สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 317 หวาดผวาอยู่ในคุก

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 317 หวาดผวาอยู่ในคุก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 317 หวาดผวาอยู่ในคุก

บทที่ 317 หวาดผวาอยู่ในคุก

เจ้าหน้าที่ผลักแม่เฒ่าซ่งเข้าไปในคุก จากนั้นจึงใส่กลอนประตูพร้อมกับเอาโซ่คล้องไว้

แม่เฒ่าซ่งผลักลูกกรงเหล็ก ตะโกนไปยังด้านนอก “ข้าเป็นท่านยายฮูหยินของพวกท่านจริง ๆ! พวกท่านไม่เชื่อข้าก็พาข้าไปหานางสิ”

เจ้าหน้าที่หลายคนไม่สนใจนาง เพียงแค่ทำหน้าที่ของตนต่อไป

“ในโลกใบนี้น่ะ มีคนหลอกลวงอยู่ทุกประเภทนั่นแหละ หากเป็นยายฮูหยินของพวกเราจริง ๆ นานถึงเพียงนี้แล้วเหตุใดเพิ่งปรากฏตัวออกมาเล่า ฮูหยินของพวกเราบอกไว้ว่า แต่ไหนแต่ไรมานางก็ไม่เคยเห็นท่านยายอะไรนั่น ผู้อาวุโสของนางเกรงว่าจะตายไปนานแล้ว ไม่อยู่บนโลกนี้อีกแล้ว”

สีหน้าของแม่เฒ่าซ่งบิดเบี้ยวจนไม่น่ามอง

หมู่บ้านสกุลถงห่างไกลจากหมู่บ้านสกุลลู่เล็กน้อย หมู่บ้านสกุลถงอยู่ในที่ที่ค่อนข้างห่างไกล ไม่สะดวกต่อการเข้าออกเมือง คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่จึงจับจ่ายใช้สอยสิ่งจำเป็นจากตลาดที่อยู่ไม่ไกลออกไป ไม่ค่อยมาถึงเมืองฮู่เป่ย โดยเฉพาะหลังจากปรับค่าผ่านทางเข้าเมืองเพิ่มขึ้นใหม่ น้อยคนนักที่จะเข้ามาในเมือง เวลาล่วงเลยไปเป็นเดือน แม่เฒ่าซ่งถึงได้รู้ว่านายอำเภอคนใหม่เป็นลูกเขยของถงชุนนีจริง ๆ

“ลูกสาวของข้าเล่า พวกท่านจับนางไปไว้ที่ใดแล้ว” แม่เฒ่าซ่งไม่เห็นหูโม่ลี่

“แน่นอนว่าต้องนำตัวไปไต่สวน หากกล้ากล่าวโป้ปดก็ต้องยอมรับผลที่ตามมา”

ทันทีที่คำพูดของเจ้าหน้าที่คนนั้นเปล่งออกมา ก็ได้ยินเสียงแส้หวดดังสะท้อนไปทั่วทั้งคุก ในคุกแบบนี้ยิ่งทวีความดัง เสียงจึงดังชัดเจนเข้ามาในหูของแม่เฒ่าซ่ง

“อ๊าก!” เกิดเสียงหวีดร้องเสียงหนึ่งตามเสียงแส้หวดมาติด ๆ ดูเหมือนจะเป็นเสียงของสตรี คล้ายคลึงกับเสียงของหูโม่ลี่เล็กน้อย

แม่เฒ่าซ่งหวาดผวาขึ้นมาแล้ว

บอกว่าจะฟาดก็ทำเลยรึ?

ถึงไม่เชื่อกันก็ควรให้นางได้พบกับฮูหยินนายอำเภอก่อน จะได้มั่นใจว่าพวกนางโกหก จากนั้นจึงค่อยลงโทษ ทรมานกันทันทีเช่นนี้ได้ที่ใดกัน

“ท่านหัวหน้า เช่นนี้ไม่ดีกระมัง ถึงแม้จะโกหก ก็ควรไปถามฮูหยินนายอำเภอให้รู้เรื่องเสียก่อน” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเอ่ยขึ้น

“ระยะนี้คนโกหกมีมากมายนัก ฮูหยินของพวกเราต้องพบคนโกหกวันละมากกว่าสิบคน นางรู้สึกแย่มาก เมื่อวานนี้ฮูหยินสั่งไว้ว่า หากมีผู้ใดมาบอกว่าเป็นญาตินางอีก ไม่ต้องถามนางแล้ว ฟาดได้ทันที”

หากเป็นผู้ที่รู้จักมักคุ้นกับมู่ซืออวี่ คำพูดเหล่านี้ย่อมไม่อาจหลอกคนได้อย่างแน่นอน แต่แม่เฒ่าซ่งไม่รู้จักนิสัยของมู่ซืออวี่ นางย่อมเชื่อสิ่งที่เจ้าหน้าที่สนทนากันอย่างสนิทใจ อีกทั้งยังหวาดผวาตื่นกลัวไปทั้งตัว

