สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 551 จ้างคนด้วยเงินเดือนสูงลิ่
บทที่ 551 จ้างคนด้วยเงินเดือนสูงลิ่ว
บทที่ 551 จ้างคนด้วยเงินเดือนสูงลิ่ว
“จริง ๆ หรือเจ้าคะ?” เจียงอีเมิ่งประหลาดใจ
“จริงสิ” มู่ซืออวี่กล่าว “ข้าจะให้เจ้าทดลองงานก่อนสามเดือน หากเจ้าจัดการไม่ได้ ข้าก็ต้องจ้างคนอื่น อย่างที่เจ้าเห็น ที่นี่ใหญ่โตและขอบเขตที่ต้องดูแลก็กว้างมาก เจ้าอาจรับมือไม่ได้ในคราแรกที่เริ่มสัมผัสมัน แต่หากเจ้าดูแลสถานที่นี้ได้ย่อมเป็นเรื่องดีต่ออนาคตเจ้าอย่างแน่นอน”
เจียงอีเมิ่งทั้งตื่นเต้นดีใจทว่าขณะเดียวกันก็เริ่มลังเลใจ
นางกังวลว่าหากเจ้านายมอบเรื่องสำคัญเพียงนี้ให้จัดการ นางเองก็อาจจะทำได้ไม่ดี
มู่ซืออวี่ไตร่ตรองมาดีแล้ว นางสังเกตเจียงอีเมิ่งมาเป็นเวลานานและรู้สึกว่าอีกฝ่ายสามารถเป็นผู้ทำการค้าที่ดีได้ เมื่อเห็นความสามารถที่แสดงออกมาในวันนี้จึงลองมอบโอกาสให้
“เจ้าคงรู้ว่าข้ามีลานหรรษาขนาดใหญ่อยู่ที่เมืองฮู่เป่ยกระมัง? ผู้ดูแลที่นั่นเป็นพี่หญิงน้องหญิงที่ดีที่สุดของข้า รูปแบบการทำกิจการระหว่างข้ากับนางก็เช่นเดียวกัน”
ในคราแรกเจียงอีเมิ่งกังวลใจเล็กน้อย ทว่าเมื่อได้ยินมู่ซืออวี่กล่าวเช่นนั้น แววตาของนางพลันเปล่งประกายด้วยความกระตือรือร้น
ลานหรรษาเมืองฮู่เป่ยเป็นที่กล่าวขานไปทั่วใต้หล้า ไม่เว้นแม้กระทั่งในเมืองหลวง นับแต่ฮูหยินลู่มายังเมืองหลวง ผู้คนมากมายต่างเฝ้ามองทุกการกระทำของนาง เมื่อเห็นนางไม่ได้ทำตัวโดดเด่น ยังคิดว่านางตั้งใจเปิดร้านแห่งหนึ่งและเป็นเถ้าแก่เนี้ยตัวเล็ก ๆ เท่านั้น นึกไม่ถึงว่าเมื่อทุกคนเลิกให้ความสนใจ จู่ ๆ นางจะเปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่เช่นนี้ หากได้ทำงานกับคนฉลาดเช่นนาง ย่อมต้องได้ประโยชน์มากมายมหาศาลอย่างแน่นอน
“ข้ายินดีทำ!”
“ข้าจะให้ผู้ดูแลหลายคนมาหารือกันและจะแนะนำเจ้าให้กับพวกเขา ทว่าคนเหล่านี้รับมือได้ไม่ง่าย หากเจ้าอยากควบคุมพวกเขาคงต้องพึ่งพาความสามารถของตนเองแล้ว”
“ข้าเข้าใจ”
อายุเจียงอีเมิ่งยังไม่มาก อีกทั้งยังเป็นสตรี คิดจะควบคุมดูแลคนมากกว่าสองร้อยคนย่อมไม่ง่ายดายนัก หากนางไม่มีความสามารถมากพอ ไม่นานนางจะไม่สามารถรับมือกับความกดดันได้
เรื่องนี้พักไว้ก่อนเป็นการชั่วคราว มูซืออวี่ยังต้องไปต้อนรับสตรีหลายท่าน ในเมื่อนางเป็นคนพาอีกฝ่ายมา เช่นนั้นย่อมไม่อาจละเลยได้
“ฮูหยิน…” จื่อเยวี่ยนเข้ามาหา “ฮูหยินจากกรมพระคลังหลายท่านก็มาแล้วเช่นกันเจ้าค่ะ”
“เชิญพวกนางมาที่นี่ ถึงตอนนั้นพวกเราค่อยมารวมตัวกัน”
ฮูหยินจากกรมพระคลังเหล่านั้น มู่ซืออวี่ให้ลู่เซวียนเชิญมา นางให้ลู่เซวียนส่งบัตรเชิญไปให้สหายร่วมงานของเขา เพื่อให้นำกลับไปมอบให้เหล่าฮูหยิน ผู้ใดมาได้ก็มา ผู้ใดไม่ยินยอมมาย่อมไม่บังคับ
นางทำเช่นนี้เพราะอยากกระชับสายสัมพันธ์เพื่อลู่เซวียน ลู่เซวียนยังไม่มีฮูหยิน ในฐานะพี่สะใภ้ นางย่อมต้องทำบางอย่างเพื่อเขา
อย่าได้ดูถูกสตรีที่ร่วมเรียงเคียงหมอนขุนนาง บางครั้งลมเป่าหูข้างหมอนก็อาจส่งผลกระทบกับความมั่นคงของราชสำนักได้
ฮูหยินจากกรมพระคลังมาที่นี่ถึงสี่คน ฮูหยินทุกท่านล้วนพาเด็กที่บ้านมาด้วย ดังนั้นกลุ่มของลู่จื่ออวิ๋นจึงมีสมาชิกเพิ่มขึ้นจำนวนไม่น้อย
“คุณหนูเจ้าคะ” จื่อซูพาคุณหนูและคุณชายน้อยสี่ท่านมาหาลู่จื่ออวิ๋น “คุณชายคุณหนูหลายท่านนี้ฮูหยินจากกรมพระคลังพามาด้วยเจ้าค่ะ ฮูหยินลู่กล่าวว่าให้คุณหนูช่วยรับรองพวกเขา”
“สวัสดีทุกท่าน ข้าลู่จื่ออวิ๋น ไม่รู้ว่าทุกท่านมีนามว่าอันใด?” ลู่จื่ออวิ๋นทักทายอย่างเป็นกันเอง
“ข้านามว่าเฟิงหว่านเอ๋อร์”
“ข้านามว่าฉินเหลียน”
“ข้านามว่าเมิ่งหานเยว่”
“จางเหล่ย”
“ท่านพี่ชิงเหยียน พวกเราพบกันอีกแล้ว” เฟิงหว่านเอ๋อร์ไม่รอให้ลู่จื่ออวิ๋นได้เปิดปากเอ่ย กลับเป็นฝ่ายเข้าไปเกาะแกะโม่ชิงเหยียนก่อน
โม่ชิงเหยียนเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง “แม่นางฟางเรียกข้าว่าคุณชายโม่จะเหมาะสมกว่า”
“พวกเราก็นับว่ารู้จักกันตั้งแต่ยังเล็ก เหตุใดจึงต้องห่างเหินเช่นนี้ด้วยเล่า?” เฟิงหว่านเอ๋อร์เป็นบุตรสาวของเสนาบดีกรมพระคลัง
ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยกับฉินเหลียนและคนอื่น ๆ และแนะนำเจี่ยหลิงหลงที่อยู่ข้างกายให้พวกเขารู้จัก
ส่วนคุณหนูเฟิงหว่านเอ๋อร์ท่านนั้น ทุกคนล้วนทราบดีว่าสายตาของนางมีไว้เพื่อโม่ชิงเหยียนเพียงผู้เดียว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ย่อมต้องปล่อยให้ชิงเหยียนทักทายอีกฝ่ายเอง เช่นนี้จะได้ประหยัดแรงนางด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น คุณหนูหน้าตางดงามผู้นี้ดูเหมือนจะรับมือได้ไม่ง่าย นางไม่ต้องการจัดการกับคนเช่นนี้
เฟิงหว่านเอ๋อร์พลันพบว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้องอย่างรวดเร็ว
สายตาของโม่ชิงเหยียนจ้องมองเพียงลู่จื่ออวิ๋น ไม่สนใจนางแม้แต่น้อย
เมื่อครู่นี้นางไม่ได้สนใจลู่จื่ออวิ๋น ทว่าเมื่อนางมองดูอีกทีถึงได้พบว่าหน้าตาของอีกฝ่ายงดงามยิ่งนัก เฟิงหว่านเอ๋อร์ทะนงตนเป็นอย่างยิ่ง ในแวดวงนี้นางนับได้ว่าเฉิดฉายเป็นที่รู้จักจึงรู้สึกไม่พอใจขึ้นมา
“เจ้าชื่อลู่จื่ออวิ๋นกระมัง? พวกเราเพิ่งมาถึง ไม่คุ้นเคยกับที่นี่นัก เจ้าพาพวกเราไปดูรอบ ๆ สิ” น้ำเสียงของเฟิงหว่านเอ๋อร์เอาแต่ใจตนเองอย่างถึงที่สุด
“ได้เลย เชิญทางนี้…”
จางเหล่ยมีนิสัยใจร้อน ไม่อาจเล่นกับเด็กหญิงได้ เขาจึงเอ่ยกับลู่จื่ออวิ๋นไปตามตรง “ข้าอยากเล่นเพียงลำพัง ที่นี่ของเจ้ามีอันใดให้เล่นบ้าง?”
“ทางนู้นมีสนามม้า” ลู่จื่ออวิ๋นชี้ไปไกล ๆ ทางด้านหนึ่ง
“เช่นนั้น ข้าจะไปขี่ม้า”
“ข้าก็จะไปเช่นกัน” เฟิงหว่านเอ๋อร์เอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราทุกคนก็ไปด้วยกันเถอะ ข้าอยากเห็นอยู่พอดีว่าสนามม้าของพวกเจ้าเป็นอย่างไร”
“เช่นนั้นก็ได้” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ย “แต่อย่างไรก็ยังคงต้องเคารพความเห็นของทุกคน!”
เฟิงหว่านเอ๋อร์เป็นบุตรสาวของเสนาบดี นางจึงเป็นผู้นำของเด็กหลาย ๆ คนที่นี่ เมื่อนางกล่าวว่านางอยากไปสนามม้า คนอื่น ๆ ย่อมยากที่จะปฏิเสธ ดังนั้นคนทั้งกลุ่มจึงเดินไปยังสนามม้าอย่างเอิกเกริก
สนามม้ามีม้าทั้งหมดสิบตัว ม้าทุกตัวล้วนแข็งแรงสมบูรณ์ จางเหล่ยตกหลุมรักมันตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น เขาเลือกม้าตัวหนึ่งแล้วก็จากไป
“พี่ใหญ่ชิงเหยียน ท่านสอนข้าขี่ม้าได้หรือไม่?” เฟิงหว่านเอ๋อร์เอ่ยถาม
โม่ชิงเหยียนกลับกล่าวนิ่ง ๆ ว่า “ข้าก็ขี่ไม่เป็น”
“ท่าน…” สีหน้าของเฟิงหว่านเอ๋อร์แปรเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูชมขึ้นมาทันที
โม่ชิงเหยียนจะขี่ม้าไม่เป็นได้อย่างไร?
การอบรบสั่งสอนของสกุลเขาเข้มงวดเป็นอย่างยิ่ง ไม่เพียงเล่าเรียนเขียนอ่าน แต่ยังต้องเรียนวรยุทธ์ด้วย
ฉินเหลียนและเมิ่งหานเยว่เล่นอยู่บริเวณใกล้ ๆ
สองคนนี้คงได้พบกันบ่อยครั้ง ทั้งยังเข้ากันได้เป็นอย่างดีจึงไม่กังวลเรื่องความแตกต่างระหว่างบุรุษสตรีแม้แต่น้อย กลับดูเหมือนคู่เหมยเขียวม้าไม้ไผ่เสียมากกว่า
ลู่จื่ออวิ๋นยังคงเล่นอยู่กับเจี่ยหลิงหลง
“เสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ เจ้าขี่ม้าเป็นหรือไม่?” เจี่ยหลิงหลงเอ่ยถามขึ้นมา
“ขึ้นไปบนหลังม้านับด้วยหรือไม่?” ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยถาม “ข้าเคยเรียนขี่ม้า แต่ว่ามันยากจริง ๆ ข้าจึงยังขี่ไม่เป็น”
“กรี๊ดดด!…” เสียงกรีดร้องดังขึ้นมาจากข้าง ๆ
ลู่จื่ออวิ๋นหันไปมอง เห็นเพียงเฟิงหว่านเอ๋อร์ล้มลงบนพื้น โดยมีโม่ชิงเหยียนยืนอยู่ข้าง ๆ นางด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง
“เกิดอะไรขึ้นหรือ?” ในฐานะเจ้าบ้าน นางไม่อาจเมินเฉยจึงทำได้เพียงเดินเข้าไปถามว่าเกิดอะไรขึ้น
เฟิงหว่านเอ๋อร์จ้องมองโม่ชิงเหยียนด้วยสายตาดุร้าย
นางลุกขึ้นแล้วเดินจากไปอย่างแค้นเคือง
ลู่จื่ออวิ๋นทำได้เพียงถามโม่ชิงเหยียนเบา ๆ ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร
โม่ชิงเหยียนเอ่ยอย่างอับจนปัญญา “ขออภัย สร้างปัญหาให้เจ้าแล้ว”
“นางไม่เป็นไรกระมัง?”
“วางใจเถิด นางเพียงแค่ไร้กฎเกณฑ์ไปบ้าง ไม่ได้มีนิสัยเลวร้ายอะไร” โม่ชิงเหยียนเอ่ย “นางเพียงชอบเกาะแกะเล็กน้อย ขอแค่เพียงนางได้เกาะติดแล้ว คิดจะสลัดนางให้พ้นก็ยากยิ่ง”
“ในเมื่อท่านรู้จักนางเพียงนี้ เช่นนั้นต้องมอบให้ท่านดูแลแล้ว” ลู่จื่ออวิ๋นลดเสียงลงแล้วเอ่ยว่า “ท่านคงไม่อยากให้พวกเขาหมดสนุกกระมัง”
โม่ชิงเหยียนได้แต่จำใจ
นึกไม่ถึงว่าเขาจัดการไล่คนไปได้ด้วยความยากลำบากเพื่อไปกล่อมนางด้วยตนเองในท้ายที่สุด
แน่นอนว่าเขาไม่อยากไปกล่อมเฟิงหว่านเอ๋อร์ ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ลู่จื่ออวิ๋นร้องขอเขา เขาไม่อยากปฏิเสธนาง
ไม่นานนัก โม่ชิงเหยียนก็กล่อมให้เฟิงหว่านเอ๋อร์กลับมาได้
ลู่จื่ออวิ๋นเอ่ยขึ้นว่า “สนามม้าก็ได้มาชมแล้ว ไม่มีอันใดน่ามอง ทั้งยังไม่สนุก ข้าจะพาพวกท่านขึ้นไปเล่นบนภูเขาก็แล้วกัน!”
“บนเขามีอะไรน่าสนุกกัน?” เฟิงหว่านเอ๋อร์ถูกกล่อมกลับมาแล้ว ทว่านางยังคงโกรธ
เมื่อนางเห็นโม่ชิงเหยียนขมวดคิ้วก็ยิ่งรู้สึกไม่พอใจยิ่งกว่าเดิม
นางแน่ใจว่าความรู้สึกของโม่ชิงเหยียนที่มีต่อลู่จื่ออวิ๋นนั้นไม่ธรรมดา
Comments