สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 657 รนหาที่ตาย

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 657 รนหาที่ตาย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 657 รนหาที่ตาย

บทที่ 657 รนหาที่ตาย

ตุ้บ!

ผู้คุ้มกันโยน ‘แขกไม่ได้รับเชิญ’ หลายคนลงเบื้องหน้ามู่ซืออวี่

มู่ซืออวี่ถกแขนเสื้อของนางขึ้น มองผู้บุกรุกที่มีรอยฟกช้ำทั่วใบหน้า ตามเนื้อตามตัวไม่มีเนื้อดี ๆ ให้เห็น

“มาจากที่ใด?”

ผู้คุ้มกันเอ่ยตอบ “พวกเขาอ้างตนว่าเป็นลูกน้องของคหบดีจางเจ้าค่ะ”

“คหบดีจางเป็นผู้ใดกัน?” มู่ซืออวี่เหลือบมองซางจือที่อยู่ข้าง ๆ

ซางจือส่ายหัวเบา ๆ สีหน้าบ่งบอกว่าไม่รู้เช่นกัน

ฉานอีพาลู่จื่ออวิ๋นเข้ามา

“เรื่องนี้ต้องถามคุณหนูอวิ๋นเอ๋อร์เจ้าค่ะ” ฉานอีเอ่ย

ลู่จื่ออวิ๋นจึงเล่าที่มาที่ไปทั้งหมดให้ฟังรอบหนึ่ง

หลังจากมู่ซืออวี่ฟังจบแล้ว สีหน้าของนางยังคงนิ่งสงบ มองดูบุรุษที่กำลังร้องคร่ำครวญโอดโอยเหล่านั้น

“คหบดีจางให้พวกเจ้ามาทำอะไร? มาตีลูกสาวข้า หรือว่ามาสร้างปัญหาให้ครอบครัวเรา?”

“ล้วนไม่ใช่ ท่านคหบดีของพวกเราพึงใจคุณหนูบ้านพวกท่าน อยากแต่งงานกับคุณหนูบ้านพวกท่าน” บุรุษที่ถูกตีเหล่านั้นเอ่ยด้วยความกลัว

“พึงใจลูกสาวของข้าหรือ?” มู่ซืออวี่หัวเราะเยาะ “เขาเป็นอะไรไป? เขาคู่ควรกับลูกสาวของข้าหรือ? พวกเจ้า ส่งพวกมันกลับไปที่บ้านคหบดีจาง มอบของขวัญชิ้นใหญ่ให้พวกเขาเสียหน่อย!”

“ขอรับ!”

ผู้คุ้มกันนำตัวผู้บุกรุกเหล่านั้นออกไป

ลู่จื่ออวิ๋นเข้าไปกอดแขนมู่ซืออวี่ “ท่านแม่ ข้าไม่ได้ทำให้ท่านกลัวกระมัง?”

“แม่เจ้าดูเหมือนคนอ่อนแอมากนักหรือ?” มู่ซืออวี่ตบหลังมือของบุตรสาวเบา ๆ “แต่ว่านะลูกสาว เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ เหตุใดเจ้าไม่บอกแม่? หากรู้เสียแต่เนิ่น ๆ จะได้จัดการได้ทัน”

“ข้าเอ่ยเรื่องนี้กับลู่เยี่ยแล้ว ลู่เยี่ยเตรียมคนมาเฝ้าระวังหลายคน ต้องไม่เป็นอะไรอย่างแน่นอน แต่ละวันท่านแม่ยุ่งเพียงนั้น เหนื่อยล้าเพียงนั้น ข้าจะยินดีให้ท่านลำบากได้อย่างไร?”

มู่ซืออวี่จับปอยผมที่ร่วงลงมาขึ้นทัดหูให้ลู่จื่ออวิ๋น

“แม่นางน้อยเติบใหญ่แล้ว ทั้งยังสูงกว่าแม่อีก จำไว้เล่า อย่าให้ตนเองเป็นฝ่ายเสียเปรียบ พวกเรามีเงิน มีคน พวกเราไม่รังแกผู้อื่น แต่ก็ไม่อาจปล่อยให้ผู้อื่นมารังแก”

“เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านพ่อท่านแม่ต้องขายหน้าอย่างแน่นอน”

กลางดึกคืนนั้น มีเสียงของคนตะโกนขึ้นกลางเมืองว่า “รีบดับไฟ!”

ทุกคนรุดไปยังสถานที่เกิดเพลิงไหม้ พบว่าที่ที่เกิดเพลิงไหม้เป็นที่อยู่อาศัยของของคหบดีจางซึ่งเป็นเจ้าถิ่นผู้หนึ่ง ผู้คนที่เดิมทีเตรียมตัวจะดับไฟต่างก็โยนถังน้ำทิ้ง

ไฟไหม้ครั้งนี้ประหลาดนัก มีเพียงจวนคหบดีจางเท่านั้นที่ไหม้ เพื่อนบ้านกลับไม่ได้รับความเดือดร้อนแม้แต่น้อย ส่วนคหบดีจางนั้น เขาถูกแขวนอยู่บนต้นไม้ ด้านล่างถูกไฟเผาจนวอด แต่กลับลามไปไม่ถึงเขา ทว่าควันไฟนั้นกลับรมเขาเสียจนแทบไม่อาจลืมตา มีทั้งน้ำตาและน้ำมูกไหลออกมาจากจมูกนับไม่ถ้วน เมื่อเขาได้รับการช่วยเหลือ ก็มีสภาพประหนึ่งเนื้อรมควันเดินได้ น่าขบขันที่สุดเท่าที่จะขบขันได้

“ฮ่าฮ่า…” ชาวบ้านที่มามุงดูต่างก็หัวเราะออกมา

“หัวเราะ… หัวเราะ… หัวเราะหาลมตดอันใด!…” คหบดีจางตวาดออกมา

“พวกเราก็หัวเราะใส่ ‘ลมตด’ น่ะสิ!” เด็กน้อยคนหนึ่งตอบ

มารดาที่อยู่ข้าง ๆ เขารีบยกมือปิดปาก ลากเขากลับเข้าไปในกลุ่มคนเพื่อไม่ให้คหบดีจางตามมาแก้แค้นเอาได้

ผู้ที่ดับไฟเป็นคนของที่ว่าการอำเภอ นายอำเภอท้องถิ่นฟางเยว่นำนักการหลายสิบคนรุดมาช่วย

“เป็นอย่างไร? ผู้อื่นเล่า?” ฟางเยว่เอ่ยถามนักการใต้บังคับบัญชา

“พวกเขาถูกมัดและขังเอาไว้ให้ห้องเก็บฟืนขอรับ ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บ ทว่าพวกเขาล้วนได้รับความตื่นตระหนก บางคนถึงกับสลบไปแล้ว”

ชาวบ้านที่อยู่ใกล้ ๆ ล้วนพูดคุยกันอื้ออึงเซ็งแซ่ กล่าวว่าทำเรื่องชั่วช้ามามากเกินไป ครานี้จึงมีคนลุกขึ้นมาผดุงความยุติธรรม อนุในจวนที่ถูกฉุดคร่ามาเหล่านั้นล้วนหนีไปแล้ว บ่าวรับใช้ทั้งหมดก็หนีไปแล้วเช่นกัน เหลือเพียงลูกน้องที่ติดตามคหบดีจางซึ่งผ่านการก่อกรรมทำชั่วมามากมายเหล่านั้นที่ยังอยู่

“เจ้า เจ้านั่นแหละ! บ้านของเจ้าอยู่ข้างเคียง มาบอกข้าทีว่าเจ้าเห็นอะไร?” ฟางเยว่ชี้ไปที่บุรุษผู้หนึ่ง

“ใต้เท้า ยามวิกาลเช่นนี้ ผู้น้อยก็ต้องหลับนอนนะขอรับ!” คนผู้นั้นเอ่ย “ผู้น้อยเป็นเพียงคนขายเนื้อคนหนึ่ง แต่ละวันล้วนต้องตื่นแต่เช้าจึงเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก”

“ผู้ใดดึกดื่นค่ำคืนไม่หลับไม่นอน วิ่งไปเฝ้าหน้าประตูบ้านผู้อื่นกัน พวกเราไม่ใช่สุนัขเฝ้าประตูของคหบดีจาง โอ๊ะ! ไม่ถูกสิ คหบดีจางมีสุนัขเฝ้าประตูมากมายเพียงนั้น ไม่ใช่ว่าถูกคนจัดการไปแล้วหรือ?”

“จับพวกมันไปให้หมด!” คหบดีจางตะโกนลั่น “พวกคนเหล่านี้ ช่างไม่รู้จักกฎเกณฑ์ แม้กระทั่งท่านที่เป็นนายอำเภอ พวกมันยังไม่เห็นหัว!”

“พอแล้ว เกิดอะไรขึ้นกันแน่? เจ้าเกือบเอาชีวิตไม่รอด ยังมีเวลามาโต้เถียงกับคนขายเนื้อผู้หนึ่งอยู่อีกหรือ? ว่ามา ระยะนี้เจ้าไปทำให้ผู้ใดขุ่นเคือง!” ฟางเยว่เริ่มโมโหแล้ว

“เป็นสตรีมาใหม่ หรือก็คือคนที่ทำกิจการเดินเรือผู้นั้น เป็นนาง…”

“ข้าไม่ได้บอกเจ้าหรือว่าอย่าไปวุ่นวายกับพวกนาง? เจ้ากล้าหาญใหญ่โตเพียงนี้กับคนที่ไม่รู้ที่มาที่ไปเหล่านั้นและกล้าไปล่วงเกิน ผู้ที่เห็นได้ชัดว่าไม่ขาดเงินยังกล้าไปทำให้ขุ่นเคือง เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเบื้องหลังนางมีคนเช่นไรสนับสนุน?”

“ไม่ใช่ข้าไปล่วงเกินนาง เป็นนางที่มาล่วงเกินข้า… ท่านน้า ครานี้ข้าถูกคนหยามหน้า ท่านต้องตัดสินให้ข้า…”

คหบดีจางเป็นเจ้าถิ่นที่นี่ คุ้นชินกลับการทำตัวกร่างคับฟ้าถือว่าตนเป็นฮ่องเต้ของเมืองซานหลิน เขาไม่ได้เห็นคำพูดขู่ขวัญของฟางเยว่อยู่ในสายตาแม้แต่น้อย เจ้าตัวถึงขนาดคิดว่าฟางเยว่นั้นขี้ขลาดตาขาว

ฟางเยว่นั้นปกติรักใคร่หลานชายคนนี้ยิ่ง ทว่าครานี้เขากลับลังเลแล้ว การเข้ามาในเมืองของคนสกุลลู่นี้เอิกเกริกเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้อีกฝ่ายยังมีลูกน้องมากมาย แวบแรกก็รู้ว่าล่วงเกินไม่ได้ง่าย ๆ

“เอาละ ข้าจะจัดการเอง” ฟางเยว่เหลือบมองบ้านที่ถูกเผาจนมอด “ที่นี่… เจ้าจัดการเอาเองเถอะ”

“ท่านน้า บ้านข้ากลายเป็นอย่างนี้ ของอะไรล้วนไม่เหลือแล้ว”

“คิดหาวิธีเองบ้างสิ!” ฟางเยว่เริ่มหงุดหงิดขึ้นมา

มู่ซืออวี่ตื่นขึ้นมา ซางจือที่นำอ่างน้ำมาให้นางล้างหน้าล้างตาก็เอ่ยขึ้นว่า “เมื่อคืนนายอำเภอฟางผู้นั้นมา เขาถูกคนในจวนพวกเราขวางเอาไว้ เช้านี้เขามาอีกแล้ว ฮูหยินจะพบหรือไม่เจ้าคะ?”

“ไม่พบ” มู่ซืออวี่เอ่ยนิ่ง ๆ “พบคนพรรค์นั้นมีประโยชน์อะไรกัน เสียเวลาข้าเปล่า ๆ”

ฟางเยว่ไม่ได้พบมู่ซืออวี่ จึงเริ่มขุ่นเคืองขึ้นมา

เขาไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ใด ทุกอย่างเป็นเพียงการคาดเดาฝ่ายเดียว ทว่าเมื่อเห็นนางเย่อหยิ่งเพียงนี้ เขาจึงไม่กล้าบุ่มบ่าม

“ไปสอบถามมาว่าฮูหยินลู่ผู้นี้เป็นผู้ใดกันแน่?”

“ใต้เท้า พวกเขามาจากเมืองหลวง แม้ต้องการสอบถามก็ทำได้เพียงส่งคนไปสอบถามที่เมืองหลวงขอรับ”

“เช่นนั้นก็ไปเมืองหลวง!”

คหบดีจางพยามข่มความโกรธตนเอง แทบทนไม่ไหวอยากจะนำคนของตนไปกำจัดสตรีที่ทำกิจการเดินเรือผู้นั้น อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นลู่จื่ออวิ๋นอยู่ท่ามกลางฝูงชน หัวใจเขาพลันคันยุบยิบขึ้นมา ไม่แม้แต่จะจดจำเหตุการณ์เผาบ้านนั้นได้ ทั้งหมดที่เขาคิดออกคือเขาต้องการแต่งงานกับคนงามผู้นี้!

ก่อนหน้านี้อนุเหล่านั้นล้วนหนีไปหมดแล้ว ทว่าเมื่อเขาเห็นลู่จื่ออวิ๋น หัวใจเขาพลันหยุดเต้น รู้สึกราวกับว่าหากใช้เด็กสาวที่งดงามผู้นี้ชดเชยอนุหลายคนก็นับว่าได้กำไร

เขาจึงส่งคนไปจับตามองลู่จื่ออวิ๋น ท้ายที่สุดสบโอกาสได้พบนางขณะที่นางและสาวใช้อยู่กันตามลำพัง

“สตรีผู้นั้นเป็นผู้ใด?”

“นายท่าน นางคือเฉินซิ่วขอรับ! ก่อนหน้านี้ท่านยังอยากได้นางมาเป็นอนุจึงส่งผู้น้อยไปจับนาง และเพราะนาง คนงามแซ่ลู่ผู้นั้นถึงได้มายุ่งกับเรื่องของเรา ทั้งยังล่วงเกินเราด้วย!”

“ที่แท้ก็เป็นเพราะนาง!”

ลู่จื่ออวิ๋นได้ยินว่าเฉินซิ่วมาถึงแล้วจึงออกมาดู

เฉินซิ่วนำปลาตัวเล็ก ๆ และกุ้งมาไม่น้อย กล่าวว่าเพื่อเป็นการขอบคุณที่ลู่จื่ออวิ๋นช่วยนางไว้

วันนั้นท่านแม่และพี่ชายนางล้วนได้รับบาดเจ็บ ลู่จื่ออวิ๋นก็ส่งคนไปเชิญท่านหมอมา ท่านแม่และพี่ชายนางจึงรอดมาได้ สำหรับเฉินซิ่วแล้ว ลู่จื่ออวิ๋นคือผู้ที่ให้ชีวิตนางอีกครั้ง!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด