สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 555 จงอ๋องดูแลควบคุมกรมกลาโหม

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 555 จงอ๋องดูแลควบคุมกรมกลาโหม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 555 จงอ๋องดูแลควบคุมกรมกลาโหม

บทที่ 555 จงอ๋องดูแลควบคุมกรมกลาโหม

เมื่อมู่ซืออวี่กลับมายังเมืองหลวงก็พบว่า หลังจากนางใช้เวลาสามวันอยู่ที่ชนบท ในเมืองหลวงได้เกิดเหตุการณ์ใหญ่ขึ้น

จงอ๋องเข้าดูแลควบคุมกรมกลาโหมแล้ว

ทุกคนล้วนทราบโดยทั่วกัน จงอ๋องเป็นเพียงคนบ้าคนหนึ่ง หากเขาควบคุมดูแลกรมกลาโหม เช่นนั้นไม่ใช่ว่ากรมกลาโหมไม่ถึงคราวจบสิ้นแล้วหรือ?

การต่อสู้ระหว่างองค์รัชทายาทและองค์ชายรองรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ บัดนี้มีจงอ๋องเข้ามาเกี่ยวพันอีกคน ทุกคนจึงเริ่มลังเลใจขึ้นมาบ้างแล้ว

ฮ่องเต้กำลังส่งสัญญาณเตือนถึงทุกคน ราวกับเป็นการประกาศก้องว่า ข้ายังไม่ตาย นี่ใช่เวลาที่พวกเจ้าผู้เยาว์เหล่านี้มาแก่งแย่งแข่งกันหรือ?

นี่เป็นสัญญาณบอกว่าฮ่องเต้ชรายังไม่ยอมปล่อยวางอำนาจในมือลง

มู่ซืออวี่สวมใส่เสื้อผ้าชั้นในโปร่งบางนั่งอยู่บนเตียง อ่านสมุดบัญชีของนางพลางดีดลูกคิดคำนวณ

ทั่วทั้งห้องเต็มไปด้วยเสียงลูกคิดกระทบกัน

จื่อซูเติมกำยาน ส่วนจื่อเยวี่ยนวางน้ำชากลิ่นสดชื่นลงบนโต๊ะ

เมื่อลู่อี้เข้ามา ทั้งสองคนจึงถอยออกไปอย่างรู้หน้าที่ ก่อนปิดประตูให้อีกครั้ง

ทุกครั้งที่ลู่อี้กลับมาที่ห้องเขาล้วนล้างหน้าล้างตาแล้ว เมื่อเห็นมู่ซืออวี่ยังคงจดจ่ออยู่กับการจัดการสมุดบัญชี ขนาดที่ว่าเขากลับมาแล้วนางก็ยังไม่สังเกตเห็น ลู่อี้จึงโน้มตัวเข้าไปดูสมุดบัญชีนั้น

“มากเพียงนี้เชียวหรือ?”

มู่ซืออวี่ตกใจ จึงลูบอกตนเบา ๆ แล้วเอ่ยว่า “เหตุใดท่านมาเงียบ ๆ เล่า?”

“มิใช่ว่าข้ามาเงียบ ๆ แต่เป็นฮูหยินต่างหากที่มีเพียงสมุดบัญชีในสายตา ไม่มีแม้กระทั่งสามีของตน” ลู่อี้เอ่ย “ดูเหมือนสามวันมานี้เจ้าจะมีเนื้อมีหนังขึ้นไม่น้อย”

“แน่นอน” มู่ซืออวี่ขมวดคิ้ว “ข้าเตรียมการมาเนิ่นนานเพียงนี้ อีกทั้งยังทุ่มทุนไปมาก ตอนนี้นับว่าจัดการขั้นแรกสำเร็จแล้ว”

ลู่อี้ไว้หนวดเคราบ้างแล้ว จึงดูสง่างามน่าเกรงขามมากยิ่งขึ้น

ทว่าเมื่ออยู่เบื้องหน้ามู่ซืออวี่ ดวงตาของเขากลับอ่อนโยนลง ราวกับตกลงไปในไหน้ำผึ้งก็มิปาน

“เช่นนั้น ฮูหยินอยู่กับข้าได้แล้วใช่หรือไม่?” ลู่อี้ดึงสมุดบัญชีจากมือนางไปวางไว้ข้าง ๆ จากนั้นก็วางลูกคิดลงบนตู้ “ไม่พบกันสามวัน เจ้ายังคงเมินข้าลงหรือ?”

