สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 213 บุรุษที่ดูแลเอาใจใส่ดีเช่นนี้ สตรีใดจะทนใจแข็งได้

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 213 บุรุษที่ดูแลเอาใจใส่ดีเช่นนี้ สตรีใดจะทนใจแข็งได้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 213 บุรุษที่ดูแลเอาใจใส่ดีเช่นนี้ สตรีใดจะทนใจแข็งได้

อย่าว่าแต่มู่ซืออวี่จะวิ่งไปไหนเลย กระทั่งขยับตัวนางยังไม่กล้า เพราะตำแหน่งในตอนนี้ค่อนข้างกระอักกระอ่วนไม่น้อย

ลู่อี้ตรวจบัญชีรายได้และคำสั่งซื้อที่ส่งออกไปอย่างใจเย็น ไม่รู้สึกถึงความลำบากใจของนางแม้แต่น้อย

ถึงตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะจิตใจสงบกว่ากันแล้ว

แน่ล่ะ จิตใจของมู่ซืออวี่ย่อมไม่สงบเท่าลู่อี้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นางไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากแกล้งทำเป็นหลับไป นางไม่อาจจ้องมองอีกฝ่ายตลอดเวลาเช่นนี้ได้

ลู่อี้ได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอจึงก้มลงมองนางครู่หนึ่ง

แม้แต่ยามหลับใหล คิ้วของนางยังคงขมวดมุ่น เขาเอื้อมมือไปนวดระหว่างคิ้วของนางเบา ๆ หวังให้นางผ่อนคลายลงสักนิด

แอ๊ด…

เฟิงเจิงผลักประตูเปิดเข้ามา

“เอ่อ…”

เมื่อเห็นมู่ซืออวี่นอนอยู่บนตักลู่อี้ก็รีบหุบปากฉับ กระซิบบอกลู่อี้ว่า “พี่อี้ ตรวจสอบออกมาได้แล้ว หลังจากพ่อบ้านรองกลับไป เขาก็ไปพบกับอนุภรรยาที่อยู่เรือนหลัง ข้าจึงลองสอบถามดู อนุภรรยาคนนั้นมีแซ่เหมือนกับเถ้าแก่เนี้ยของเรา แซ่มู่เช่นเดียวกัน ข้าเลยลองสอบถามต่อไป นึกไม่ถึงว่าอนุคนนั้นจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของเถ้าแก่เนี้ย”

“มู่ซือเจียว”

“ใช่แล้ว ชื่อนั้นเลย”

“ข้ารู้แล้ว เจ้าไปดูแลร้านต่อเถอะ หากมีเรื่องอะไรก็มาหาข้า”

ไม่นานหลังจากที่เฟิงเจิงออกไปก็กลับเข้ามาอีกครั้ง บอกว่าคุณหนูรองเจิ้งต้องการพบมู่ซืออวี่ ลู่อี้กำลังจะให้เฟิงเจิงออกไปบอกให้นางกลับไป มู่ซืออวี่ก็ลุกขึ้นมาพอดี

“ซูอวี้มาหรือ? ข้าจะออกไปดูสักหน่อย”

“ตอนนี้เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วหรือ?” ลู่อี้รู้สึกไม่วางใจ

“ข้าหลับไปงีบหนึ่ง รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว” อาจเป็นเพราะนางดื่มน้ำจากน้ำตาลทรายแดงที่เขาทำมาให้

บุรุษที่ดูแลเอาใจใส่ดีเช่นนี้ สตรีใดจะทนใจแข็งได้?

เจิ้งซูอวี้เพียงแค่มาพูดคุยกับมู่ซืออวี่

หญิงชราตระกูลเจิ้งชักจะลำเอียงเกินไปแล้ว ทว่าท่านพ่อของนางกลับกตัญญูอย่างโง่เขลา ทำให้นางตกอยู่ในสภาพข้างหน้ามีเสือข้างหลังมีหมาป่า ไม่ได้สงบสุขแม้แต่น้อย

ร้านที่นางทำจนประสบความสำเร็จ ฮูหยินผู้เฒ่าได้บีบเอาไปมอบให้เจิ้งซินเยว่ดูแล ตอนนี้ยังคิดจะตระเตรียมงานแต่งให้นางอีก เจิ้งซูอวี้รู้สึกอับจนหนทาง หดหู่ใจเป็นอย่างมาก

“ข้าอยากแยกครอบครัว แต่ท่านพ่อของข้าไม่ยินยอม” เจิ้งซูอวี้ยิ้มอย่างขมขื่น “เขากตัญญู จนข้ากลายเป็นคนไม่กตัญญู เขาสนใจแค่เพียงการทำหน้าที่ลูกกตัญญูของตนเท่านั้น ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของข้า เขาคิดจะใช้ชีวิตของลูกสาวตนมาเป็นเครื่องมือแสดงความกตัญญูก็เท่านั้น”

“เรื่องในบ้านประเภทนี้ล้วนเป็นทางเลือกที่ยากที่สุด ข้าช่วยท่านไม่ได้ แต่ข้าสามารถรับฟังความคับแค้นใจและพูดคุยกับท่านได้” มู่ซืออวี่กล่าว

“ข้ารู้ เช่นนี้ก็ดีแล้ว” เจิ้งซูอวี้ยิ้มอย่างห่อเหี่ยว “ท่านรู้หรือไม่? เมื่อครู่ข้าเพิ่งไปหาหงซูมา สถานการณ์ของนางแย่ยิ่งกว่าข้าเสียอีก หลังจากพี่ชายไร้ประโยชน์ของนางเกิดเรื่อง ตระกูลของนางก็จัดแจงเรื่องแต่งงานให้นาง แต่ว่านางยังดี อย่างน้อยนางก็ไม่ได้แต่งงานกับคนต่ำช้าที่ใดแต่เป็นบัณฑิตจากสำนักบัณฑิตเขาเขียว ชื่อฟางโจวอวี่อะไรสักอย่าง”

“ฟางโจวอวี่…เป็นเขานี่เอง!”

“ท่านรู้จักเขาหรือ?”

“ท่านก็เคยพบ ครั้งก่อนยังเห็นเขาทำท่าทีสนิทสนมกับพี่สาวของท่านอยู่เลยไม่ใช่หรือไง?”

“เขานั่นเอง!” เจิ้งซูอวี้นึกขึ้นได้ “ข้าก็ว่าเหตุใดได้ยินชื่อนี้แล้วรู้สึกคุ้นหูยิ่งนัก”

“คนผู้นี้…” มู่ซืออวี่ไม่อยากพูดคุยนินทาลับหลัง แต่เขาเป็นคนชั่วช้าสามานย์

ถึงแม้นางจะไม่ชอบตระกูลหลี่ แต่ก็ไม่เคยคิดร้ายกับหลี่หงซู แม่นางน้อยคนหนึ่งที่ดีถึงเพียงนี้ต้องแต่งงานกับคนหน้าซื่อใจคดอย่างฟางโจวอวี่ ช่างน่าเวทนาจริง ๆ

“การแต่งงานไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย มันจะส่งผลกระทบไปทั้งชีวิต มีคนกล่าวว่าการแต่งงานสำหรับสตรีก็เหมือนกับการได้เกิดใหม่ครั้งที่สอง หากการเกิดใหม่ครั้งที่สองนี้ไม่ทำให้ดี เช่นนั้นชีวิตนี้คงจบสิ้นแล้ว”

“คำพูดที่ท่านกล่าวข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร? แต่ไม่ว่าจะเป็นหงซูก็ดี หรือเป็นข้าก็ดี พวกเราล้วนเป็นคนน่าเวทนาในโลกใบนี้ เรื่องการแต่งงานไม่ใช่เรื่องที่พวกเราสามารถตัดสินใจได้ ล้วนเป็นไปตามคำสั่งของบิดามารดาและการชักนำของแม่สื่อ” เจิ้งซูอวี้เอ่ยต่อ “ฟางโจวอวี่เป็นหนึ่งในคนที่สนิทชิดเชื้อกับพี่สาวเจ้าเล่ห์เพทุบายคนนั้นของข้า หากหงซูแต่งงานกับเขาไป เกรงว่าคงมีคนอยู่ใต้การควบคุมของเจิ้งซินเยว่เพิ่มขึ้นมาอีกคน”

มู่ซืออวี่พลันรู้สึกสนใจเจิ้งซินเยว่คนนี้ขึ้นมา

เจิ้งซูอวี้เป็นคนที่เฉลียวฉลาดเช่นนี้ แต่กลับพ่ายแพ้อยู่ในกำมือของเจิ้งซินเยว่ครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงแม้จะมีความช่วยเหลือของฮูหยินผู้เฒ่าเจิ้งคนนั้น อีกฝ่ายก็คงไม่ใช่เล่น ๆ

“ท่านเล่า พวกเขาให้ท่านแต่งงานกับใคร? ครั้งก่อนถังหมิงฉงเสื่อมเสียชื่อเสียงของเขาไปแล้ว ตระกูลของท่านคงไม่ทำเกินไป ไม่ถึงขั้นให้ท่านแต่งงานกับคนเช่นนั้นกระมัง?”

“ไม่ใช่คนแซ่ถัง แต่เป็นแซ่เฉียน” เจิ้งซูอวี้ตอบ “ตระกูลเฉียนเป็นพ่อค้าวาณิชขายเกลือ นับได้ว่าเป็นตระกูลที่มั่งคั่งมากตระกูลหนึ่ง”

เจิ้งซูอวี้สำรอกความขมขื่นออกมาอยู่ครู่หนึ่ง เห็นสีหน้าของมู่ซืออวี่ไม่สู้ดีนักก็ไม่กล้าอยู่นานเกินไป สักพักจึงพาชิวซวงกลับไป

เพียงแค่มู่ซืออวี่กำลังจะลุกขึ้นนั้นเอง นางก็ถูกลู่อี้อุ้มขึ้นมา

“เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่?”

“ในร้านไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้ามาดูว่าพวกเจ้าพูดคุยกันจบแล้วหรือยัง หากเสร็จแล้วข้าจะพาเจ้ากลับไปพักผ่อนที่บ้าน”

“ท่านได้ยินไปมากแค่ไหนแล้ว?”

“ข้าเพิ่งมา ไม่ได้ยินอะไร เจ้าพูดคุยกันเรื่องของข้าหรือ?” ลู่อี้เลิกคิ้วขึ้น

“ไม่ใช่นะ” มู่ซืออวี่ลูบคอของตน “ล้วนแต่เป็นเรื่องส่วนตัวของซูอวี้ ถ้าหากท่านได้ยิน นางรู้เข้าจะไม่สบายใจน่ะ”

วันนี้ลู่อี้พามู่ซืออวี่มาที่ร้าน เซี่ยคุนจึงผละไป

เซี่ยคุนผู้นี้ลึกลับซับซ้อนมาโดยตลอด บางครั้งอยากจะเรียกหาเขาก็ไม่รู้ว่าต้องไปหาที่ใด ไม่รู้ว่าเขายุ่งอยู่กับอะไรนักหนา

ในหมู่บ้าน ทันทีที่รถม้าเคลื่อนมาที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน ก็เห็นหญิงสาวหลายคนยืนเกาะกลุ่มนินทาอยู่ที่นั่น

“ภรรยาลู่อี้ พี่สาวของเจ้ากลับมาแล้ว”

ทุกคนในหมู่บ้านรู้ว่ามู่ซืออวี่และมู่ซือเจียวไม่ถูกคอกัน พอหญิงสาวคนนั้นเอ่ยประโยคนี้ออกมา มองแค่แวบแรกก็รู้ว่ากลัวโลกนี้จะวุ่นวายโกลาหลไม่พอ

“ข้าไม่มีพี่สาว” มู่ซืออวี่ที่พิงอยู่กับรถม้าเอ่ยขึ้น

“ถึงแม้พวกเจ้าจะตัดสัมพันธ์กันแล้ว พวกเจ้าก็ยังมีสายเลือดเดียวกัน เรื่องนี้ไม่อาจปฏิเสธได้”

“นั่นสิ”

“ตอนนี้พี่สาวของเจ้ารวยแล้ว”

หญิงสาวสองสามคนนั้นเอ่ยถึงความเป็นไปของมู่ซือเจียว และพยายามโน้มน้าวนาง ‘พี่สาวน้องสาวไม่ควรโกรธกันข้ามคืน’ สายตาสอดรู้สอดเห็นเหล่านั้นราวกับกำลังบอกว่า ‘รีบตีกันสิ’

ช่างน่าเบื่อหน่ายจริง ๆ

มู่ซืออวี่แค่อยากจะอยู่อย่างเงียบสงบ แต่คนบางคนกลับมักรนหาที่ตายอยู่ร่ำไป

รถม้าเพิ่งผ่านประตูบ้านแม่เฒ่าเจียง ก็เห็นมู่ซือเจียวที่ท้องป่องพร่ำบ่นว่า “โอ๊ย ตกใจหมด เหตุใดบังคับรถม้ามาไม่แจ้งข้าเสียก่อน? หากทำให้หน่อเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของตระกูลหวังในท้องของข้าตกใจกลัว พวกเจ้าจะรับผิดชอบได้หรือไม่?”

สิ้นคำนั้น นางก็ยกมือขึ้นลูบท้องของตนเองอย่างอ่อนโยน สายตาเปี่ยมไปด้วยความรักของแม่

มู่ซืออวี่มองมู่ซือเจียวพลางกล่าวว่า “ในท้องของเจ้า หน่อเนื้อเชื้อไขของตระกูลหวังคนนี้เรื่องจริงเป็นอย่างไร ข้ากระจ่างแก่ใจดี อย่ามากระโดดโลดเต้นอยู่ตรงหน้าข้า มิเช่นนั้นข้าจะทำให้เกียรติยศและความมั่งคั่งของเจ้าพินาศย่อยยับ”

มู่ซือเจียวสวมใส่เสื้อผ้าไหมแพร ราวกับเป็นฮูหยินจากตระกูลผู้มั่งมี ทว่าอนุก็คืออนุ มองแค่ใบหน้านั้นก็รู้ว่าไม่มีทางกลายเป็นภรรยาเอกได้

หากจะกล่าวแล้ว ในท้องของนางเป็นลูกของใคร คนในครอบครัวมู่รู้ดี และตัวนางเองก็รู้ดีเช่นกัน

ตระกูลหวังเก็บนางเอาไว้ไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์ใด มักรู้สึกว่าจะต้องมีบางอย่างผิดปกติเป็นแน่ อย่างไรก็ตาม นางกลับไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย ยังคงเบิกบานสำราญใจอยู่ที่นี่ หากเป็นมู่ซืออวี่ เกรงว่านางคงจะไม่อารมณ์ดีเช่นนี้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 213 บุรุษที่ดูแลเอาใจใส่ดีเช่นนี้ สตรีใดจะทนใจแข็งได้

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 213 บุรุษที่ดูแลเอาใจใส่ดีเช่นนี้ สตรีใดจะทนใจแข็งได้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 213 บุรุษที่ดูแลเอาใจใส่ดีเช่นนี้ สตรีใดจะทนใจแข็งได้

อย่าว่าแต่มู่ซืออวี่จะวิ่งไปไหนเลย กระทั่งขยับตัวนางยังไม่กล้า เพราะตำแหน่งในตอนนี้ค่อนข้างกระอักกระอ่วนไม่น้อย

ลู่อี้ตรวจบัญชีรายได้และคำสั่งซื้อที่ส่งออกไปอย่างใจเย็น ไม่รู้สึกถึงความลำบากใจของนางแม้แต่น้อย

ถึงตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าใครจะจิตใจสงบกว่ากันแล้ว

แน่ล่ะ จิตใจของมู่ซืออวี่ย่อมไม่สงบเท่าลู่อี้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นางไม่เหลือทางเลือกอื่นนอกจากแกล้งทำเป็นหลับไป นางไม่อาจจ้องมองอีกฝ่ายตลอดเวลาเช่นนี้ได้

ลู่อี้ได้ยินเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอจึงก้มลงมองนางครู่หนึ่ง

แม้แต่ยามหลับใหล คิ้วของนางยังคงขมวดมุ่น เขาเอื้อมมือไปนวดระหว่างคิ้วของนางเบา ๆ หวังให้นางผ่อนคลายลงสักนิด

แอ๊ด…

เฟิงเจิงผลักประตูเปิดเข้ามา

“เอ่อ…”

เมื่อเห็นมู่ซืออวี่นอนอยู่บนตักลู่อี้ก็รีบหุบปากฉับ กระซิบบอกลู่อี้ว่า “พี่อี้ ตรวจสอบออกมาได้แล้ว หลังจากพ่อบ้านรองกลับไป เขาก็ไปพบกับอนุภรรยาที่อยู่เรือนหลัง ข้าจึงลองสอบถามดู อนุภรรยาคนนั้นมีแซ่เหมือนกับเถ้าแก่เนี้ยของเรา แซ่มู่เช่นเดียวกัน ข้าเลยลองสอบถามต่อไป นึกไม่ถึงว่าอนุคนนั้นจะเป็นลูกพี่ลูกน้องของเถ้าแก่เนี้ย”

“มู่ซือเจียว”

“ใช่แล้ว ชื่อนั้นเลย”

“ข้ารู้แล้ว เจ้าไปดูแลร้านต่อเถอะ หากมีเรื่องอะไรก็มาหาข้า”

ไม่นานหลังจากที่เฟิงเจิงออกไปก็กลับเข้ามาอีกครั้ง บอกว่าคุณหนูรองเจิ้งต้องการพบมู่ซืออวี่ ลู่อี้กำลังจะให้เฟิงเจิงออกไปบอกให้นางกลับไป มู่ซืออวี่ก็ลุกขึ้นมาพอดี

“ซูอวี้มาหรือ? ข้าจะออกไปดูสักหน่อย”

“ตอนนี้เจ้าไม่เป็นอะไรแล้วหรือ?” ลู่อี้รู้สึกไม่วางใจ

“ข้าหลับไปงีบหนึ่ง รู้สึกดีขึ้นมากแล้ว” อาจเป็นเพราะนางดื่มน้ำจากน้ำตาลทรายแดงที่เขาทำมาให้

บุรุษที่ดูแลเอาใจใส่ดีเช่นนี้ สตรีใดจะทนใจแข็งได้?

เจิ้งซูอวี้เพียงแค่มาพูดคุยกับมู่ซืออวี่

หญิงชราตระกูลเจิ้งชักจะลำเอียงเกินไปแล้ว ทว่าท่านพ่อของนางกลับกตัญญูอย่างโง่เขลา ทำให้นางตกอยู่ในสภาพข้างหน้ามีเสือข้างหลังมีหมาป่า ไม่ได้สงบสุขแม้แต่น้อย

ร้านที่นางทำจนประสบความสำเร็จ ฮูหยินผู้เฒ่าได้บีบเอาไปมอบให้เจิ้งซินเยว่ดูแล ตอนนี้ยังคิดจะตระเตรียมงานแต่งให้นางอีก เจิ้งซูอวี้รู้สึกอับจนหนทาง หดหู่ใจเป็นอย่างมาก

“ข้าอยากแยกครอบครัว แต่ท่านพ่อของข้าไม่ยินยอม” เจิ้งซูอวี้ยิ้มอย่างขมขื่น “เขากตัญญู จนข้ากลายเป็นคนไม่กตัญญู เขาสนใจแค่เพียงการทำหน้าที่ลูกกตัญญูของตนเท่านั้น ไม่เคยคิดถึงความรู้สึกของข้า เขาคิดจะใช้ชีวิตของลูกสาวตนมาเป็นเครื่องมือแสดงความกตัญญูก็เท่านั้น”

“เรื่องในบ้านประเภทนี้ล้วนเป็นทางเลือกที่ยากที่สุด ข้าช่วยท่านไม่ได้ แต่ข้าสามารถรับฟังความคับแค้นใจและพูดคุยกับท่านได้” มู่ซืออวี่กล่าว

“ข้ารู้ เช่นนี้ก็ดีแล้ว” เจิ้งซูอวี้ยิ้มอย่างห่อเหี่ยว “ท่านรู้หรือไม่? เมื่อครู่ข้าเพิ่งไปหาหงซูมา สถานการณ์ของนางแย่ยิ่งกว่าข้าเสียอีก หลังจากพี่ชายไร้ประโยชน์ของนางเกิดเรื่อง ตระกูลของนางก็จัดแจงเรื่องแต่งงานให้นาง แต่ว่านางยังดี อย่างน้อยนางก็ไม่ได้แต่งงานกับคนต่ำช้าที่ใดแต่เป็นบัณฑิตจากสำนักบัณฑิตเขาเขียว ชื่อฟางโจวอวี่อะไรสักอย่าง”

“ฟางโจวอวี่…เป็นเขานี่เอง!”

“ท่านรู้จักเขาหรือ?”

“ท่านก็เคยพบ ครั้งก่อนยังเห็นเขาทำท่าทีสนิทสนมกับพี่สาวของท่านอยู่เลยไม่ใช่หรือไง?”

“เขานั่นเอง!” เจิ้งซูอวี้นึกขึ้นได้ “ข้าก็ว่าเหตุใดได้ยินชื่อนี้แล้วรู้สึกคุ้นหูยิ่งนัก”

“คนผู้นี้…” มู่ซืออวี่ไม่อยากพูดคุยนินทาลับหลัง แต่เขาเป็นคนชั่วช้าสามานย์

ถึงแม้นางจะไม่ชอบตระกูลหลี่ แต่ก็ไม่เคยคิดร้ายกับหลี่หงซู แม่นางน้อยคนหนึ่งที่ดีถึงเพียงนี้ต้องแต่งงานกับคนหน้าซื่อใจคดอย่างฟางโจวอวี่ ช่างน่าเวทนาจริง ๆ

“การแต่งงานไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย มันจะส่งผลกระทบไปทั้งชีวิต มีคนกล่าวว่าการแต่งงานสำหรับสตรีก็เหมือนกับการได้เกิดใหม่ครั้งที่สอง หากการเกิดใหม่ครั้งที่สองนี้ไม่ทำให้ดี เช่นนั้นชีวิตนี้คงจบสิ้นแล้ว”

“คำพูดที่ท่านกล่าวข้าจะไม่รู้ได้อย่างไร? แต่ไม่ว่าจะเป็นหงซูก็ดี หรือเป็นข้าก็ดี พวกเราล้วนเป็นคนน่าเวทนาในโลกใบนี้ เรื่องการแต่งงานไม่ใช่เรื่องที่พวกเราสามารถตัดสินใจได้ ล้วนเป็นไปตามคำสั่งของบิดามารดาและการชักนำของแม่สื่อ” เจิ้งซูอวี้เอ่ยต่อ “ฟางโจวอวี่เป็นหนึ่งในคนที่สนิทชิดเชื้อกับพี่สาวเจ้าเล่ห์เพทุบายคนนั้นของข้า หากหงซูแต่งงานกับเขาไป เกรงว่าคงมีคนอยู่ใต้การควบคุมของเจิ้งซินเยว่เพิ่มขึ้นมาอีกคน”

มู่ซืออวี่พลันรู้สึกสนใจเจิ้งซินเยว่คนนี้ขึ้นมา

เจิ้งซูอวี้เป็นคนที่เฉลียวฉลาดเช่นนี้ แต่กลับพ่ายแพ้อยู่ในกำมือของเจิ้งซินเยว่ครั้งแล้วครั้งเล่า ถึงแม้จะมีความช่วยเหลือของฮูหยินผู้เฒ่าเจิ้งคนนั้น อีกฝ่ายก็คงไม่ใช่เล่น ๆ

“ท่านเล่า พวกเขาให้ท่านแต่งงานกับใคร? ครั้งก่อนถังหมิงฉงเสื่อมเสียชื่อเสียงของเขาไปแล้ว ตระกูลของท่านคงไม่ทำเกินไป ไม่ถึงขั้นให้ท่านแต่งงานกับคนเช่นนั้นกระมัง?”

“ไม่ใช่คนแซ่ถัง แต่เป็นแซ่เฉียน” เจิ้งซูอวี้ตอบ “ตระกูลเฉียนเป็นพ่อค้าวาณิชขายเกลือ นับได้ว่าเป็นตระกูลที่มั่งคั่งมากตระกูลหนึ่ง”

เจิ้งซูอวี้สำรอกความขมขื่นออกมาอยู่ครู่หนึ่ง เห็นสีหน้าของมู่ซืออวี่ไม่สู้ดีนักก็ไม่กล้าอยู่นานเกินไป สักพักจึงพาชิวซวงกลับไป

เพียงแค่มู่ซืออวี่กำลังจะลุกขึ้นนั้นเอง นางก็ถูกลู่อี้อุ้มขึ้นมา

“เหตุใดท่านจึงมาอยู่ที่นี่?”

“ในร้านไม่มีเรื่องอะไรแล้ว ข้ามาดูว่าพวกเจ้าพูดคุยกันจบแล้วหรือยัง หากเสร็จแล้วข้าจะพาเจ้ากลับไปพักผ่อนที่บ้าน”

“ท่านได้ยินไปมากแค่ไหนแล้ว?”

“ข้าเพิ่งมา ไม่ได้ยินอะไร เจ้าพูดคุยกันเรื่องของข้าหรือ?” ลู่อี้เลิกคิ้วขึ้น

“ไม่ใช่นะ” มู่ซืออวี่ลูบคอของตน “ล้วนแต่เป็นเรื่องส่วนตัวของซูอวี้ ถ้าหากท่านได้ยิน นางรู้เข้าจะไม่สบายใจน่ะ”

วันนี้ลู่อี้พามู่ซืออวี่มาที่ร้าน เซี่ยคุนจึงผละไป

เซี่ยคุนผู้นี้ลึกลับซับซ้อนมาโดยตลอด บางครั้งอยากจะเรียกหาเขาก็ไม่รู้ว่าต้องไปหาที่ใด ไม่รู้ว่าเขายุ่งอยู่กับอะไรนักหนา

ในหมู่บ้าน ทันทีที่รถม้าเคลื่อนมาที่ปากทางเข้าหมู่บ้าน ก็เห็นหญิงสาวหลายคนยืนเกาะกลุ่มนินทาอยู่ที่นั่น

“ภรรยาลู่อี้ พี่สาวของเจ้ากลับมาแล้ว”

ทุกคนในหมู่บ้านรู้ว่ามู่ซืออวี่และมู่ซือเจียวไม่ถูกคอกัน พอหญิงสาวคนนั้นเอ่ยประโยคนี้ออกมา มองแค่แวบแรกก็รู้ว่ากลัวโลกนี้จะวุ่นวายโกลาหลไม่พอ

“ข้าไม่มีพี่สาว” มู่ซืออวี่ที่พิงอยู่กับรถม้าเอ่ยขึ้น

“ถึงแม้พวกเจ้าจะตัดสัมพันธ์กันแล้ว พวกเจ้าก็ยังมีสายเลือดเดียวกัน เรื่องนี้ไม่อาจปฏิเสธได้”

“นั่นสิ”

“ตอนนี้พี่สาวของเจ้ารวยแล้ว”

หญิงสาวสองสามคนนั้นเอ่ยถึงความเป็นไปของมู่ซือเจียว และพยายามโน้มน้าวนาง ‘พี่สาวน้องสาวไม่ควรโกรธกันข้ามคืน’ สายตาสอดรู้สอดเห็นเหล่านั้นราวกับกำลังบอกว่า ‘รีบตีกันสิ’

ช่างน่าเบื่อหน่ายจริง ๆ

มู่ซืออวี่แค่อยากจะอยู่อย่างเงียบสงบ แต่คนบางคนกลับมักรนหาที่ตายอยู่ร่ำไป

รถม้าเพิ่งผ่านประตูบ้านแม่เฒ่าเจียง ก็เห็นมู่ซือเจียวที่ท้องป่องพร่ำบ่นว่า “โอ๊ย ตกใจหมด เหตุใดบังคับรถม้ามาไม่แจ้งข้าเสียก่อน? หากทำให้หน่อเนื้อเชื้อไขเพียงคนเดียวของตระกูลหวังในท้องของข้าตกใจกลัว พวกเจ้าจะรับผิดชอบได้หรือไม่?”

สิ้นคำนั้น นางก็ยกมือขึ้นลูบท้องของตนเองอย่างอ่อนโยน สายตาเปี่ยมไปด้วยความรักของแม่

มู่ซืออวี่มองมู่ซือเจียวพลางกล่าวว่า “ในท้องของเจ้า หน่อเนื้อเชื้อไขของตระกูลหวังคนนี้เรื่องจริงเป็นอย่างไร ข้ากระจ่างแก่ใจดี อย่ามากระโดดโลดเต้นอยู่ตรงหน้าข้า มิเช่นนั้นข้าจะทำให้เกียรติยศและความมั่งคั่งของเจ้าพินาศย่อยยับ”

มู่ซือเจียวสวมใส่เสื้อผ้าไหมแพร ราวกับเป็นฮูหยินจากตระกูลผู้มั่งมี ทว่าอนุก็คืออนุ มองแค่ใบหน้านั้นก็รู้ว่าไม่มีทางกลายเป็นภรรยาเอกได้

หากจะกล่าวแล้ว ในท้องของนางเป็นลูกของใคร คนในครอบครัวมู่รู้ดี และตัวนางเองก็รู้ดีเช่นกัน

ตระกูลหวังเก็บนางเอาไว้ไม่รู้ว่ามีจุดประสงค์ใด มักรู้สึกว่าจะต้องมีบางอย่างผิดปกติเป็นแน่ อย่างไรก็ตาม นางกลับไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย ยังคงเบิกบานสำราญใจอยู่ที่นี่ หากเป็นมู่ซืออวี่ เกรงว่านางคงจะไม่อารมณ์ดีเช่นนี้

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด