงาม ดูดีราวกับเด็กชายจากครอบครัวผู้ร่ำรวย ส่วนมู่เจิ้งหานดูแข็งแกร่ง แตกต่างจากเด็กทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด สองน้าหลานมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน หน้าตาพวกเขาก็หล่อเหลาไม่น้อย

เหวินซิ่วไฉในวัยสามสิบหนาวเองก็หล่อเหลาและสง่างาม ในเวลานี้รอยยิ้มที่ยากจะเข้าใจปรากฏบนใบหน้าของเขา

มู่ซืออวี่ไม่อาจขัดขวางการสนทนาของพวกเขาได้ นางปิดปากเงียบ ไม่เอ่ยสิ่งใด เรื่องเช่นนี้สมควรปล่อยให้พวกเขาตัดสินใจกันเอง แต่เรื่องที่น่าเศร้าในวันนี้คือน้องชายของนางจะต้องเรียนกับเด็กคนอื่นในห้องเรียนชั้นปีสาม เจ้าตัวจะกลายเป็นพี่ใหญ่ในหมู่พวกเขา

หลังออกจากสำนัก มู่ซืออวี่ก็จ้องไปยังประตูที่ปิดสนิท

“จะปล่อยพวกเขาไว้ที่นี่ตามลำพังหรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม “ข้าถามเรื่องนี้อย่างละเอียดแล้ว พวกเขาไปกลับได้ ไม่จำเป็นต้องอยู่ประจำที่นี่ทุกวัน”

ตอนนี้ลู่อี้ตัดสินใจที่จะทิ้งเด็กสองคนให้อยู่ประจำในสำนักเป็นเวลาสิบวัน ต่างจากที่นางเคยวางแผนไว้ในตอนแรก

“เขาต้องเริ่มต้นจากศูนย์ มีเวลาเพียงครึ่งปีในการเข้าเรียนชั้นปีหนึ่ง เจ้าคิดว่าสมควรให้พวกเขาเสียเวลาเปล่าไปกับการเดินทางหรือ?” ลู่อี้เอ่ยถามอย่างแผ่วเบา “แม้หานเอ๋อร์จะฉลาดเฉลียว แต่ก็ไม่อาจเทียบได้กับความฉลาดของลู่ฉาวอวี่ เขาต้องทำงานหนักกว่าผู้อื่นเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ”

“แล้วฉาวอวี่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่หรือ?”

“เขาต้องการอยู่ช่วยเหลือหานเอ๋อร์” ลู่อี้ตอบกลับอย่างใจเย็น “เขาเป็นคนมีนิสัยเย็นชา ไม่สนใจทั้งเจ้าและข้า บุคคลเดียวที่เขาห่วงใยมากที่สุดในโลกใบนี้ก็มีเพียงน้องสาวของเขา จะกักขังเขาไว้ในโลกของตนไม่ได้ ต้องให้เขาออกมาพบปะผู้คนเสียบ้าง”

มู่ซืออวี่พึมพำ “ผู้ใดเล่าที่ทำให้เขามีนิสัยเช่นนี้? ไม่ใช่เจ้าหรอกหรือ”

ลู่อี้เผยรอยยิ้ม “คนเราย่อมเปลี่ยนแปลงได้”

เมื่อมาถึงศาลาว่าการ มู่ซืออวี่ก็หยุดเดินแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้าไม่คาดคิดมาก่อนว่าพวกเขาจะต้องอาศัยอยู่ที่นี่ ไม่ได้เตรียมสิ่งใดมาให้เลย ข้าจะเช่าเกวียนวัวของหัวหน้าหมู่บ้าน นำของมาส่งให้พวกเขาในภายหลัง”

“เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่เถิด” ลู่อี้กล่าว “ไม่ต้องไป”

“เจ้าจะทำอะไร?!” มู่ซืออวี่ตะโกนตามหลังลู่อี้

ลู่อี้เข้าไปในศาลาว่าการ

มู่ซืออวี่เอนกายพิงกำแพงพลางเหยียบก้อนกรวดอย่างเกียจคร้าน นางปรายตาไปเห็นขอทานผู้หนึ่งนั่งอยู่ นางจึงมองด้วยความสงสัย

ขอทานชราผู้หนึ่งเดินผ่านมา คว้าเหรียญทองแดงในชามของขอทานผู้นั้นก่อนจะวิ่งหนีไป ทว่าขอทานเจ้าของชามกลับไม่ขยับ ราวกับกำลังหลับใหลอย่างไรอย่างนั้น

ช่างเป็นขอทานที่แปลกประหลาด

ทันใดนั้น ขอทานผู้นั้นก็ลืมตาขึ้น

มู่ซืออวี่ที่ถูกจับได้ว่าแอบมองอยู่เบือนหน้าหนีด้วยความลำบากใจ

“มีเหล้าหรือไม่?” ขอทานคนนั้นเอ่ยถาม

มู่ซืออวี่ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงหันกลับมาพบว่าขอทานผู้นั้นถามนาง

ดวงตาที่เฉียบคมของขอทานจับจ้องมายังนาง แววตาของขอทานสง่างามถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

“ไม่มี”

ขอทานหลับตาลงอีกครั้ง

กุบกับ กุบกับ…

มู่ซืออวี่หันมามองก็เห็นรถม้าวิ่งมา ลู่อี้กล่าวว่า “ขึ้นมา”

“เจ้าไปเอารถม้ามาจากที่ใด?”

“เช่ามา” ลู่อี้ตอบ “ราคาเพียง 2 ตำลึงต่อเดือนเท่านั้น”

2 ตำลึง… ฟังดูเข้าท่าไม่น้อย

ช่วงนี้นางจำเป็นต้องใช้รถม้า แต่นางขับรถม้าไม่เป็น!

เมื่อกลับมาถึงหมู่บ้าน ผู้คนมากมายต่างตกใจเมื่อได้เห็นลู่อี้ขับรถม้า แต่หลังจากได้ทราบว่ารถม้าถูกเช่ามาในราคา 2 ตำลึงต่อเดือน พวกเขาก็ค่อนขอดครอบครัวนี้อีกครั้ง

มู่ซืออวี่ไปหาถงซื่อ บอกนางว่ามู่เจิ้งหานไปเรียนแล้ว และจะกลับมาในสิบวันหลัง สีหน้าของถงซื่อดูผ่อนคลายลง ไม่พร่ำบ่นแม้เพียงนิด

“ข้าเองก็หายห่วงพอรู้ว่าเจ้ากับลูกเขยหาสำนักศึกษาดี ๆ ให้หานเอ๋อร์ ข้าขอบคุณพวกเจ้ายิ่งที่ให้โอกาสเขาก่อนทุกอย่างจะสายเกินไป ข้าไม่อยากให้เขาเป็นกังวลเรื่องครอบครัว เพียงแค่อยากให้ตั้งใจเรียน ตอนเด็ก ๆ เขาเคยอิจฉามู่เจิ้งอี้ที่ได้เรียนหนังสือ สิ่งนี้ติดค้างอยู่ในใจข้าเสมอ แต่เหตุใดข้าถึงไม่ตระหนักคิดสักนิดว่าข้าเป็นหนี้เขา ตอนนี้ทุกอย่างดีขึ้นมากแล้ว ในที่สุดเขาก็ได้เรียนหนังสือ ข้าปลาบปลื้มใจเหลือเกิน”

“ตอนนี้หานเอ๋อร์กำลังศึกษาอย่างจริงจัง ในอนาคต เขาจะไม่ด้อยไปกว่ามู่เจิ้งอี้อย่างแน่นอน นับจากนี้ไปท่านคาดหวังได้เลย ลูกชายจะเป็นพรของท่าน หานเอ๋อร์เป็นเด็กกตัญญู ทำงานหนักมาโดยตลอด เขาจะกลายเป็นเสาหลักของท่านอย่างแน่นอน”

“ฉาวอวี่เองก็เป็นเด็กฉลาด ทั้งยังมีพ่อเป็นผู้รู้หนังสือ นี่คือต้นกล้าที่ดีของพวกเจ้า ตอนนี้ชีวิตพวกเจ้ากำลังดีขึ้นเรื่อย ๆ เจ้ารักลูกให้มากเข้าไว้เถอะ ข้าเองก็ดีใจกับพวกเจ้า จริงสิ ตอนนี้เจ้ากับลูกเขยยังแยกห้องนอนกันอยู่หรือเปล่า?”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+