เสียงแส้หวดดังอยู่เป็นเวลานาน ส่วนเสียงหวีดร้องนั้นไม่นานก็หายไปแล้ว แต่เป็นเช่นนี้ยิ่งทำให้แม่เฒ่าซ่งหวาดกลัวมากกว่าเดิม

“ข้า… ข้ายอมรับผิดแล้ว ข้าจะไม่มาหาฮูหยินนายอำเภออีก ข้าจำญาติไม่ได้แล้ว” แม่เฒ่าซ่งตบลูกกรงเหล็ก “ขอร้องพวกท่าน ปล่อยข้าไปเถอะ ต่อไปข้าไม่กล้าอีกแล้ว”

ด้านหลังผนังอีกฝั่ง หูโม่ลี่และมู่ซืออวี่ยืนอยู่ตรงนั้น มองดูท่าทีน่าหดหู่ของแม่เฒ่าซ่ง คนหนึ่งเฉยชา คนหนึ่งกลับมีอารมณ์สลับซับซ้อน

“รู้สึกไม่ดีหรือ? หากท่านรู้สึกไม่ดี ข้าปล่อยนางไปตอนนี้ก็ย่อมได้” มู่ซืออวี่เอ่ยนิ่ง ๆ

หูโม่ลี่ส่ายศีรษะ “ข้าเพียงแต่รู้สึกว่า… ภูเขาสูงชันในอดีตที่ข้าและน้องถงคิดว่าแข็งแกร่ง ไม่อาจมีสิ่งใดสั่นคลอนมันได้ แท้จริงแล้วกลับไม่ได้ร้ายกาจอย่างที่พวกเราคิด บางทีหากตอนนั้นพวกเราเข้มแข็งกว่านี้อีกเพียงนิด คงไม่มีชีวิตเช่นนี้ น้องถงโชคดีที่มีลูกสาวเก่ง ๆ อย่างเจ้า ไหนจะมีลูกเขยเก่งกาจอีกด้วย วันคืนอันขมขื่นของนางจบลงแล้ว”

“ลูกสาวสองคนของท่านก็ไม่เลวเช่นกัน” มู่ซืออวี่กล่าว “ท่านวางแผนอะไรให้พวกนางหรือไม่?”

“ข้าคนนี้ไร้ความสามารถ พวกนางติดตามแม่ไร้ความสามารถอย่างข้าคงต้องลำบากแล้ว” หู่โม่ลี่ถอนหายใจเบา ๆ

“ไม่นานมานี้พวกเราเพิ่งจัดงานชุมนุมผู้มีความสามารถด้านวรรณศิลป์ ข้าทำของทานเล่นรสชาติไม่เลวออกมาหลายอย่าง ถูกปากฮูหยินเหล่านั้นเป็นอย่างมาก หากอันหนิงและอันจิ้งเต็มใจเรียนรู้ ข้าสามารถสอนให้พวกนางได้”

“ไม่ค่อยดีกระมัง นั่นเป็นฝีมือของเจ้า พวกเราจะเอารัดเอาเปรียบเจ้าได้อย่างไร”

“ข้าจะสอนทักษะให้พวกนาง จ่ายค่าเปิดร้านให้ เมื่อทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว พวกนางสองพี่น้องจะเป็นคนจัดการร้าน พวกเราแบ่งกันสามต่อเจ็ด ข้าสาม พวกท่านเจ็ด” มู่ซืออวี่กล่าว “นี่ก็ไม่นับว่าเป็นการเอารัดเอาเปรียบแล้ว”

หูโม่ลี่รู้ว่าเช่นนี้ยังคงเป็นการเอาเปรียบ

มู่ซืออวี่มีเงิน มีทักษะ มีเส้นสาย ขอเพียงแค่นางเอ่ยคำเดียว ก็จะมีคนนับไม่ถ้วนรุดมาขอร่วมมือ แต่นางยินดีมอบให้อันหนิงและอันจิ้งสองพี่น้องเพราะอยากช่วยเหลือ

“ซืออวี่ ข้าขอบใจเจ้ามาก” หูโม่ลี่กล่าว “ครอบครัวของพวกเราจะไม่ลืมน้ำใจของเจ้าเป็นอันขาด นับแต่นี้ไปขอเพียงเจ้าเอ่ยปากสักคำ หากพวกเราทำได้ พวกเราจะไม่ปริปากบ่นเด็ดขาด”

“ข้าจะไม่เกรงใจท่านแน่นอน”

“ซืออวี่ ขังแม่ข้าไว้สักสองสามวันเถิด หากปล่อยนางออกมาตอนนี้ ไม่นานนางก็ลืมเลือนความเจ็บปวดจากบาดแผล”

“ขอแค่ท่านไม่ได้รู้สึกแย่ ข้านั้นจะอย่างไรก็ได้ สำหรับข้าแล้วนางเป็นแค่เพียงคนแปลกหน้าคนหนึ่งเท่านั้น”

“นางเป็นแม่แท้ ๆ ของข้า ข้าไม่อาจโหดร้ายต่อนาง ข้ารู้จักนิสัยใจคอนางดี หากไม่ข่มขู่เสียบ้าง ความโลภของนางจะพาปัญหามาให้พวกเจ้ามากกว่าเดิม พวกเจ้าเป็นเจ้าหน้าที่ทางการ เป็นคนดี คนดีมักจะถูกผู้อื่นกระทำได้ง่าย” หูโม่ลี่กล่าว “สามีบอกข้าเมื่อวานนี้ว่าให้พาแม่มาหาเจ้า แต่ให้อันหนิงไปบอกเจ้าล่วงหน้าเสียก่อน ที่เหลือก็ให้ความร่วมมือกับเจ้า”

“สามีท่านสมแล้วที่เป็นบัณฑิต ชาญฉลาดยิ่งนัก” มู่ซืออวี่ยิ้มบาง ๆ “เรื่องวันนี้จัดการได้ดีจริง ๆ หากท่านพานางไปพบแม่ข้า นอกจากแม่ข้าจะกล่าวโทษตนเองแล้ว ก็คงไม่อาจทำอะไรได้”

“หากแม่ของเจ้ารู้เล่า…”

“ตอนนี้ครอบครัวมีข้าและน้องชายรับผิดชอบ ถึงแม้แม่ข้าจะใจอ่อน แต่ก็รู้ว่าผู้ใดดีต่อนางที่สุด แม่เฒ่าซ่งไม่อาจข่มขู่นางได้อีกแล้ว แต่เรายังคงป้องกันความใจอ่อนของนางไว้ดีกว่า ไม่ให้นางรู้จะดีที่สุด”

มู่ซืออวี่ให้เจ้าหน้าที่ทางการคนหนึ่งพาหูโม่ลี่ไปหาถงซื่อ ให้นางอยู่กับถงซื่อสักสองสามวัน

เมื่อมู่ซืออวี่ผ่านห้องขังของแม่เฒ่าเจียง นางก็เห็นหญิงชราผู้นั้นคุดคู้อยู่ตรงมุมห้อง จึงหยุดอยู่นอกลูกกรงเหล็กนั้น

“ของที่ท่านขโมยมาจำนวนมากกว่าที่คิด เกรงว่าจะไม่สิ้นสุดเพียงแค่ถูกขังสองสามปี หากท่านมีสิ่งใดจะกล่าว ข้าช่วยไปส่งคำพูดให้ท่านได้” มู่ซืออวี่เอ่ยขึ้น

“เจ้าใจดีเพียงนั้นเชียวรึ?” เสียงของแม่เฒ่าเจียงแหบแห้งราวกับนางไม่ได้ดื่มน้ำมานาน

“อันที่จริงแล้วข้าก็ไม่ได้มีเจตนาดีอะไรเพียงนั้น เพียงแค่เห็นท่านน่าสงสาร ข้าจะถือว่าทำบุญก็แล้วกัน” มู่ซืออวี่กล่าว “ท่านอยู่ในคุก ไม่รู้สถานการณ์ทางบ้าน ข้าจะเป็นคนดีให้ถึงที่สุด จะบอกให้ว่าลูกหลานที่รักของท่านทำอะไร”

“หลังจากของในบ้านท่านถูกยึดแล้ว สะใภ้สามที่ท่านแต่งเข้ามาด้วยเงินมหาศาลนั่นน่ะ นางกลับไปยังสกุลเดิม ทั้งยังสาปส่งลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่านว่า ‘ไม่ใช่บุรุษ’ ส่วนตู้เสี่ยวเอ๋อร์ที่หลานชายท่านไถ่ตัวมาด้วยเงิน 1,000 ตำลึงนั้นกลับไปยังเรือนวสันต์ ต้อนรับผู้มาบอกลาผู้ไปต่อไป”

“ลูกชายคนโตและสะใภ้ใหญ่ของท่านยังพยายามช่วยเหลือมู่เจิ้งอี้ เพียงแต่คดีของมู่เจิ้งอี้หนักหนากว่าท่าน เกรงว่าจะถูกเนรเทศไปเป็นทาสชายแดนแล้ว ท่านไปกับเขาก็ได้ ถึงตอนนั้นพวกท่านจะได้อยู่ด้วยกัน”

“ยังมีหลานสาวสุดรักสุดหวงของท่าน อย่างมู่ซือเจียว นางทิ้งลูกไว้ที่บ้านแล้ววิ่งหนีไป ไม่มีผู้ใดรู้ว่านางไปที่ใด เมื่อทุกคนรู้เรื่องนี้เข้า บ้านท่านก็เละเทะไปหมดแล้ว”

เหตุการณ์เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นวันนี้

ก่อนหน้านี้เหยาซื่อขับเกวียนวัวเข้ามาในเมืองหนึ่งเที่ยว นำผักที่ปลูกเองมาให้ จึงได้พูดคุยกันกับมู่ซืออวี่สองสามเรื่อง

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด