สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 285 เฝ้านางไว้ อย่าละสายตาแม้แต่อึดใจเดียว

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 285 เฝ้านางไว้ อย่าละสายตาแม้แต่อึดใจเดียว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 284 นายอำเภอคนใหม่เข้ารับตำแหน่ง

บทที่ 284 นายอำเภอคนใหม่เข้ารับตำแหน่ง

ลู่อี้เดินไปหามู่ซืออวี่ “ฮูหยิน ข้าต้องเข้าเมืองสักเที่ยว เรื่องที่บ้านต้องลำบากเจ้าแล้ว”

มู่ซืออวี่จัดระเบียบปกเสื้อให้เขา จากนั้นจึงเงยหน้ามองเขา “ข้าจะคอยสนับสนุนท่านอยู่เสมอ เรื่องที่บ้านข้าจะดูแลให้เรียบร้อย ท่านไม่ต้องเป็นห่วง”

“หากข้าจัดการเสร็จแล้วจะกลับมา” ลู่อี้กล่าว “ทว่าอาจต้องใช้เวลาหลายวัน”

“ไม่เป็นไร ท่านไปจัดการให้เรียบร้อยเถอะ” มู่ซืออวี่เอ่ยตอบ “ชาวบ้านในหมู่บ้านอาจรอคอยดื่มสุราเลื่อนขั้นของท่านอยู่ สะสางงานเสร็จแล้วก็กลับมาเชิญทุกคนร่วมดื่มสุราเถอะ!”

หลังจากลู่อี้จากไปพร้อมกับนักการเกาและคนอื่น ๆ แล้ว ทุกคนในหมู่บ้านก็เข้ามารวมตัวกัน ทุกคนพูดคุยสรวลเสเฮฮา ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากคำยินดี เทียบกับตำแหน่งจู่ปู้เล็ก ๆ เมื่อก่อนแล้ว ครานี้ท่าทีของพวกเขากระตือรือร้นมากกว่าเดิม

มู่ซืออวี่ยังคงตกตะลึงกับเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ หลังจากที่ส่งทุกคนกลับไปอย่างยากเย็น นางต้องจิบน้ำหนึ่งคำกว่าจะสงบใจลงได้ ทางร้านส่งเฟิงเจิงมาหานางที่ชนบท บอกว่าเย่อิงเกอจะสั่งสินค้าอีกชุด

ลู่อี้กลับมาก็สิบวันให้หลังแล้ว ครั้งนี้เขามารับมู่ซืออวี่และคนอื่น ๆ กลับเข้าไปในเมือง อย่างไรเสียบัดนี้เขาก็กลายเป็นนายอำเภอแล้ว จึงมีเรื่องราวมากมายที่ต้องรับผิดชอบ เกรงว่าจะไม่มีเวลากลับมายังชนบท ก่อนที่จะพาทุกคนกลับเข้าไปในเมือง เขาเชิญหัวหน้าพ่อครัวจากภัตตาคารในเมืองมา ให้หัวหน้าพ่อครัวทำอาหารโต๊ะที่ดีที่สุด และเชิญคนทั้งหมู่บ้านมาดื่มกินสังสรรค์

หัวหน้าหมู่บ้านเปิดโถงบรรพบุรุษเป็นพิเศษ เขียนคุณงามความดีของลู่อี้ที่กลายเป็นนายอำเภอลงใน ‘บันทึกชื่อเสียงตระกูลลู่’

หลังจากงานเลี้ยงจบสิ้น ลู่อี้จึงพาครอบครัวกลับเข้าไปในเมือง

เพื่อให้สะดวกต่อการทำหน้าที่ของเขา ลู่อี้จำต้องย้ายเข้าไปอยู่เรือนด้านหลังศาลาว่าการ ซึ่งเขาต้องกินอยู่หลับนอนในศาลาว่าการ อย่างไรก็ตามความชอบเรื่องห้องหับของเจ้าของคนก่อนไม่ตรงกับความชอบของมู่ซืออวี่นัก นางจึงตั้งใจจะปรับปรุงสถานที่แห่งนี้ใหม่ อย่างน้อยก็ให้เจริญตา จะได้น่าอยู่อาศัย

“ใต้เท้าโจวเล่า?” มู่ซืออวี่นอนซบอกลู่อี้

หลังจากออกกำลังกันแล้ว ทั้งสองยังหอบหายใจเล็กน้อย ลู่อี้กอดนางไว้แน่น เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในระยะนี้ให้ฟัง

“ถูกปลดแล้ว ลดสถานะเป็นราษฎรธรรมดา ตอนนี้คงกลับไปที่บ้านเกิดอย่างสิ้นหวังแล้ว” ลู่อี้ลูบแก้มนางเบา ๆ

“นี่ถือว่าดีสำหรับเขาแล้ว” มู่ซืออวี่ไม่มีความรู้สึกดีอันใดกับนายอำเภอคนนี้

ใต้เท้าโจวมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นาน ก็อดทนรอไม่ไหว ทำตามการชักจูงของปลัดอำเภอเฉิน ขูดเลือดขูดเนื้อราษฎรเสียแล้ว ชาวเมืองธรรมดา ๆ ย่อมไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด ทว่าหลังปิดประตูห้องหับแล้ว ผู้ใดไม่กล่าวบ้างว่าเขาเทียบนายอำเภอฉินไม่ได้แม้ปลายก้อย?

“นอนเถอะ!”

“ในเมื่อท่านกลายเป็นนายอำเภอแล้ว ภายหน้าย่อมต้องเผชิญกับสิ่งที่ไม่น่ายินดีอีกมากมายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ว่าท่านจะทำสิ่งใด ข้าจะสนับสนุนท่าน ทว่าท่านก็ต้องรับปากข้าเช่นกันว่าจะต้องดูแลตัวเองให้ดี ได้หรือไม่?”

“ได้”

ลู่อี้เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการ เรื่องแรกที่ต้องจัดการคือความวุ่นวายที่นายอำเภอโจวทิ้งเอาไว้ จากนั้นถอดถอนคนที่นายอำเภอโจวเลื่อนขั้นขึ้นมา รวมถึงปลัดอำเภอเฉิน เขากลายเป็นคนว่างงานแล้วเช่นกัน

ในเมื่อถอดถอนไปแล้ว แน่นอนว่าต้องแต่งตั้งคนมาแทนที่ ตำแหน่งปลัดอำเภอตำแหน่งเดิมเก็บไว้ให้เวินเหวินซง ส่วนตำแหน่งจู่ปู้เก็บไว้ให้เจ้าหน้าที่อีกคนที่ทำงานอย่างซื่อสัตย์และขยันหมั่นเพียร

“พวกเจ้ารีบดูเร็วเข้า ภาษีของพวกเราลดลงแล้ว”

ด้านหน้าแผ่นป้ายประกาศของทางการ ชาวเมืองล้วนเข้ามามุงดูป้ายนี้

“ดูเหมือนว่าใต้เท้าลู่ผู้นี้จะเป็นขุนนางที่ดีเหมือนใต้เท้าฉิน”

“ตอนนี้อย่าเพิ่งดีใจเร็วเกินไปนัก ผู้ที่เพิ่งเข้ามารับตำแหน่งใหม่มักจะเสแสร้งไปสักพัก จะเป็นขุนนางที่ดีหรือไม่ ตอนนี้ย่อมยังมองไม่ออก”

มู่ซืออวี่นั่งอยู่ในรถม้า ฟังชาวเมืองพูดคุยกัน

จื่อซูเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยิน ท่านอย่าได้โกรธไปเลยเจ้าค่ะ พวกเขาไม่รู้จักนายท่าน ผ่านไปสักพักพวกเขาจะต้องรู้แน่นอนว่านายท่านดีเพียงใด”

“ข้าไม่ได้โกรธ” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น “ถูกงูกัดเพียงครั้งเดียว ย่อมหวาดกลัวเชือกไปสิบปี ถึงแม้นายอำเภอโจวจะรับตำแหน่งได้ไม่นาน ทว่าสิ่งที่เขาทำลงไปยังคงส่งผลต่อชีวิตของผู้คน ชาวเมืองบางคนยังไม่ยอมรับนายอำเภอคนใหม่อย่างง่ายดายก็เป็นเรื่องธรรมดา”

ณ เรือนกรุ่นฝัน

ทันทีที่รถม้าหยุดลง เฟิงเจิงก็ออกมาต้อนรับนางพลางหัวเราะชอบใจ “ยินดีกับฮูหยินนายอำเภอด้วย”

มู่ซืออวี่ลงจากรถม้า เอ่ยด้วยท่าทีฉุนเฉียว “เจ้าเด็กซน เชื่อหรือไม่ว่าข้าจะส่งเจ้าไปเปิดร้านในสถานที่ที่แม้แต่นกยังไม่อยากขี้?”

“อย่านะ ๆ ส่งข้าไปสถานที่ห่างไกลเช่นนั้น พวกเราจะหาเงินได้หรือ?” เฟิงเจิงยิ้ม

“พอได้แล้ว จริงจังหน่อย”

หลังจากที่ลงจากรถมา นางก็ถามเฟิงเจิงถึงสถานการณ์ของกิจการในระยะนี้

หลังจากลู่อี้เข้ารับตำแหน่ง ในฐานะฮูหยินนายอำเภอ นางจึงมีฮูหยินจากตระกูลผู้มั่งมีในเมืองมาเยี่ยมเยียนหลายคน หลายวันมานี้ต้องรักษาท่าทีของฮูหยินนายอำเภอ ไม่รู้เลยว่าสถานการณ์ที่ร้านเป็นอย่างไรบ้าง

ทว่าเป็นฮูหยินนายอำเภอก็มีประโยชน์เช่นกัน อย่างเช่นกิจการร้านไม่จำเป็นต้องประชาสัมพันธ์อีกต่อไป ชื่อเสียงนางดึงดูดผู้คนมาที่นี่เสียเอง หลายคนต่างตะเกียกตะกายซื้อสินค้าจากร้านของนาง

“สินค้าในร้านขายหมดแล้วหรือ?”

เมื่อเห็นร้านที่ว่างเปล่า มู่ซืออวี่พลันขมวดคิ้ว

“สินค้าที่เหลือเหล่านี้เพิ่งย้ายเข้ามาชั่วคราว ล้วนแต่ถูกลูกค้าเมื่อวานสั่งไว้ล่วงหน้าแล้ว เหลือเพียงแค่ร้านว่างเปล่าร้านหนึ่ง” เฟิงเจิงกล่าว “หากเป็นเช่นนี้ต่อไป สินค้าของพวกเราจะไม่พอขายแล้ว”

“พวกเขาเพียงแค่จงใจประจบสามีของข้าเพียงเพราะเขาเป็นนายอำเภอ อีกสองสามวัน หากพวกเขาพบว่าตนแสดงความอบอุ่น แต่ได้รับคำตำหนิอย่างเยือกเย็น คงไม่ทำเรื่องโง่เขลาเช่นนี้อีกแล้ว” มู่ซืออวี่กล่าว

สาวใช้คนหนึ่งเดินเข้ามาจากข้างนอก นางไม่ใช่ใครอื่น เป็นสาวใช้ข้างกายของเฉินซือจวิน

ชิวสุ่ยแสดงความเคารพแล้วเอ่ยกับมู่ซืออวี่ว่า “เถ้าแก่เนี้ย ชั้นตำราที่พวกเราสั่งทำจากร้านท่าน วันนี้ล้มลงมาแล้ว อีกทั้งยังล้มใส่บ่าวทำงานจิปาถะสองคนจนได้รับบาดเจ็บ เถ้าแก่เนี้ยควรมีคำอธิบายให้กับจวนของเราหรือไม่?”

“เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อใด?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม

เฟิงเจิงที่อยู่ข้าง ๆ เอ่ยขึ้นว่า “ตอนนั้นท่านยังอยู่ที่ชนบท แม่นางผู้นี้มาสั่งสินค้าด้วยตัวเอง ต้าชุนพาคนไปติดตั้งจ้ะ”

“เช่นนั้นข้าจะไปดูหน่อย” มู่ซืออวี่กล่าว

“ช้าก่อน” เหวินอี้เดินออกมาจากข้างใน “ชั้นตำรานั้นข้าเป็นคนออกแบบ ข้าก็จะไปดูเช่นกัน”

“ต้าชุนเล่า?” มู่ซืออวี่เอ่ยถามเฟิงเจิง

“วันนี้เขาไปส่งสินค้าที่ชนบทแล้ว” เฟิงเจิงกล่าว “มีบัณฑิตซิ่วไฉคนหนึ่งในหมู่บ้านไป๋อวิ๋นต้องการสั่งเตียงหลังใหญ่ ต้าชุนพาคนไปส่งของ แล้วถือโอกาสติดตั้งเตียงให้ด้วยจ้ะ”

“ได้ เช่นนั้นพวกเราไปก่อนเถอะ”

รถม้าเคลื่อนเข้าไปในจวนเจียง ชิวสุ่ยลงจากรถม้าก่อน จากนั้นจึงยืนรอให้มู่ซืออวี่และเหวินอี้ลงมา

ด้านหลังยังมีรถม้าอีกคัน คนงานจำนวนหนึ่งลงมาจากข้างใน

หากกล่าวตามเหตุผลแล้ว เหวินอี้ควรนั่งมากับคนงานเหล่านั้น ทว่าร่างกายของเหวินอี้อ่อนแอเกินไป คนงานมีกลิ่นเหงื่อคละคลุ้ง เหวินอี้ย่อมรู้สึกราวกับจะขาดอากาศหายใจทันทีที่เขาเข้าไป มู่ซืออวี่จึงเป็นฝ่ายเอ่ยปากเรียกเขาเข้าไปในรถม้าคันเดียวกัน

“คุณหนู” ชิวสุ่ยเอ่ยกระซิบสองสามคำข้างหูเฉินซือจวิน

เฉินซือจวินปิดหนังสือที่อยู่ในมือของนางลง แย้มยิ้มแล้วลุกขึ้นมา “ลำบากท่านแล้ว เถ้าแก่เนี้ย”

“ชั้นตำราอยู่ที่ใดหรือ?” มู่ซืออวี่ยิ้มบาง ๆ

“ชั้นตำราอยู่ในห้องตำรา ชิวสุ่ยจะพาท่านไปที่นั่น” จากนั้น เฉินซือจวินก็มองชิวสุ่ย “เจ้าไปนำชามาสักกา เชิญเถ้าแก่เนี้ยและคุณชายท่านนี้จิบชาพักผ่อนเสียหน่อย”

“ไม่ต้องล่ะ พวกเราทำงานเถอะ” มู่ซืออวี่กล่าว “รบกวนท่านนำทางข้าไปหน่อย”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 285 เฝ้านางไว้ อย่าละสายตาแม้แต่อึดใจเดียว

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 285 เฝ้านางไว้ อย่าละสายตาแม้แต่อึดใจเดียว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 285 เฝ้านางไว้ อย่าละสายตาแม้แต่อึดใจเดียว

บทที่ 285 เฝ้านางไว้ อย่าละสายตาแม้แต่อึดใจเดียว

ห้องตำราที่เฉินซือจวินเอ่ยถึงไม่ใช่เพียงห้องตำราเล็ก ๆ ที่นางใช้ ทว่าเป็นหอตำราขนาดใหญ่ของจวนเจียงเหล่า

ชิวสุ่ยพามู่ซืออวี่และเหวินอี้เข้าไปในหอตำรา

บ่าวรับใช้ที่เฝ้าหอตำราทราบว่านี่เป็นการจัดการของเฉินซือจวิน หลังจากลงชื่อไว้แล้วก็ให้พวกเขาเข้าไป

“นี่เป็นชั้นตำราที่พังหรือ?” มู่ซืออวี่ถามชิวสุ่ย

“เจ้าค่ะ” ชิวสุ่ยกล่าว “ใช้ได้เพียงห้าวันก็พังเสียแล้ว ไม่คงทน”

“พังตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ยามเช้าเจ้าค่ะ ทันทีที่มันพัง ข้าก็ไปรายงานคุณหนูทันที ข้าถึงได้ไปหาพวกท่าน”

เหวินอี้นำแผ่นภาพที่ตนวาดออกมา เปรียบเทียบกับชั้นตำรานั้น

“ไม่ถูก ๆ ตามแบบที่ข้าวาดมีตะปูอีกสองสามตัว เหตุใดตรงนี้ไม่ได้ใช้ตะปูเล่า?”

“ข้าจะรู้ได้อย่างไร? พวกท่านเป็นคนติดตั้ง ของก็วางอยู่ตรงนี้ไม่มีผู้ใดไปแตะต้องมัน หากตะปูสองสามตัวหายไป นั่นก็เป็นเพราะพวกท่านไม่ระวัง”

มู่ซืออวี่กล่าวกับชิวสุ่ยว่า “เช่นนั้นรบกวนแม่นางชิวสุ่ยพาคนงานเหล่านั้นมาที่นี่ พวกเราจะติดตั้งใหม่ตรงนี้ ส่วนบ่าวรับใช้ที่ได้รับบาดเจ็บ ข้าจะสอบถามกับคนงานให้ชัดเจน หากเป็นความพลั้งเผลอของพวกเราจริง ข้าจะชดใช้ค่าหมอให้บ่าวรับใช้ที่บาดเจ็บเหล่านั้น”

“ได้ พวกท่านรออยู่ตรงนี้”

มู่ซืออวี่มองไปรอบ ๆ ที่แห่งนี้มีชั้นตำราอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทั้งชั้นล้วนเต็มไปด้วยตำรามากมาย

ชั้นตำราเหล่านั้นเก่าแก่ ชั้นตำราที่ทำใหม่จากร้านของพวกเขาจึงดูโดดเด่นเป็นพิเศษ

ก่อนหน้านี้คงมีตำราอยู่บนนั้นไม่น้อย ทว่าบัดนี้มันถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว เหลือไว้เพียงชั้นตำราที่พังเท่านั้น

“ท่านอย่าขยับมัน รอให้คนงานมาเสียก่อน” เหวินอี้เปิดปากขึ้นเมื่อเขาเห็นมู่ซืออวี่กำลังจะเคลื่อนย้ายชั้นตำรา

“ข้าจะตรวจดูว่ามีปัญหาที่ใดอีกหรือไม่” มู่ซืออวี่คุกเข่าลงบนพื้น หยิบชิ้นส่วนที่แตกหักเหล่านั้นขึ้นมา “วัสดุนี้จะบางเกินไปหน่อยหรือไม่?”

“สาวใช้คนเมื่อครู่นี้เป็นคนเลือก เดิมทีพวกเราจะเลือกไม้ชนิดอื่นให้นาง นางกลับยืนกรานจะใช้ไม้ชนิดนี้ บางทีอาจเป็นเพราะไม้ชนิดนี้มีสีคล้ายคลึงกับชั้นตำราเก่ามากกว่า วางเข้าด้วยกันแล้วไม่ดูแปลกตากระมัง”

“ดูเหมือนข้าไม่อยู่ ทุกคนยังคงต้องระมัดระวังให้มากกว่านี้หน่อยแล้ว” มู่ซืออวี่พึมพำกับตนเอง “เราเชี่ยวชาญในสิ่งที่เราทำ จะให้ลูกค้ามาวุ่นวายไม่ได้เด็ดขาด หากเราทำได้ไม่ดี อาจทำให้เสียชื่อของเรา”

เปรี๊ยะ! เปรี๊ยะ!

“ท่านได้ยินเสียงอันใดหรือไม่?” เหวินอี้ถาม

มู่ซืออวี่หันกลับไป จากนั้นจึงรีบปรี่เข้าไปหาเหวินอี้ “ระวัง!”

ตึง!

ชั้นตำราล้มครืนลงมา

ร่างกายของมู่ซืออวี่หนักอึ้ง นางร้องออกมา ก่อนจะสลบไปในที่สุด

“ฮูหยิน….” เหวินอี้ที่ถูกมู่ซืออวี่ล้มทับ มองเห็นศีรษะของนางมีเลือดไหลออกมา “ใครก็ได้…”

ลู่อี้เพิ่งรับมือกับผู้ดีมีสกุลเจ้าถิ่นเสร็จ เขากำลังจะจัดการกับเอกสารที่กองเป็นภูเขา ทว่าจือเชียนเดินเข้ามาอย่างร้อนรนเสียก่อน

“ใต้เท้า ฮูหยินเกิดเรื่องแล้วขอรับ”

“อะไรนะ?” ลู่อี้ถามทันควัน “นางอยู่ที่ใด?”

“นางอยู่ที่จวนเจียงเหล่า” จือเชียนกล่าว “เรื่องมันยาว พวกเราเดินไปคุยไปเถอะขอรับ”

ระหว่างทาง จือเชียนได้เล่าต้นสายปลายเหตุให้ฟัง

“เป็นคนจากจวนเจียงมารายงานว่าศีรษะของฮูหยินแตกขอรับ ท่านหมอของจวนเจียงกำลังรักษาให้นาง”

“เหตุใดไม่ระมัดระวังเช่นนี้? เซี่ยคุนเล่า?”

“วันนี้พี่คุนส่งอันอวี้ไปหอสอนงานเย็บปักขอรับ จึงไม่ได้ไปที่ร้านกับฮูหยิน เดิมทีพี่คุนบอกฮูหยินว่าเขาขอลาครึ่งวันในตอนเช้า จะกลับเข้ามายามบ่ายขอรับ”

จือเชียนกังวลว่าลู่อี้จะโมโหเซี่ยคุนจึงอธิบายแทนอีกฝ่าย

ตอนนี้สมองของลู่อี้พะวงอยู่กับอาการบาดเจ็บของมู่ซืออวี่ ชายหนุ่มยังไม่เอาความกับใคร

ถึงแม้ในใจเขาจะรู้สึกไม่สบายใจอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะตำหนิเซี่ยคุน

“ใต้เท้าลู่ ท่านมาแล้ว” เฉินซือจวินที่อยู่หน้าประตูเห็นเขาก็รีบเข้ามาทักทายเขาอย่างกระตือรือร้น “บาดแผลของฮูหยินค่อนข้างสาหัส ท่านหมอกล่าวว่าสถานการณ์ไม่สู้ดีนัก”

ลู่อี้ไม่สนใจเฉินซือจวิน รีบผลักประตูเปิดแล้วปรี่เข้าไปในห้อง

มู่ซืออวี่นอนอยู่บนเตียง ส่วนเหวินอี้ยืนอยู่ข้าง ๆ

เหวินอี้เดิมทีก็ผ่ายผอมอยู่แล้ว ทว่าบัดนี้สีหน้าของเขากลับซีดเซียวยิ่งกว่าเดิม เขามองมู่ซืออวี่ที่นอนอยู่บนเตียงอย่างกระวนกระวายใจ

“ใต้เท้าลู่” เหวินอี้ทักอีกฝ่าย “ข้าขอโทษ ฮูหยินได้รับบาดเจ็บเช่นนี้ล้วนเป็นเพราะช่วยข้า”

“นางได้รับบาดเจ็บเพราะช่วยเจ้างั้นหรือ?” ลูอี้มองเหวินอี้อย่างเยือกเย็น

เหวินอี้ไม่ได้สังเกตเห็นความผิดปกติของลู่อี้ จึงสารภาพออกไปอย่างซื่อตรง “ชั้นตำรานี้เดิมทีจะล้มใส่ข้า ร่างกายของข้า ท่านก็ทราบดี ย่อมไม่อาจหลบพ้น หากถูกล้มทับคงไม่ตายก็พิการ ฮูหยินอาจบังข้าไว้เพราะเหตุนี้”

ลู่อี้ได้ยินแล้วก็หนักอึ้งอยู่ในใจ

เขาไม่สนใจความเป็นความตายของผู้อื่น สนใจแค่นาง เขาอยากให้นางดูแลตนเองให้ดี แต่สตรีโง่เขลาผู้นี้ เหตุใดต้องจิตใจดีถึงเพียงนี้? นางไม่คิดหรือว่าหากตนเป็นอะไรไป ครอบครัวจะเป็นอย่างไร?

หากมู่ซืออวี่ตื่นขึ้นมา ต้องบอกกับเขาเป็นแน่ว่า ‘ก็มันคือสัญชาตญาณ’

สตรีที่มีสัญชาตญาณของมารดามักเห็นอกเห็นใจ สงสารผู้ที่อ่อนแอกว่าเสมอ

เหวินอี้อ่อนแอบอบบาง ประหนึ่งจะล้มลงไปได้ทุกเมื่อ ทันทีที่ชั้นตำราล้มลงมา นางตัดสินใจโดยไม่แม้แต่จะหยุดคิด

หากนางไม่ช่วยเขา ชายหนุ่มผู้นี้อาจทนไม่ไหว

“ท่านหมอ เป็นอย่างไรบ้าง?” ลู่อี้ถามท่านหมอ

ท่านหมอกำลังเขียนเทียบยา หลังจากจรดเส้นสุดท้ายลงไป เขาจึงเอ่ยว่า “ฮูหยินร่างกายแข็งแรง ไม่ได้รับบาดเจ็บภายใน ทว่าบาดแผลภายนอกต้องได้รับการดูแล โดยเฉพาะบาดแผลบนศีรษะ ต้องดูแลให้ดีที่สุด”

“ขยับเขยื้อนได้ใช่ไหมขอรับ?”

“ได้”

ลู่อี้เอ่ยกับเหวินอี้ “หากเจ้ารู้สึกผิด หน้าที่ไปซื้อยา ข้ามอบให้เจ้า ข้าจะพานางกลับไปก่อน”

ทันทีที่คำนั้นเอ่ยจบ เสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้นจากข้างนอก “ใต้เท้าลู่อยู่หรือไม่? นายท่านเรียนเชิญขอรับ”

ลู่อี้กำลังจะอุ้มมู่ซืออวี่ขึ้นมา แต่ก็ต้องถอนอ้อมแขนออกเมื่อได้ยินเช่นนั้น

เขาเอ่ยกับเหวินอี้ว่า “ดูเหมือนต้องฝากเจ้าดูชั่วคราวเสียแล้ว”

“ท่านวางใจ ข้าจะเฝ้าให้ดี” เหวินอี้รับปาก

“อย่าได้ออกไปไหนแม้เพียงก้าวเดียว ถึงแม้เจ้าจะอยากถ่ายเบาแค่ไหน เจ้าก็ต้องฝืนไว้จนกว่าข้าจะกลับมา” ลู่อี้ย้ำเตือนอีกครั้ง

เหวินอี้ไม่สงสัยคำพูดของเขา เพียงพยักหน้าอย่างซื่อตรงเท่านั้น

หลังจากลู่อี้ไปแล้ว เหวินอี้มองมู่ซืออวี่ที่นอนสีหน้าซีดเซียวอยู่ที่นั่นแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยิน เหตุใดท่านจึงช่วยข้าไว้ ข้าเป็นเพียงคนนอก ชีวิตข้าสลักสำคัญที่ใดกัน?”

ผ่านไปชั่วระยะหนึ่ง ชิวสุ่ยก็เข้ามาพร้อมกับน้ำดื่ม “ดื่มน้ำหน่อยเถิด ถึงท่านไม่กระหาย แต่เถ้าแก่เนี้ยอาจกระหายแล้ว”

เหวินอี้ส่ายศีรษะ “ไม่ต้องล่ะ พวกเราไม่ดื่ม”

“นี่ท่านหมายความว่าอย่างไร หรือกังวลว่าพวกเราจะวางยาพิษ?” ชิวสุ่ยเอ่ยขึ้น จากนั้นจึงรินน้ำให้ตนเองดื่มหนึ่งถ้วย “เช่นนี้วางใจได้แล้วกระมัง”

เหวินอี้ประกบมือ “แม่นางอย่าได้ถือสา ข้าอยากรอให้ใต้เท้าลู่กลับมาเสียก่อน หากให้ฮูหยินดื่มน้ำตอนนี้ แล้วฮูหยินเกิดความต้องการเร่งด่วนอันใด เช่นนั้นจะไม่กระอักกระอ่วนหรือ”

“ข้าอยู่นี่ไม่ใช่หรือไร?” ชิวสุ่ยกล่าว “ข้าช่วยนางได้”

“ตอนนี้นางยังไม่ฟื้น เจ้าเป็นสตรีอ่อนแอผู้หนึ่งจะเคลื่อนย้ายนางได้อย่างไร? ช่างเถิด ไม่นานใต้เท้าลู่คงกลับมาแล้ว รอก่อนจะดีกว่า”

“แล้วแต่ท่าน สุนัขกัดหลี่ว์ต้งปินไม่รู้ความหวังดีของคน*[1]” ชิวสุ่ยจากไปด้วยความโมโห และก่อนที่จะจากไปก็ถือกาจากไปด้วย

[1] สุนัขกัดหลี่ว์ต้งปินไม่รู้ความหวังดีของคน เป็นสำนวน หมายถึง เลี้ยงไม่เชื่อง ไม่รู้จักบุญคุณ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+