สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 75 พามู่เจิ้งหานเข้าเมือง

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 75 พามู่เจิ้งหานเข้าเมือง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 75 พามู่เจิ้งหานเข้าเมือง

บทที่ 75 พามู่เจิ้งหานเข้าเมือง

“แม่ฉาวอวี่!”

เหยาซื่อตะโกนเรียกจากด้านนอก

มู่ซืออวี่กินแป้งทอดไปสองชิ้น เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะเติมเต็มความหิวโหย นางปัดมือให้สะอาดแล้วเดินออกไปต้อนรับแขก

“ป้าเหยา”

มู่ซืออวี่จ้องมองเหยาซื่อด้วยความสงสัย

เหยาซื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เจ้าคงเหน็ดเหนื่อยมาก นี่เป็นของเล็ก ๆ น้อย ๆ แทนคำขอบคุณจากครอบครัวเรา รับไปเถิด!”

อาทิตย์อัสดง แสงสีทองสาดส่องดูงดงาม เหรียญทองแดงที่เหยาซื่อนำมาก็สะท้อนแสงสว่างไสวไปด้วย

“ข้าขอไม่รับไว้ เราก็คนกันเอง การช่วยเหลือเพียงเล็กน้อยไม่ได้ลำบากอะไรนัก จะให้ข้าเก็บเงินของท่านไว้ได้อย่างไร?” มู่ซืออวี่ปฏิเสธ

เหยาซื่อคว้ามืออีกฝ่ายไว้ไม่ยอมปล่อย “หากปฏิเสธ ข้าคงละอายเกินกว่าจะขอความช่วยเหลือจากเจ้าอีก นี่ไม่ใช่เงินมากมายอะไร ในเมื่อข้าเชิญพ่อครัวระดับปรมาจารย์มาทำอาหารก็ย่อมต้องจ่ายสิ!”

“แต่นั่นไม่เหมือนกัน” มู่ซืออวี่ยังคงปฏิเสธ

“รับไปเถิด ถ้าเจ้าไม่ยอมรับ ข้าจะโกรธมากนะ” เหยาซื่อกล่าว “เรื่องวันนี้น่าอายจริง ๆ”

“ป้าเหยา ท่านหมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าสาวในวันนี้หรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม “ข้าขอพูดความรู้สึกจากใจ เจ้าสาวพูดถูก นางคือผู้ที่เจ็บปวดที่สุดในเรื่องนี้ ท่านอย่าคล้อยตามคนอื่นแล้วดูถูกนางเลย”

“ข้าพยายามสุดกำลังเพื่อให้งานแต่งงานดำเนินไปอย่างดี แต่กลับต้องเสียหน้าเพราะการกระทำของนาง” เหยาซื่อขมวดคิ้ว

“จะอับอายขายหน้าหรือไม่ก็อยู่ที่ความคิดของท่าน ผู้อื่นไม่อาจมีผล เจ้าสาวคือดอกไม้แห่งหมู่บ้านตระกูลจาง แน่นอนว่ามีชายหนุ่มมากมายหมายปองนาง ทว่านางกลับไม่เลือกตกลงปลงใจกับชายใดเลย แต่เลือกที่จะแต่งงานเข้ามาในครอบครัวของท่าน การกระทำของเจ้าสาวแสดงให้เห็นแล้วว่าพี่ต้าจู้มีค่ากว่าผู้ใด ข้าเชื่อมั่นว่าเจ้าสาวรู้จักคิด สามารถเป็นภรรยาที่ดีให้กับพี่ต้าจู้ได้ ผู้อื่นเอ่ยวาจาไร้สาระมากมายเพราะปรารถนาในตัวนาง ท่านจะปล่อยหญิงที่จะเป็นภรรยาที่น่าชื่นชมไปอย่างนั้นหรือ?”

“ฮ่าฮ่า เจ้าช่างกล่าววาจาที่ไม่น่าให้อภัยเสียจริง”

ความกังวลที่เคยเผยอยู่บนใบหน้าของเหยาซื่อหายไปบ้างแล้ว

มู่ซืออวี่เห็นว่าเหยาซื่อไม่ใช่แม่สามีที่โหดเหี้ยมหรือดุร้ายจึงช่วยเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ผัวกับลูกสะใภ้จำเป็นต้องรักษาไว้ให้ดี ชีวิตสมรสจะได้ไม่ถูกทำลาย

“ในเมื่อเจ้าเอ่ยวาจาชื่นชมลูกสะใภ้ข้าได้ดีเช่นนี้ ก็จงเอาเงินนี้ไปเป็นค่าตอบแทนเถิด รับเอาไปเสีย”

เหยาซื่อยัดเงินจำนวน 20 อีแปะใส่มือมู่ซืออวี่

มู่ซืออวี่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรับเงินนั้นไว้แล้วเฝ้ามองเหยาซื่อเดินจากไป

ในวันที่สอง มู่ซืออวี่เรียกถงซื่อมาเพื่อช่วยทำน้ำเต้าหู้

มู่ซืออวี่วางแผนที่จะทำน้ำเต้าหู้ด้วยตนเอง เพราะจะได้นำเอาฟองเต้าหู้ที่เหลือมาเก็บไว้เพื่อทำอาหาร

สำหรับการปรุงเนื้อตุ๋นนั้น นางซื้อวัตถุดิบทั้งหมดมาเรียบร้อยแล้ว และจะลงมือตุ๋นในวันนี้

“มู่ซืออวี่ผู้นี้ นางมีความสามารถมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร? กลิ่นนั่นคือกลิ่นแป้งทอดไส้ผักป่าไม่ใช่หรือ?”

“ไปเถิด! ครอบครัวนี้กินแบบนี้ พวกเขาจะไม่มีวันใช้หนี้หมดแน่ โชคร้ายของลู่อี้แล้วล่ะที่ได้แต่งงานกับหญิงเช่นนี้”

“แต่แม้จะเคยหลงผิด นางก็เป็นอัจฉริยะไร้ที่เปรียบ ฝีมือของนางไม่อาจมีผู้ใดเทียบได้ นางกินไปตั้งมากมายในงานแต่งแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงยังกลับมากินที่บ้านราวกับผีหิวโหย?”

ผู้คนมากมายที่เดินผ่านหน้าบ้านนางต่างพร่ำบ่น ก่อนจะจากไปด้วยความริษยา

“ท่านแม่ พรุ่งนี้ข้าขอเข้าไปส่งของในเมืองด้วยได้หรือไม่?” ลู่จื่ออวิ๋นจ้องมองมู่ซืออวี่อย่างมีความหวัง

มู่ซืออวี่ที่กำลังง่วนกับงานในมือกล่าวว่า “ได้สิ! อยู่ที่นี่ตลอดทั้งวันคงเบื่อสิท่า ได้ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ก็ดี”

“ขอบคุณเจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นกอดแขนมู่ฉาวอวี่

“อย่าเพิ่งก่อกวน ข้ากำลังยุ่ง หากไม่ระวังน้ำมันอาจกระเด็นใส่เจ้าได้”

ลู่จื่ออวิ๋นปล่อยมือจากแขนมู่ซืออวี่ทันที

ลู่ฉาวอวี่ลังเลอยู่นานก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าจะดูแลน้องสาวเอง”

“เยี่ยม ข้ายุ่งมาก คงไม่อาจดูแลนางได้หรอก เจ้าช่วยดูแลนางแทนข้าด้วยก็แล้วกัน” มู่ซืออวี่กล่าว

ในระหว่างมื้ออาหารเย็น มู่ซืออวี่เรียกถงซื่อและมู่เจิ้งหานให้มารับประทานอาหารที่บ้านของนาง จากนั้นก็บอกพวกเขาว่าจะเดินทางเข้าไปในเมืองในวันรุ่งขึ้น

แววตาของมู่เจิ้งหานเปล่งประกายความอิจฉา “เช่นนั้นข้าจะไปตักน้ำและเก็บฟืนมาให้”

“เจ้าอยากไปกับเราหรือไม่?” มู่ซืออวี่ถาม นางไม่ได้เพิกเฉยต่อความอิจฉาในแววตาของมู่เจิ้งหาน

“ข้าไปได้หรือ?” มู่เจิ้งหานถามด้วยความยินดี

แต่เมื่อนึกได้ถึงบางสิ่ง เขาก็พลันส่ายศีรษะ “ไม่ไปแล้ว ข้าจะอยู่ช่วยทำงานบ้านให้ท่านที่นี่”

“เอาไว้ค่อยทำหลังจากเดินทางกลับจากในเมืองก็ยังไม่สาย ฉาวอวี่และจื่ออวิ๋นยังเด็ก เจ้าควรไปช่วยดูแลพวกเขา มีคนไม่ดีมากมายในเมืองที่อาจปองร้ายเรา หากไม่ดูแลให้ดี ลูกของข้าอาจถูกลักพาตัวได้ ลองถามฉาวอวี่ดูเถิด คราวก่อนอันตรายใช่หรือไม่?”

มู่เจิ้งหานจ้องมองลู่ฉาวอวี่

ลู่ฉาวอวี่พยักหน้าพลางตอบกลับ “อืม”

“คราวก่อนเกิดอะไรขึ้น?” ถงซื่อถาม “หากเป็นเช่นนั้น หานเอ๋อร์ดูแลคนเดียวได้หรือไม่? ต้องการให้ข้าไปด้วยหรือไม่?”

“ไปด้วยกันเถิด!” มู่ซืออวี่กล่าว “มีผู้ดูแลมากกว่าหนึ่งคนก็ต้องดีกว่าอยู่แล้ว”

วันรุ่งขึ้น พวกเขาหอบหิ้วเต้าหู้แห้งเจ็ดชั่ง ฟองเต้าหู้หนึ่งชั่ง และเครื่องในหมูตุ๋นอีกสองชั่งเข้าไปในเมืองตั้งแต่เช้าตรู่

เนื่องจากวันนี้ไม่ใช่วันที่มีตลาดนัด จึงไม่ค่อยมีผู้คนมากมายนัก

ถงซื่อจ้องมองทิวทัศน์โดยรอบ ค้นหาบริเวณที่คุ้นเคยจากภาพแห่งความทรงจำ

หลังจากแต่งงานมานานหลายปี นางมีโอกาสได้เข้ามาในเมืองเพียงสองครั้ง นั่นคือเมื่อครั้งที่ได้รับคำสั่งให้มาส่งของแก่มู่เจิ้งอี้ที่กำลังศึกษาอยู่

“พักเหนื่อยสักนิดดีหรือไม่?” มู่ซืออวี่ถาม

ถงซื่อไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย โลกภายนอกช่างกว้างใหญ่ ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายราวกับได้สัมผัสกับทิวทัศน์เช่นนี้เป็นครั้งแรก ความสุขเศร้าตลอดทั้งปีที่ผ่านมาถูกปัดเป่าไปจนหมดสิ้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่ามู่ซืออวี่หอบเหนื่อย นางจึงเอ่ยว่า “ข้าเริ่มเหนื่อยแล้ว”

“เช่นนั้นเรามาพักกันสักนิดเถิด”

“ในเมืองสนุกหรือไม่?” มู่เจิ้งหานเอ่ยถามลู่ฉาวอวี่

“วันนี้ไม่ใช่วันที่มีตลาด คนไม่มากเท่าไหร่” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยตอบผู้เป็นน้า

“อ้อ” มู่เจิ้งหานรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

หลังจากนั่งพักราวครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็พลันมองเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินมายังประตูเมือง

“จ่ายภาษีเข้าเมืองด้วย” ทหารกลุ่มนั้นกล่าว

“ก่อนหน้านี้ไม่มีภาษีเข้าเมืองนี่นา” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยความรู้สึกแปลกใจ

“ก่อนหน้านี้ไม่มี แต่ตอนนี้มีแล้ว กฎหมายเพิ่งบังคับใช้เมื่อวานนี้ ตอนนี้พวกเจ้าจำเป็นต้องจ่ายภาษีเข้าเมืองคนละหนึ่งอีแปะ เด็กสามคนนี้ยังเล็ก ข้าจะเรียกเก็บเพียงภาษีเข้าเมืองสำหรับผู้ใหญ่สองคนแทนก็แล้วกัน”

ถงซื่อกล่าวด้วยความทุกข์ใจ “หากข้ารู้เร็วกว่านี้ ข้าจะไม่มาให้เจ้าเสียเงินหรอก”

“เงินเพียงหนึ่งอีแปะไม่ได้มากมายอะไร ท่านเข้ามาในเมืองเพื่อช่วยข้าดูแลลูก ๆ หากไม่มีท่าน ทุกอย่างจะวุ่นวายมากกว่านี้ไม่ใช่หรือ? เงินเล็กน้อย ข้าจ่ายได้” มู่ซืออวี่กล่าวกับถงซื่อ

อย่างไรก็ตาม ด้วยการเรียกเก็บภาษีที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ดูเหมือนว่ายุคสมัยนี้จะไม่สงบสุขอย่างที่จินตนาการไว้แล้ว

ณ ภัตตาคารเจียงซื่อ เมื่อเห็นมู่ซืออวี่เดินเข้ามา ผู้จัดการร้านก็กล่าวทักทายนางด้วยรอยยิ้ม “ตรงเวลาจริงเชียว วันนี้มีหมูตุ๋นหรือไม่?”

แน่นอนว่าเขาสนใจหมูตุ๋นมากกว่าเต้าหู้แห้ง เพราะไม่ว่าเต้าหู้แห้งจะอร่อยเพียงใด ก็ถือเป็นอาหารที่ไม่ได้มีราคานัก หมูตุ๋นต่างหากที่ทำกำไรให้เขาได้มาก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้ายบทที่ 75 พามู่เจิ้งหานเข้าเมือง

Now you are reading สาวนาผู้เป็นมารดาของครอบครัวตัวร้าย Chapter บทที่ 75 พามู่เจิ้งหานเข้าเมือง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บทที่ 75 พามู่เจิ้งหานเข้าเมือง

บทที่ 75 พามู่เจิ้งหานเข้าเมือง

“แม่ฉาวอวี่!”

เหยาซื่อตะโกนเรียกจากด้านนอก

มู่ซืออวี่กินแป้งทอดไปสองชิ้น เท่านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะเติมเต็มความหิวโหย นางปัดมือให้สะอาดแล้วเดินออกไปต้อนรับแขก

“ป้าเหยา”

มู่ซืออวี่จ้องมองเหยาซื่อด้วยความสงสัย

เหยาซื่อกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เจ้าคงเหน็ดเหนื่อยมาก นี่เป็นของเล็ก ๆ น้อย ๆ แทนคำขอบคุณจากครอบครัวเรา รับไปเถิด!”

อาทิตย์อัสดง แสงสีทองสาดส่องดูงดงาม เหรียญทองแดงที่เหยาซื่อนำมาก็สะท้อนแสงสว่างไสวไปด้วย

“ข้าขอไม่รับไว้ เราก็คนกันเอง การช่วยเหลือเพียงเล็กน้อยไม่ได้ลำบากอะไรนัก จะให้ข้าเก็บเงินของท่านไว้ได้อย่างไร?” มู่ซืออวี่ปฏิเสธ

เหยาซื่อคว้ามืออีกฝ่ายไว้ไม่ยอมปล่อย “หากปฏิเสธ ข้าคงละอายเกินกว่าจะขอความช่วยเหลือจากเจ้าอีก นี่ไม่ใช่เงินมากมายอะไร ในเมื่อข้าเชิญพ่อครัวระดับปรมาจารย์มาทำอาหารก็ย่อมต้องจ่ายสิ!”

“แต่นั่นไม่เหมือนกัน” มู่ซืออวี่ยังคงปฏิเสธ

“รับไปเถิด ถ้าเจ้าไม่ยอมรับ ข้าจะโกรธมากนะ” เหยาซื่อกล่าว “เรื่องวันนี้น่าอายจริง ๆ”

“ป้าเหยา ท่านหมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับเจ้าสาวในวันนี้หรือ?” มู่ซืออวี่เอ่ยถาม “ข้าขอพูดความรู้สึกจากใจ เจ้าสาวพูดถูก นางคือผู้ที่เจ็บปวดที่สุดในเรื่องนี้ ท่านอย่าคล้อยตามคนอื่นแล้วดูถูกนางเลย”

“ข้าพยายามสุดกำลังเพื่อให้งานแต่งงานดำเนินไปอย่างดี แต่กลับต้องเสียหน้าเพราะการกระทำของนาง” เหยาซื่อขมวดคิ้ว

“จะอับอายขายหน้าหรือไม่ก็อยู่ที่ความคิดของท่าน ผู้อื่นไม่อาจมีผล เจ้าสาวคือดอกไม้แห่งหมู่บ้านตระกูลจาง แน่นอนว่ามีชายหนุ่มมากมายหมายปองนาง ทว่านางกลับไม่เลือกตกลงปลงใจกับชายใดเลย แต่เลือกที่จะแต่งงานเข้ามาในครอบครัวของท่าน การกระทำของเจ้าสาวแสดงให้เห็นแล้วว่าพี่ต้าจู้มีค่ากว่าผู้ใด ข้าเชื่อมั่นว่าเจ้าสาวรู้จักคิด สามารถเป็นภรรยาที่ดีให้กับพี่ต้าจู้ได้ ผู้อื่นเอ่ยวาจาไร้สาระมากมายเพราะปรารถนาในตัวนาง ท่านจะปล่อยหญิงที่จะเป็นภรรยาที่น่าชื่นชมไปอย่างนั้นหรือ?”

“ฮ่าฮ่า เจ้าช่างกล่าววาจาที่ไม่น่าให้อภัยเสียจริง”

ความกังวลที่เคยเผยอยู่บนใบหน้าของเหยาซื่อหายไปบ้างแล้ว

มู่ซืออวี่เห็นว่าเหยาซื่อไม่ใช่แม่สามีที่โหดเหี้ยมหรือดุร้ายจึงช่วยเกลี้ยกล่อมอีกฝ่าย ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ผัวกับลูกสะใภ้จำเป็นต้องรักษาไว้ให้ดี ชีวิตสมรสจะได้ไม่ถูกทำลาย

“ในเมื่อเจ้าเอ่ยวาจาชื่นชมลูกสะใภ้ข้าได้ดีเช่นนี้ ก็จงเอาเงินนี้ไปเป็นค่าตอบแทนเถิด รับเอาไปเสีย”

เหยาซื่อยัดเงินจำนวน 20 อีแปะใส่มือมู่ซืออวี่

มู่ซืออวี่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรับเงินนั้นไว้แล้วเฝ้ามองเหยาซื่อเดินจากไป

ในวันที่สอง มู่ซืออวี่เรียกถงซื่อมาเพื่อช่วยทำน้ำเต้าหู้

มู่ซืออวี่วางแผนที่จะทำน้ำเต้าหู้ด้วยตนเอง เพราะจะได้นำเอาฟองเต้าหู้ที่เหลือมาเก็บไว้เพื่อทำอาหาร

สำหรับการปรุงเนื้อตุ๋นนั้น นางซื้อวัตถุดิบทั้งหมดมาเรียบร้อยแล้ว และจะลงมือตุ๋นในวันนี้

“มู่ซืออวี่ผู้นี้ นางมีความสามารถมากมายเช่นนี้ได้อย่างไร? กลิ่นนั่นคือกลิ่นแป้งทอดไส้ผักป่าไม่ใช่หรือ?”

“ไปเถิด! ครอบครัวนี้กินแบบนี้ พวกเขาจะไม่มีวันใช้หนี้หมดแน่ โชคร้ายของลู่อี้แล้วล่ะที่ได้แต่งงานกับหญิงเช่นนี้”

“แต่แม้จะเคยหลงผิด นางก็เป็นอัจฉริยะไร้ที่เปรียบ ฝีมือของนางไม่อาจมีผู้ใดเทียบได้ นางกินไปตั้งมากมายในงานแต่งแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงยังกลับมากินที่บ้านราวกับผีหิวโหย?”

ผู้คนมากมายที่เดินผ่านหน้าบ้านนางต่างพร่ำบ่น ก่อนจะจากไปด้วยความริษยา

“ท่านแม่ พรุ่งนี้ข้าขอเข้าไปส่งของในเมืองด้วยได้หรือไม่?” ลู่จื่ออวิ๋นจ้องมองมู่ซืออวี่อย่างมีความหวัง

มู่ซืออวี่ที่กำลังง่วนกับงานในมือกล่าวว่า “ได้สิ! อยู่ที่นี่ตลอดทั้งวันคงเบื่อสิท่า ได้ออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ก็ดี”

“ขอบคุณเจ้าค่ะ” ลู่จื่ออวิ๋นกอดแขนมู่ฉาวอวี่

“อย่าเพิ่งก่อกวน ข้ากำลังยุ่ง หากไม่ระวังน้ำมันอาจกระเด็นใส่เจ้าได้”

ลู่จื่ออวิ๋นปล่อยมือจากแขนมู่ซืออวี่ทันที

ลู่ฉาวอวี่ลังเลอยู่นานก่อนจะเอ่ยว่า “ข้าจะดูแลน้องสาวเอง”

“เยี่ยม ข้ายุ่งมาก คงไม่อาจดูแลนางได้หรอก เจ้าช่วยดูแลนางแทนข้าด้วยก็แล้วกัน” มู่ซืออวี่กล่าว

ในระหว่างมื้ออาหารเย็น มู่ซืออวี่เรียกถงซื่อและมู่เจิ้งหานให้มารับประทานอาหารที่บ้านของนาง จากนั้นก็บอกพวกเขาว่าจะเดินทางเข้าไปในเมืองในวันรุ่งขึ้น

แววตาของมู่เจิ้งหานเปล่งประกายความอิจฉา “เช่นนั้นข้าจะไปตักน้ำและเก็บฟืนมาให้”

“เจ้าอยากไปกับเราหรือไม่?” มู่ซืออวี่ถาม นางไม่ได้เพิกเฉยต่อความอิจฉาในแววตาของมู่เจิ้งหาน

“ข้าไปได้หรือ?” มู่เจิ้งหานถามด้วยความยินดี

แต่เมื่อนึกได้ถึงบางสิ่ง เขาก็พลันส่ายศีรษะ “ไม่ไปแล้ว ข้าจะอยู่ช่วยทำงานบ้านให้ท่านที่นี่”

“เอาไว้ค่อยทำหลังจากเดินทางกลับจากในเมืองก็ยังไม่สาย ฉาวอวี่และจื่ออวิ๋นยังเด็ก เจ้าควรไปช่วยดูแลพวกเขา มีคนไม่ดีมากมายในเมืองที่อาจปองร้ายเรา หากไม่ดูแลให้ดี ลูกของข้าอาจถูกลักพาตัวได้ ลองถามฉาวอวี่ดูเถิด คราวก่อนอันตรายใช่หรือไม่?”

มู่เจิ้งหานจ้องมองลู่ฉาวอวี่

ลู่ฉาวอวี่พยักหน้าพลางตอบกลับ “อืม”

“คราวก่อนเกิดอะไรขึ้น?” ถงซื่อถาม “หากเป็นเช่นนั้น หานเอ๋อร์ดูแลคนเดียวได้หรือไม่? ต้องการให้ข้าไปด้วยหรือไม่?”

“ไปด้วยกันเถิด!” มู่ซืออวี่กล่าว “มีผู้ดูแลมากกว่าหนึ่งคนก็ต้องดีกว่าอยู่แล้ว”

วันรุ่งขึ้น พวกเขาหอบหิ้วเต้าหู้แห้งเจ็ดชั่ง ฟองเต้าหู้หนึ่งชั่ง และเครื่องในหมูตุ๋นอีกสองชั่งเข้าไปในเมืองตั้งแต่เช้าตรู่

เนื่องจากวันนี้ไม่ใช่วันที่มีตลาดนัด จึงไม่ค่อยมีผู้คนมากมายนัก

ถงซื่อจ้องมองทิวทัศน์โดยรอบ ค้นหาบริเวณที่คุ้นเคยจากภาพแห่งความทรงจำ

หลังจากแต่งงานมานานหลายปี นางมีโอกาสได้เข้ามาในเมืองเพียงสองครั้ง นั่นคือเมื่อครั้งที่ได้รับคำสั่งให้มาส่งของแก่มู่เจิ้งอี้ที่กำลังศึกษาอยู่

“พักเหนื่อยสักนิดดีหรือไม่?” มู่ซืออวี่ถาม

ถงซื่อไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย โลกภายนอกช่างกว้างใหญ่ ทำให้นางรู้สึกผ่อนคลายราวกับได้สัมผัสกับทิวทัศน์เช่นนี้เป็นครั้งแรก ความสุขเศร้าตลอดทั้งปีที่ผ่านมาถูกปัดเป่าไปจนหมดสิ้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อเห็นว่ามู่ซืออวี่หอบเหนื่อย นางจึงเอ่ยว่า “ข้าเริ่มเหนื่อยแล้ว”

“เช่นนั้นเรามาพักกันสักนิดเถิด”

“ในเมืองสนุกหรือไม่?” มู่เจิ้งหานเอ่ยถามลู่ฉาวอวี่

“วันนี้ไม่ใช่วันที่มีตลาด คนไม่มากเท่าไหร่” ลู่ฉาวอวี่เอ่ยตอบผู้เป็นน้า

“อ้อ” มู่เจิ้งหานรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

หลังจากนั่งพักราวครึ่งชั่วโมง พวกเขาก็พลันมองเห็นคนกลุ่มหนึ่งเดินมายังประตูเมือง

“จ่ายภาษีเข้าเมืองด้วย” ทหารกลุ่มนั้นกล่าว

“ก่อนหน้านี้ไม่มีภาษีเข้าเมืองนี่นา” มู่ซืออวี่กล่าวด้วยความรู้สึกแปลกใจ

“ก่อนหน้านี้ไม่มี แต่ตอนนี้มีแล้ว กฎหมายเพิ่งบังคับใช้เมื่อวานนี้ ตอนนี้พวกเจ้าจำเป็นต้องจ่ายภาษีเข้าเมืองคนละหนึ่งอีแปะ เด็กสามคนนี้ยังเล็ก ข้าจะเรียกเก็บเพียงภาษีเข้าเมืองสำหรับผู้ใหญ่สองคนแทนก็แล้วกัน”

ถงซื่อกล่าวด้วยความทุกข์ใจ “หากข้ารู้เร็วกว่านี้ ข้าจะไม่มาให้เจ้าเสียเงินหรอก”

“เงินเพียงหนึ่งอีแปะไม่ได้มากมายอะไร ท่านเข้ามาในเมืองเพื่อช่วยข้าดูแลลูก ๆ หากไม่มีท่าน ทุกอย่างจะวุ่นวายมากกว่านี้ไม่ใช่หรือ? เงินเล็กน้อย ข้าจ่ายได้” มู่ซืออวี่กล่าวกับถงซื่อ

อย่างไรก็ตาม ด้วยการเรียกเก็บภาษีที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ดูเหมือนว่ายุคสมัยนี้จะไม่สงบสุขอย่างที่จินตนาการไว้แล้ว

ณ ภัตตาคารเจียงซื่อ เมื่อเห็นมู่ซืออวี่เดินเข้ามา ผู้จัดการร้านก็กล่าวทักทายนางด้วยรอยยิ้ม “ตรงเวลาจริงเชียว วันนี้มีหมูตุ๋นหรือไม่?”

แน่นอนว่าเขาสนใจหมูตุ๋นมากกว่าเต้าหู้แห้ง เพราะไม่ว่าเต้าหู้แห้งจะอร่อยเพียงใด ก็ถือเป็นอาหารที่ไม่ได้มีราคานัก หมูตุ๋นต่างหากที่ทำกำไรให้เขาได้มาก

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+