สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 491 เจ้าควรมา
บทที่ 491 เจ้าควรมา
บทที่ 491 เจ้าควรมา
สายตาของนางหยุดลงที่ขาของลู่เซวียน
ทว่าเพราะมีผ้าห่มคลุมไว้ นางจึงไม่เห็นว่าภายในเป็นอย่างไร
ฉู่หนิงจูมองหน้าลู่เซวียนอีกครั้งก็ไม่พบสิ่งใดผิดปกติ นอกเสียจากสีหน้าที่ดูซีดเซียวเล็กน้อย
“เจ้ามาได้อย่างไร?” ลู่เซวียนมองนาง
“ข้าได้ยินว่าเจ้าได้รับบาดเจ็บ จึงอยากมาดูหน่อย” ฉู่หนิงจูนำยาขวดหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ “นี่เป็นยาที่ข้าได้รับมาจากหมอหลวง ใช้รักษาบาดแผลภายนอกได้ชะงัดนัก”
“ขอบคุณ” ลู่เซวียนเอ่ย “เหตุใดยังยืนอยู่เล่า? นั่งลงเถอะ!”
“ข้าดูบาดแผลของเจ้าได้หรือไม่?” ดวงตาของฉู่หนิงจูแดงก่ำ น้ำเสียงสั่นเครือ
“มันน่าเกลียดเกินไป” คนเจ็บเอ่ยนิ่ง ๆ “เจ้าอย่าดูเลย จะทำให้กลัวเปล่า ๆ”
“เจ้าคิดเสียว่าข้าเป็นฉู่หลิง เหมือนเมื่อก่อน…”
“ถึงอย่างไรเจ้าก็ไม่ใช่ฉู่หลิง อีกทั้งแม่นางน้อยผู้หนึ่งก็ไม่ควรมองขาของบุรุษ ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดหรอก เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า”
“นี่เป็นความแค้นระหว่างเขาและเกิ่งเชียนจวิน ไม่เกี่ยวข้องกับนาง
“จะไม่เกี่ยวข้องได้อย่างไร?” ฉู่หนิงจูพึมพำ “หากไม่ใช่เพราะข้า…”
“เจ้าพบข้าแล้ว ก็อย่างที่เห็น ข้าเพียงได้รับบาดเจ็บ พักฟื้นสักระยะหนึ่งก็คงดีขึ้น ไม่ได้เป็นอะไรร้ายแรง” ลู่เซวียนเอ่ยขัดนาง “เจ้ากลับไปเถอะ!”
“เจ้ายินดีแต่งงานกับข้าหรือไม่?” ฉู่หนิงจูกำชายเสื้อของตน รวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยออกมา
ลู่เซวียนมองคนพูดด้วยความประหลาดใจ
คุณหนูฉู่เริ่มอับอาย ไม่อาจรอคอยคำตอบของเขาไหว นางรักษาหน้าตนเองไว้ไม่ได้แล้ว
“เจ้าก็รู้ว่า… ข้าชอบเจ้า”
“เจ้าและข้าสถานะแตกต่างกันมาก” ลู่เซวียนเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าไม่อาจมอบสถานะหวางเฟยให้เจ้าได้ หากคุณหนูผู้สูงศักดิ์จากจวนกั๋วกงอย่างเจ้าแต่งงานกับข้า ไม่ต้องเอ่ยถึงเรื่องครอบครัวเจ้าไม่ยินยอมเลย เพราะต่อให้พวกเขายินยอมขึ้นมาจริง ๆ ผู้อื่นก็จะหัวเราะเยาะเจ้าที่แต่งงานลดขั้นอยู่ดี”
เขาชอบฉู่หนิงจูหรือไม่?
แน่นอนว่าชอบ
หากกล่าวว่าไม่หวั่นไหวแม้เพียงนิดย่อมเป็นไปไม่ได้ อย่างไรเสีย ก่อนที่เขาจะรู้ว่านางเป็นสตรีก็ถือว่า ‘ฉู่หลิง’ เป็นสหายที่ดีคนหนึ่ง เราเข้ากันได้ดี ตอนรู้ว่านางเป็นสตรี แรกเริ่มเขาประหลาดใจกับความกล้าของนาง จากนั้นเขาก็เริ่มคิดถึงเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่เคยผ่านมาด้วยกัน จิตใจก็พลันเริ่มสั่นไหว
ทว่า…
เขากระจ่างแจ้งแก่ใจตั้งแต่แรกว่าสถานะของเราไม่เท่าเทียมกัน เส้นทางของเขากับนางเป็นทางตัน ไม่อาจมีทางออกให้กับปัญหานี้
“อันที่จริงพอมีวิธีอยู่ หากข้าป่วยหนัก เป็นโรคร้ายแรง จวนเฝินหยางอ๋องย่อมไม่ต้องการสะใภ้เช่นนี้ ถึงตอนนั้นการแต่งงานก็จะถูกยกเลิก หากอาการป่วยของข้าทรุดลงยิ่งกว่าเดิม ย่อมไม่มีผู้ใดเต็มใจแต่งงานด้วย หากเจ้ายินดี บางทีท่านพ่อท่านแม่ของข้าอาจยินยอมให้เราแต่งงานกัน”
“การแต่งงานที่ต้องวางแผนมากมายถึงเพียงนี้ เจ้าคิดว่าจะมีสักกี่คนที่ยินดีอวยพร?”
ฉู่หนิงจู่ใช้ความกล้าทั้งหมดที่มีเพื่อเอ่ยถ้อยคำเหล่านั้นออกไปแล้ว
สำหรับบุตรสาวตระกูลผู้สูงศักดิ์ การเป็นฝ่ายแสดงความรักต่อบุรุษก่อน ทั้งยังกล่าวว่าต้องการแต่งงานกับเขา นับว่าใช้ศักดิ์ศรีทั้งหมดที่มีแล้ว ฉู่หนิงจูนึกไม่ถึงว่าจะถูกปฏิเสธ
“เจ้ายินดีแต่งงานกับแม่นางเหมียวผู้นั้น แต่ไม่ยินดีแต่งกับข้าหรือ?” ฉู่หนิงจูพูดจบก็หมุนตัวจากไปด้วยความขุ่นเคือง
“นายท่าน…” คนสนิทเขาเดินเข้ามา
“เจ้าส่งคนลอบตามไปส่งนางที รอจนนางกลับเข้าไปในจวนก่อนแล้วค่อยกลับมา” ลู่เซวียนเอ่ย “ดึกดื่นเพียงนี้แล้ว ข้าไม่วางใจ”
ฉู่หนิงจูกลับมาที่จวน นางนอนร้องไห้อยู่บนเตียงเป็นเวลานาน
“คุณหนู ฮูหยินกั๋วกงมาเจ้าค่ะ” มู่จิ่นเอ่ยเตือนผู้เป็นนาย
ฉู่หนิงจูปาดน้ำตานางออก รอให้ฮูหยินกั๋วกงเข้ามา “ท่านแม่”
“เป็นอะไรไป?” ผู้เป็นมารดาเอ่ยถาม “เจ้าร้องไห้เช่นนี้ ผู้ใดรังแกเจ้า?”
“ไม่มีเจ้าค่ะ” ฉู่หนิงจูเอ่ย “เพียงรู้สึกไม่สบาย บางทีอาจต้องลมจนจับไข้แล้ว”
“จิ่นมู่ เจ้าไปทำน้ำขิงมาให้นางหน่อย” ฮูหยินกั๋วกงเอ่ย “บ่าวพวกนี้ดูแลเจ้าอย่างไรกัน?”
ฉู่หนิงจูมองฮูหยินกั๋วกงที่ห่วงใยนาง พลางเข้าไปกอดแขนแล้วเอ่ยว่า “ท่านแม่ เกิ่งเชียนจวินชอบฉู่หนิงหลานไม่ใช่หรือ? ให้พวกเขาแต่งงานกันเป็นอย่างไร?”
ฮูหยินกั๋วกงขมวดคิ้ว “แต่ผู้ที่หมั้นหมายกับเขาเป็นเจ้า”
“การหมั้นหมายนี้มิใช่พวกท่านตัดสินใจหรือ?” ฉู่หนิงจูเอ่ยด้วยความโมโห
“ท่านอ๋องเฝินหยางเป็นคนทาบทามสู่ขอด้วยตนเอง และผู้ที่เขาหมายตาไว้คือคุณหนูของภรรยาเอกจวนกั๋วกง หลานเอ๋อร์เป็นบุตรสาวภรรยารอง และคุณหนูภรรยาเอกที่โดดเด่นที่สุดในจวนกั๋วกงก็คือเจ้า”
หลังจากฉู่หนิงจูกลับไปแล้ว ลู่เซวียนอ่านตำราไม่เข้าสมองแม้เพียงคำเดียว
ขาของเขาปวดมากเสียจนนอนไม่หลับ
“บ่าวข้างนอก…”
“ขอรับ นายท่าน…”
“นำสุรามาให้ข้าหน่อย” ลู่เซวียนเอ่ย “ท่านหมอบอกแล้วว่า หากดื่มในปริมาณที่เหมาะสมก็ไม่เป็นไร”
ลู่เซวียนได้รับบาดเจ็บ เหตุการณ์นี้ราวกับใบไม้ร่วงหล่นลงบนแม่น้ำ ระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นไม่อาจดึงดูดความสนใจจากผู้ใดได้
ตำแหน่งของเขาต่ำต้อย อีกทั้งยังเป็นตำแหน่งที่ไม่ค่อยมีงานทำ ผู้ใดจะมาจริงจังกับเขา?
อย่างไรก็ตาม บาดแผลของเขาร้ายแรงถึงขั้นไม่อาจลุกจากเตียงได้เป็นเวลาหลายเดือน ตำแหน่งของเขา…เกรงว่าจะรักษาไว้ไม่ได้เสียแล้ว
เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด ในวันที่ห้า ลู่เซวียนก็ได้รับจดหมายปลดออกจากตำแหน่ง
เมื่อมู่ซืออวี่ได้ยินเรื่องนี้ นางจึงมาอยู่ที่เรือนน้องสามีทั้งวัน นอกจากจับตามองบ่าวรับใช้ที่ต้มยาแล้ว ยังต้องคอยนำอาหารไปให้เขาและดูแลร่างกายให้ฟื้นตัว
“พี่สะใภ้ ท่านอยู่ที่นี่กับข้าทั้งวัน ไม่สนใจพี่ชายข้าแล้วหรือไร?” ลู่เซวียนดูเหมือนจะไม่สะทกสะท้านใด ๆ เขายังเอ่ยล้อเล่นกับมู่ซืออวี่ได้อยู่
“พี่ชายเจ้ายุ่งวุ่นวายทั้งวัน” มู่ซืออวี่หาเก้าอี้แล้วนั่งลง ใช้ตะเกียบคีบผลเหอเถาขึ้นมา “เจ้าจะบอกว่าพี่ชายเจ้ามีคนอื่นอย่างนั้นหรือ? โธ่ บุรุษน่ะ มีอำนาจ มีเงิน แน่นอนว่าต้องมีรักใหม่ ตอนนี้ข้าแก่เฒ่าและเหี่ยวแห้งแล้ว เขาต้องไม่ยินดีอยู่กับข้าแล้วเป็นแน่”
ก๊อก ๆ!
มีคนเคาะลงบนหน้าต่าง
ห้องนี้มีหน้าต่างสองบาน และหน้าต่างที่อยู่ข้าง ๆ ฮูหยินลู่บังเอิญปิดอยู่พอดี
นางจึงเปิดหน้าต่างออก เห็นเพียงลู่อี้ยืนอยู่ตรงนั้นพลางมองนางคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ฮูหยินกำลังเอ่ยถึงข้าอยู่หรือ?”
“เหตุใดวันนี้ท่านกลับมาเร็วเล่า?” มู่ซืออวี่ประหลาดใจ
“บางทีอาจเป็นเพราะไม่อยากให้ฮูหยินคิดว่าข้าละทิ้งภรรยาที่ลำบากตรากตรำเพื่อข้าอยู่กระมัง?” ลู่อี้เดินเข้ามาทางประตูหน้า “น้องเซวียนเป็นอย่างไร? ให้ข้าดูแผลหน่อย”
เขาเลิกผ้าห่มออก ตรวจดูบาดแผลของน้องชาย “ฟื้นตัวได้ดี ไม่ต้องกังวล จะต้องกลับไปเป็นอย่างแต่ก่อนแน่ รอยแผลบนใบหน้าของข้าเดิมทีก็ลึกมาก ทว่าหลังจากใช้ยานี้แล้วก็ไม่เหลือแม้กระทั่งร่องรอยใด ๆ จริงสิ วันนี้ข้ากลับมาเร็วเพราะมีเรื่องจะคุยกับเจ้า”
“ท่านว่ามาเถิด”
มู่ซืออวี่ไม่อยากได้ยินสองพี่น้องพูดคุยเรื่องการเมืองในราชสำนักที่น่าเบื่ออีก นางจึงออกไปแกะเปลือกเหอเถาที่ห้องครัว ตั้งใจว่าจะทำขนมให้เด็ก ๆ กิน
“เรื่องร้านเตรียมการพร้อมหมดแล้วเจ้าค่ะ พี่ใหญ่เฟิงเจิงและคนอื่น ๆ กำลังเตรียมสินค้าชุดแรก รอเปิดร้านเจ้าค่ะ” จื่อเยวี่ยนรายงานความคืบหน้าให้มู่ซืออวี่ฟัง
จื่อซูและจื่อเยวี่ยนแทบจะช่วยดูแลเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ของนางได้ทั้งหมด นางจึงมีเวลามาดูแลลู่เซวียน
“ครั้งนี้พวกเราต้องจัดพิธีเปิดให้คึกคักมากขึ้นหรือไม่เจ้าคะ?” จื่อซูเอ่ยถาม
“ไม่ต้อง” มู่ซืออวี่เอ่ย “สินค้าของพวกเราดี สัญลักษณ์ของเรือนกรุ่นฝันเป็นที่รู้จักแทบทุกแห่งหนแล้ว คนที่เคยเห็นมันมีไม่น้อย เพียงแค่ขึ้นป้าย ทำแผ่นประกาศแล้วแจกจ่ายก็พอ อย่างอื่นไม่จำเป็นต้องวุ่นวาย”
“ลดราคา หรือมอบของขวัญอันใดก็ไม่ต้องหรือเจ้าคะ?” จื่อซูเอ่ยถาม “ตอนนั้นที่พวกเราเปิดร้าน ล้วนเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วทั้งเมืองนะเจ้าคะ!”
“ตอนนั้นพวกเรามีสิทธิ์ขาดในเมืองฮู่เป่ย ตอนนี้มาอยู่เมืองหลวง ย่อมต้องถ่อมตน หาโชควาสนาเงียบ ๆ ก็พอ” มู่ซืออวี่เอ่ย “ไม่จำเป็นต้องลดราคา แต่มอบของขวัญเล็ก ๆ น้อยได้”
Comments