“ได้ ๆๆ ข้าจะอยู่กับท่าน” มู่ซืออวี่เข้าไปซุกในอ้อมแขนสามีและซบอยู่บนอก “จริงสิ เหตุใดจงอ๋องถึงได้เข้ามาดูแลกรมกลาโหมแล้วเล่า?”

“เจ้าคิดว่านี่บังเอิญหรือ?”

“มิใช่งั้นหรือ?”

“ชู่ว!” ลู่อี้โน้มเข้าไปกระซิบข้างหูภรรยา “ในโลกนี้มีเรื่องบังเอิญมากมาย เพียงแต่ทุกความบังเอิญล้วนถูกวางแผนไว้ล่วงหน้าเท่านั้น”

“ที่แท้พวกท่าน…”

มู่ซืออวี่ไม่เข้าใจเรื่องราวในราชสำนัก ทว่าเรื่องที่เกี่ยวข้องกลับลู่อี้ นางยังคงอยากรู้

อย่างไรก็ตาม ขอแค่เพียงเขาไม่เป็นไร ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใด นางล้วนเชื่อในตัวเขาอย่างไร้เงื่อนไข

เพราะนางรู้ว่าลู่อี้ในตอนนี้ไม่ใช่มหันตภัยที่โหดเหี้ยมที่สุดในใต้หล้าตามนิยายต้นฉบับอีกแล้ว หัวใจของเขาอบอุ่น ในใจเขามีความรัก นั่นหมายความว่าต่อให้โหดร้ายอย่างไรเขาก็ยังมีขีดจำกัด

“สามี กอดข้าหน่อย…” นางเข้าไปกอดลู่อี้ ลู่อี้จึงลูบศีรษะนาง

พวกเขาทั้งสองคนไม่ใช่หนุ่มสาวเยาว์วัยอีกต่อไปแล้ว แม้ว่าหลายปีมานี้พวกเขาจะไม่ได้หน้าแดงเรื่ออย่างขัดเขิน ทว่าก็ยังคงรักใคร่กันลึกซึ้งเช่นเคย นี่เป็นความสัมพันธ์ที่สวยงามที่สุดบนโลกใบนี้

“ทุกวันนี้ข้ายิ่งรู้สึกว่าตนเองแก่ขึ้นเรื่อย ๆ แล้ว” มู่ซืออวี่เอ่ยขณะอยู่ในอ้อมแขนของสามี “ท่านคงรู้เรื่องเซวียนอ๋องกระมัง? ครานี้พวกเราไปที่เรือนพักบนภูเขา เขาพาคนมาด้วยกัน ข้ารู้ว่าเขาหมายความว่าอย่างไร เขาตกหลุมรักเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ของพวกเรา ข้าถามเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ว่าคิดกับเขาเช่นไร นางมิได้ชมชอบเซวียนอ๋องแม้แต่น้อย อีกทั้งนางยังนำความคิดของตนไปบอกเซวียนอ๋องด้วย แต่ข้าเห็นว่าเซวียนอ๋องไม่ได้มีความตั้งใจยอมแพ้เลย”

“ไม่ต้องกังวลไป ด้วยตำแหน่งปัจจุบันของข้า ฉู่กุ้ยเฟยย่อมไม่ยอมให้เขาแต่งกับเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์อย่างแน่นอน อีกอย่างเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ก็ยังเล็ก ยังเหลือเวลามากกว่าสามปีนางจึงจะถึงวัยแต่งงาน ดังนั้นฉู่กุ้ยเฟยมิยินยอมให้เซวียนอ๋องรอนานเพียงนั้นแน่นอน”

“ท่านหมายความว่าฉู่กุ้ยเฟยกำลังรีบร้อนให้พระโอรสของตนดึงผู้อื่นมาเป็นพรรคพวกงั้นหรือ?”

“ไม่ผิด” ลู่อี้เอ่ย “ด้วยสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว อำนาจก็เหมือนกับขนมรสเลิศชิ้นหนึ่ง พี่ชายทั้งหลายล้วนอยากกิน บางทีผู้ที่ชักช้าอาจมิได้กินแม้กระทั่งเศษ ไม่ว่าเซวียนอ๋องจะสนใจเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ของเราเพียงใด เขาก็ไม่อาจฝืนสถานการณ์ตอนนี้ได้ ฉู่กุ้ยเฟยทะเยอทะยานเป็นอย่างยิ่ง นางย่อมไม่อนุญาตให้พระโอรสของนางเป็นองค์ชายที่ลอยชายไปวัน ๆ เช่นนี้”

มู่ซืออวี่จำต้องกล่าวว่าลู่อี้พูดถูก

ในนิยายต้นฉบับ ลู่อี้เดินตามเส้นทางการเป็นแม่ทัพ เขากลับมาจากชายแดนและได้รับอำนาจทางการทหารมาอยู่ในกำมือ เขาจึงกลายมาเป็นเป้าหมายในการผูกสัมพันธ์เกี่ยวดองของฉู่กุ้ยเฟย

อย่างไรก็ตาม เส้นเรื่องควรเป็นหลังจากนี้ บางทีอาจเป็นสองสามปีถัดไป

ตอนนี้เป็นสนามรบระหว่างองค์รัชทายาทและองค์ชายรอง เมื่อพวกเขาทั้งสองคนพ่ายแพ้ให้กับอำนาจของฝ่าบาท และเมื่อฮ่องเต้ชราผู้นั้นเริ่มให้ความสนใจกับพระโอรสคนเล็ก พวกเขาก็ควรหลบฉากไป

“หากเซวียนอ๋องกลายเป็นว่าที่กษัตริย์ แล้วเขายังไม่ยอมแพ้ในตัวลูกสาวเราเล่า เช่นนั้นอวิ๋นเอ๋อร์ของเราจะไม่ถูกเขาพาเข้าไปอยู่ในวังหลังหรือ? ไม่ได้ เช่นนี้ไม่ได้เด็ดขาด”

“ไม่หรอก” ลู่อี้เอ่ย “เขาจะไม่มีโอกาสนั้น”

“ท่านมีคนในใจแล้วหรือ? คงมิใช่จงอ๋องกระมัง!” ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างลู่อี้และจงอ๋องดูเหมือนจะดี ทว่า…

จงอ๋องผู้นั้นอารมณ์ร้ายเหลือเกิน เขาดูไม่เหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ดีเลย!

“ชู่ว ไม่รีบร้อน เวลายังอีกยาวไกล พวกเราค่อย ๆ ดูไปเถิด”

เรื่องอื่นสามารถค่อย ๆ ดูไปได้ แต่หากฟ่านเหยี่ยนต้องการแต่งงานกับเสี่ยวอวิ๋นเอ๋อร์ เรื่องนี้ค่อย ๆ ดูไม่ได้

ทุกคนล้วนยุ่งวุ่นวาย วันนี้เป็นวันสำคัญของสกุลลู่อีกวัน

ลู่ฉาวอวี่และมู่เจิ้งหานต้องไปสอบขุนนางอย่างเป็นทางการแล้ว

ครั้งก่อนเมื่อลู่เซวียนไปสอบขุนนาง เขากังวลเป็นอย่างมาก

เมื่อเห็นว่าวันเข้าร่วมสอบขุนนางใกล้มาถึงเรื่อย ๆ มู่ซืออวี่ก็ใช้ทุกวิธีบำรุงร่างกายลูกชายและน้องชายในทุก ๆ วัน ลู่อี้มองดูแล้วยังรู้สึกอิจฉา เขาลอบหงุดหงิดที่ตนไม่มีโอกาสได้เข้าร่วมสอบขุนนางจึงไม่ได้เห็นว่าฮูหยินของเขาจะทำเพื่อเขาเพียงใด

ถึงแม้ลู่อี้จะเอ่ยด้วยท่าทีล้อเล่น ทว่าอันที่จริงแล้วเขากลับรู้สึกเสียดายอยู่ลึก ๆ ภายในใจ

เขาไม่ได้เข้าร่วมสอบขุนนางจึงไม่มีโอกาสให้มู่ซืออวี่ได้สัมผัสความเปล่งประกายของการเป็นฮูหยินจอหงวน

มิใช่ว่าลู่อี้ถือดี แต่เขามั่นใจว่าตนมีความสามารถนั้น ขอแค่เพียงเขาได้เข้าสอบขุนนาง ย่อมต้องได้อันดับหนึ่งอย่างแน่นอน

การสอบขุนนางใช้เวลาหลายวัน อีกทั้งหลายวันนั้นยังต้องอยู่แต่ในสนามสอบ โชคดีที่ตอนนี้พวกเขาอยู่ในเมืองหลวงจึงไม่ต้องเดินทางตลอดเวลา

“ท่านแม่ ไม่ต้องกังวลถึงเพียงนั้นกระมัง?” ลู่จื่ออวิ๋นเห็นมู่ซืออวี่กระวนกระวายใจเป็นอย่างยิ่งจึงเอ่ยปลอบ “ความสามารถของท่านพี่จะต้องไม่มีปัญหาแน่”

“พี่ชายเจ้าไม่มีปัญหา น้องชายข้านี่แหละที่จะมีปัญหา” มู่ซืออวี่เอ่ย “ข้าเป็นห่วงเขาหน่อยไม่ได้หรือ?”

จื่อซูและจื่อเยวี่ยนที่อยู่ข้าง ๆ หัวเราะออกมา

พวกเขาล้วนทราบดีว่ามู่ซืออวี่ปากแข็งเพียงใด เขาเป็นห่วงแค่เพียงมู่เจิ้งหานที่ใดกัน เห็นอยู่ชัด ๆ ว่าพะวงกับทั้งสองคน เพียงแค่ไม่อยากถูกมองออกก็เท่านั้น

“ฮูหยิน ผู้ดูแลเจียงมาเจ้าค่ะ” บ่าวรับใช้เดินเข้ามาพร้อมกับเจียงอีเมิ่ง

เพียงแค่เจียงอีเมิ่งกำลังจะคารวะเท่านั้นเอง มู่ซืออวี่กลับดึงนางเข้ามา

“เรือนพักผ่อนบนภูเขาเกิดปัญหาหรือ?”

“มิใช่เจ้าค่ะ เพียงแต่นี่ก็หลายวันแล้ว ข้าจึงอยากกลับมารายงานสถานการณ์ให้ฮูหยินฟัง” เจียงอีเมิ่งเอ่ย “ข้าเองก็อยากกลับบ้านสักครั้ง จึงได้มาเจ้าค่ะ”

“ได้ เช่นนั้นไปที่ห้องตำราเถอะ!”

เจียงอีเมิ่งนำสมุดบัญชีล่าสุดออกมา แล้วรายงานสถานการณ์ของกิจการ

“ฮูหยินยังมีอันใดจะสั่งอีกหรือไม่เจ้าคะ?”

“อีกประเดี๋ยวเจ้าไปที่เรือนกรุ่นฝัน ให้เฟิงเจิงติดประกาศที่นั่น แจ้งว่าหากมีบัณฑิตที่ต้องการสนทนาเรื่องบทกวีและพบปะสหายที่เรือนพักผ่อนบนภูเขา พวกเราเอื้อเฟื้อสถานที่ให้ได้ ทว่าเครื่องดื่มและที่พักลดเหลือเพียงแปดส่วน นอกจากนั้นยังมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม” มู่ซืออวี่กล่าว

“ระยะนี้เป็นช่วงการสอบขุนนาง อีกทั้งยังเป็นช่วงที่มีกิจกรรมต่าง ๆ ในหมู่บัณฑิตมากมาย พวกเราควรใช้โอกาสนี้ทำให้ชื่อเสียงของเราโด่งดังยิ่งกว่าเดิม ฮูหยิน นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่ฉลาดมากเลยเจ้าค่ะ” เจียงอีเมิ่งมองมู่ซืออวี่ด้วยสายตาชื่นชมเลื่อมใส

มู่ซืออวี่ “…”

อันที่จริงมันไม่ได้ยิ่งใหญ่เพียงนั้น

เจียงอีเมิ่งทำให้นางรู้สึกเขินอายขึ้นมาแล้วจริง ๆ

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด